ถ้ามีคนที่บอกว่าตัวเองสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ เช่น ติดต่อกับวิญญาณผ่านร่างทรง แล้วบอกว่าตนมีญาณวิเศษรับรู้ว่าอดีตชาติของตนว่าเคยเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มันมีคนที่รับรู้ได้แบบนี้มีในโลกมั้ย ถ้าตนไม่ได้เป็นคนที่สามารถที่รับรู้ได้จริง แล้วนำไปหลอกลวงคนอื่นให้หลงเชื่อ คนผู้นั้นจะมีความผิดและจะได้รับผลกรรมนั้นอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องจริง ตรง ทำให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง ใครจะพูดอะไรด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง หรือ เชื่อตามๆ กันมา ก็จะตั้งมั่นในความถูกต้อง และยังสามารถอธิบายให้ผู้อื่นได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ด้วย ไม่หวั่นไหวไป ไหลไปตามเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่เป็นความจริง ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า วิญญาณ คือ อะไร? วิญญาณ เป็นธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมประการหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ (อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้) เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ มีพยัญชนะหลายประการที่หมายถึงจิต เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แต่ละบุคคลมีด้วยกันทั้งนั้น (ในชีวิต ไม่ปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว) หนึ่งในนั้น คือ วิญญาณ ดังนั้น จิตกับวิญญาณจึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน วิญญาณไม่มีการล่องลอยไม่มีรูปร่าง เห็นไม่ได้ พูดไม่ได้,
ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นผู้ที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาอยู่ เมื่อตายแล้ว (คือจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก) ต้องเกิดทันที มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น การที่จะเกิดเป็นอะไร ในภพไหน นั้น ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมเป็นผู้จัดสรร ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ จนกว่าจะเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นพระอรหันต์ จึงจะเป็นผู้พ้นจากทุกข์ และเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย สังสารวัฏฏ์เป็นอันจบสิ้น ผู้ที่จะมีปัญญารู้ว่าใครไปเกิดเป็นอะไรที่ไหนนั้น ต้องเป็นผู้มีอภิญญาจิต ที่สามารถรู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย (จุตูปปาตญาณ) ซึ่งผู้ที่จะรู้จุติและอุบัติของผู้อื่นอย่างละเอียด ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ส่วนพระสาวกที่มีอภิญญาจิต (จุตูปปาตญาณ) ย่อมรู้การจุติและอุบัติของผู้อื่นได้ระดับหนึ่งเท่านั้น รู้ไม่ละเอียดเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปุถุชนที่ได้อภิญญาจิต คือ มีจุตูปปาตญาณ ย่อมรู้การจุติแลอุบัติของสัตว์อื่นได้ คือ รู้ว่าเขาตายจากบุคคลนี้แล้ว ไปเกิดที่ไหนเป็นใคร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กับการมีอภิญญาจิต ต้องมีการอบรมเจริญความสงบของจิต (สมถภาวนา) เป็นฌานขั้นต่างๆ อย่างชำนาญ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก และที่สำคัญจะขาดปัญญา ที่เข้าใจถึงความต่างระหว่างกุศล กับ อกุศล ไม่ได้เลย คนที่ไม่มีญาณวิเศษ ไม่มีอภิญญาจิต แล้วไปบอกคนอื่นว่าตนเองมีญาณวิเศษย่อมเป็นการหลอกหลวง โกหกผู้อื่น ไม่พ้นไปจากวจีทุจริต เป็นโทษเป็นภัย เป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้า และเป็นไปเพื่อความเพิ่มพูนซึ่งอกศลธรรมสำหรับผู้อื่นที่มีความเห็นคล้อยตามในเรื่องดังกล่าวด้วย ทำให้เขาเหล่านั้นเหินห่างจากกุศลธรรม เหินห่างจากหนทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ชาวพุทธที่ดี ต้องเป็นผู้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เห็นคุณค่าของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมดทั้งปวงเป็นพระปัญญาของพระองค์ ซึ่งกว่าจะได้ตรัสรู้นั้น ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ในการอบรมสะสมบารมีจนกว่าจะถึงความบริบูรณ์เต็มเปี่ยมได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เ้ข้าใจพระธรรมอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจ จึงทรงแสดงพระธรรมประกาศพระศาสนาเป็นเวลาถึง ๔๕ พรรษา เมื่ือไม่ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร และที่สำคัญ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ และละคลายอกุศลธรรมประการอื่นๆ ด้วย ไม่มีพระธรรมแม้แต่บทเดียวที่จะทำให้ผู้อื่นเกิดความงมงายเลย แต่ทั้งหมด เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกสำหรับผู้มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา อย่างแท้จริง ครับ ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเิติมได้ที่นี่ครับ ร่างทรง องค์เจ้า ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ....
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย การเห็นอมนุษย์ที่เป็นเปรตหรือเทวดา ด้วยเหตุ 2 ประการคือ
1.เปรตหรือเทวดาเนรมิตรูปให้หยาบ โดยมีความประสงค์จะให้เห็น
2.เป็นผู้ได้ทิพยจัษุทิพย์ การจะได้ทพิยจักษุต้องได้ฌานขั้นสูงถึงจะมีได้
การเห็นอมนุษย์จึงต้องมีเหตุ สมควรแก่ผล การเห็นวิญญาณหรือ อมนุษย์ไม่ใช่สาระ
สำคัญ และการเห็นอมนุษย์ก็มิได้หมายความว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ทำบุญาบารมีมากครับ
ดังนั้นการเห็นอมนุษย์มีได้ ด้วยเหตุ 2 ประการที่กล่าวมาครับ
บุคคลใดไม่มีคุณธรรมดังกล่าว กล่าวในสิ่งที่ไม่จริงก็ป็นมุสาวาท เป็นผู้ปรารถนา
ลามกคือเป็นผู้ไม่มีคุณธรรมแต่กระทำว่าเป็นผู้มีคุณธรรม การกระทำที่หลอกลวง ก็
หลอกลวงตัวเองก่อนคือเป็นอกุศลจิตและเมื่อทำกรรมคือการกล่าวคำไม่จริง และเมื่อ
กรรมนั้นให้ผลก็ย่อมทำให้ไปอบายภูมิ เศษกรรมที่เหลือเมือ่มาเกิดเป้นมนุษย์ก็ย่อมทำ
ให้ไม่มีคนเชือ่ถือครับ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหารย์ไว้ 3 อย่างคือ อิทธิปาฏิหารย์ อาเทสนาปาฏิหารย์
และอนุสาสนีปาฏิหารย์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ปาฏิหารย์อันเลิศของพระองค์คือ
ไม่ใช่การแสดงฤทธิ์ได้ ไม่ใช่การมีตาทิพย์ ไม่ใช่การทายใจได้ แต่่ปาฏิหารย์ที่เลิศคือ
อนุสาสนีปาฏิหารย์ อันเป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเมื่อผู้ใดฟังแล้วเข้าใจ
ย่อมขัดเกลากิเลสของผู้นั้นและทำให้ดับกิเลสได้ อันเป็นปาฏิหารย์ที่เลิศ เพราะกิเลส
เป็นสิ่งทีดับได้ยาก หากไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่สามารถดับ
กิเลสได้ครับ ตาทิพย์
การเห็นวิญญาณ เห็นอมนุษย์ในความเป็นจริงแล้ว สัจจะของพระพุทธเจ้าก็คือ การ
เห็น เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น แต่เมื่อเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นคิดนึก
แล้ว นึกในรูปร่างสัณฐาน ดังนั้นสิ่งที่มีจริงก็คือการเห็นทีเ่ป็นจิต สิ่งที่ปรากฎทางตาที่
เป็นรูป ความคิดนึกที่เป็นจิตเท่านั้น การเข้าใจความจริงอย่างนี้เป็นอนุสาสนีปาฏิหารย์
อันเป็นธรรม เป็นปัญญาละความไม่รู้ ละความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคลได้ครับ แต่แม้
จะเห็นอมนุษย์แต่ไม่มีปัญญาและสำคัญว่ามีอมนุษย์จริงๆ ก็เป็นความไม่รู้ เป็นความเห็น
ผิดซึ่งจะไม่สามารถละกิเลสอะไรได้เลยครับ สำคัญคือปัญญาเข้าใจความจริงว่าขณะที่
เห็น เห็นอะไร ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ผมว่า เขาจะเห็นอะไรจริงหรือไ่ม่ นั่นก็ชวนให้คิดตาม แต่ที่สุดแล้ว เขาเห็นอะไรไม่มีความ
หมายเท่าเราเห็นอะไร ผมว่าเราศรัทธาในความรู้เห็นของพระพุทธองค์ก็พอครับ คนอื่นจะ
เห็นอะไรเราก็ไม่อาจเห็นตามเขาได้ ถ้าจะให้ดีต้องทำให้รู้เองเห็นเองดีกว่าครับ เห็นจะจะ
ด้วยตัวเอง แจ่มกว่ากันเยอะครับ