[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 693
๘. อรัญญชาดก
ว่าด้วยการเลือกคบคน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 693
๘. อรัญญชาดก
ว่าด้วยการเลือกคบคน
[๖๙๐] คุณพ่อ ผมออกจากป่าไปสู่บ้านแล้วพึงคบคนที่มีศีลอย่างไร มีวัตรอย่างไรผมถามแล้ว ขอคุณพ่อจงบอกข้อนั้นแก่ผมด้วย.
[๖๙๑] ลูกเอย ผู้ใดพึงคุ้นเคยกะเจ้าก็ดี พึงอดทนความคุ้นเคยของเจ้าได้ก็ดี เชื่อถือคําพูดของเจ้าก็ดี งดโทษให้เจ้าก็ดี เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงคบหาผู้นั้นเถิด.
[๖๙๒] ผู้ใดไม่มีกรรมชั่วด้วยกาย วาจาและใจเจ้าไปจากที่นี้แล้วจงคบหาผู้นั้น ทําตนให้เหมือนบุตรผู้เกิดจากอกของผู้นั้นเถิด.
[๖๙๓] ลูกเอย คนที่มีจิตเหมือนน้ำย้อมขมิ้นมีจิตกลับกลอก รักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าอย่าคบหาคนเช่นนั้นเลย ถึงหากว่าพื้นชมพูทวีปทั้งหมดจะไม่มีมนุษย์ก็ตาม.
จบ อรัญญชาดกที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 694
อรรถกถาอรัญญชาดกที่ ๘
พระศาสดาเมื่อประโยคทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการประเล้าประโยคโลมของกุมาริกาอ้วนคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า อรฺา คามมาคมฺม ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้งในจุลลนารทกัสสปชาดก. ส่วนเรื่องในอดีตมีดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้วเรียนศิลปศาสตร์ในเมืองตักกศิลาแล้ว เมื่อภรรยาถึงแก่กรรมแล้วได้พาบุตรไปบวชเป็นฤๅษีอยู่ในหิมวันตประเทศ ให้บุตรอยู่ในอาศรมบท. ส่วนตนไปเพื่อต้องการผลาผล. ครั้งนั้น เมื่อพวกโจรปล้นปัจจันตคามแล้วพาพวกเชลยไป กุมาริกาคนหนึ่งหนีไปถึงอาศรมบทนั้น ประเล้าประโลมดาบสกุมารให้ถึงศีลวินาศแล้วกล่าวว่ามาเถิด พวกเราพากันไป. ดาบสกุมารกล่าวว่า จงรอให้บิดาของเรามาก่อน เราพบบิดาแล้วจักไป. กุมาริกากล่าวว่าถ้าอย่างนั้น ท่านพบบิดาแล้วจงมา แล้วได้ออกไปนั่งอยู่ที่ระหว่างทาง. เมื่อบิดามาแล้วดาบสกุมาร จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่พ่อ ฉันออกจากป่าไปสู่บ้านแล้วจะพึงคบคนที่มีศีลอย่างไร มีวัตรอย่างไร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 695
ฉันถามแล้ว ขอท่านจงบอกข้อนั้นแก่ฉันด้วย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรฺา คามมาคมฺม ความว่าข้าแต่พ่อ ฉันจากป่านี้ไปยังถิ่นมนุษย์ เพื่อจะอยู่ ถึงบ้านที่อยู่แล้วจะกระทําอะไร.
ลําดับนั้น บิดาเมื่อจะให้โอวาทแก่บุตรนั้น จึงกล่าวคาถา๓ คาถาว่า :-
ลูกเอย ผู้ใดพึงคุ้นเคยกะเจ้าก็ดี พึงอดทนความคุ้นเคยของเจ้าได้ก็ดี เชื่อถือคําพูดของเจ้าก็ดี งดโทษให้เจ้าก็ดี เจ้าไปจากที่นี้แล้วจึงคบหาผู้นั้นเถิด.
ผู้ใดไม่มีกรรมชั่วด้วยกาย วาจาและใจ เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงคบหาผู้นั้น ทําตนให้เหมือนบุตรผู้เกิดจากอกของผู้นั้นเถิด.
ลูกเอย คนที่มีจิตเหมือนน้ำย้อมขมิ้นมีจิตกลับกลอก รักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าอย่าคบที่คนเช่นนั้นเลย ถึงหากว่าพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้นจะไม่มีมนุษย์ก็ตาม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 696
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย ตํ วิสฺสาสเย ความว่าบุรุษใดพึงคุ้นเคย คือไม่รังเกียจเจ้า. บทว่าวิสฺสาสฺจ ขเมยฺยเตความว่า อนึ่ง บุคคลใดพึงคุ้นเคยแก่เจ้าซึ่งเจ้ากระทําตน ไม่รังเกียจ อดทนความคุ้นเคยนั้นได้. บทว่า สุสฺสูสี ความว่า อนึ่งบุคคลใดต้องการฟังคํากล่าวด้วยความคุ้นเคยของเจ้า. บทว่า ติติกฺขีความว่า อนึ่ง บุคคลใดอดกลั้นความผิดที่เจ้ากระทําได้. บทว่าตํ ภเชหิ ความว่า เจ้าพึงคบคือพึงเข้าไปนั่งใกล้บุรุษนั้น. บทว่าโอรสีว ปติฏาย ความว่า บุตรผู้เกิดแต่อกเจริญเติบโตอยู่ในอ้อมอกของบุคคลนั้น ฉันใดเจ้าพึงเป็นเสมือนบุตรผู้ตั้งอยู่ในอ้อมอกเช่นนั้น พึงคบหาบุรุษเห็นปานนั้น ฉันนั้น. บทว่า หลิทฺทราคํได้แก่ ผู้มีจิตไม่มั่นคงดุจย้อมด้วยขมิ้น. บทว่า กปิจิตฺตํ ได้แก่ชื่อว่ามีจิตเหมือนลิง เพราะเปลี่ยนแปลงเร็ว. บทว่า ราควิราคินํได้แก่ มีสภาพรักและหน่ายโดยชั่วครู่เท่านั้น. บทว่า นิมฺมนุสฺสมฺปิเจ สิยา ความว่า พื้นชมพูทวีปทั้งสิ้น ชื่อว่าพึงปราศจากมนุษย์เพราะไม่มีมนุษย์ผู้เว้นจากกายทุจริตเป็นต้น แม้ถึงเช่นนั้น เจ้าอย่าได้ซ่องเสพคนผู้มีจิตใจเบาเช่นนั้นเลย จงค้นหาถิ่นมนุษย์แม้ทั่วๆ ไปแล้วซ่องเสพคนผู้สมบูรณ์ด้วยคุณดังกล่าวในหนหลังเถิด.
ดาบสกุมารได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ข้าแต่บิดา ฉันจักได้บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ ณ ที่ไหน? ฉันจะไม่ไป จักอยู่ในสํานักของท่านบิดาเท่านั้น ครั้นกล่าวแล้วก็หวนกลับมา. ลําดับนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 697
บิดาจึงได้บอกกสิณบริกรรมแก่ดาบสกุมารนั้น. ดาบสทั้งสอง มีฌานไม่เสื่อมได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดา ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า บุตรและกุมาริกาในครั้งนั้นได้เป็นคนเหล่านี้ ส่วนดาบสผู้บิดาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอรัญญชาดกที่ ๘