พุทธวจน วัดนาป่าพงสอนถูกต้องรึไม่ที่ตัดคำสอนออกมาแล้วให้ฟังเพื่อไปภพภูมิที่ดี ช่วยชี้แจงความจริงด้วยคะ
ขอบพระคุณที่ให้ดวงตาเห็นธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ควรเป็นผู้ละเอียด แม้พระไตรปิฎก เป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่ละเอียดลึกซึ้ง แต่มีพระอรหันต์สืบต่อกันมา อธิบายอรรถะให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น คำใดที่สอดคล้อง ไม่แปลกแยก เป็นอรรถกถา อธิบายให้เข้าใจ ไม่แย้งกับคำเดิม ก็ควรศึกษาละเอียดให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นการตัดบางส่วนเอง ตามความคิดของตัวเอง แต่ตัดสิ่งที่ไม่ได้ขัดแย้งกับคำสอนก็ชื่อว่าทำลายพระพุทธศาสนา ครับ
@ ประเด็นกล่าวตู่อ้างว่า พระอภิธรรมเป็นคัมภีร์แต่งขึ้นภายหลัง จากสาวก หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า
ขอยกข้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ไม่มีอรรถกถาจารย์อธิบาย แสดงความจริงว่า พระพุทธเจ้า ตรัสว่ามีพระอภิธรรม ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และ ภิกษุทั้งหลายสมัยนั้นก็สนทนาพระอภิธรรมกัน
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท - หน้าที่ 275
ข้อความบางตอนจาก อัสสสูตรที่ ๑
....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษกระจอกสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ และสมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรากล่าวว่า นี้เป็นเชาวน์ของเขา และเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม อภิวินัย ก็วิสัชนาได้ ไม่จนปัญญา เรากล่าวว่านี้เป็นวรรณะของเขา และเขามักได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เรากล่าวว่า นี้เป็นความสูงและความใหญ่ของเขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษกระจอกเป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ และสมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลายบุรุษกระจอก ๓ จำพวกนี้แล ฯ
และเรื่อง ภิกษุสนทนากันเรื่องพระอภิธรรมสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต - หน้าที่ 352 (ฉบับมหาจุฬา ไม่มีอรรถกถา)
ข้อความบางตอนจาก...๖. จิตตหัตถิสาริปุตตสูตร
[๓๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ก็สมัยนั้น ภิกษุผู้เถระหลายรูปกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมสนทนา อภิธรรมกถากันอยู่ที่โรงกลม ได้ทราบว่า ในที่ประชุมนั้น ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อพวกภิกษุผู้เถระกำลังสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ลำดับนั้น ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กล่าวกะท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อภิกษุผู้เถระกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ขอท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร จงรอคอยจนกว่าภิกษุผู้เถระสนทนากันให้จบเสียก่อน ฯ
@ ประเด็นการกล่าวอ้าง เพียงเห็นศพสีเหลืองแล้วพยากรณ์ว่าเป็นพระอนาคามี
- ผู้ที่จะพยากรณ์ใครว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นไหน ต้องเป็นผู้มีพระปัญญา ดั่งเช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น พระอริยสาวกในอดีต มีท่านพระสารีบุตร อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแต่งตั้งเป็นผู้เลิศทางปัญญารองจากพระองค์ ก็ไม่ได้พยากรณ์ใครว่าเป็นพระอนาคามี เพียงเห็นศพสีเหลือง เพราะศพสีเหลือง เกิดขึ้นได้ แม้ไม่ได้ฟังคำพระพุทธเจ้า และผู้นั้นที่พยากรณ์ มีญาณ ปัญญาระดับใด จึงพยากรณ์ เพียงศพสีเหลืองว่าได้ฟังคำพระพุทธเจ้าก่อนตายเป็นพระอนาคามี เพราะ การเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่การเห็นด้วยตาปัญญาที่ได้ฌานอภิญญา
การยกพุทธวจนะ แต่ ตนเองอธิบายผิด ก็ชื่อว่าคำของตนเองเป็นคำของอัญญเดียรถีย์ นอกศาสนา ไม่ใช่แม้คำของพระอริยสาวก เพราะ อธิบายไม่สอดคล้องตามพระธรรมวินัย ทำลายพุทธวจนะ มีเรื่องปฏิเสธพระอภิธรรม และ พยากรณ์ศพสีเหลือง เป็นต้น พระอภิธรรมก็อันตรธานไป จากคำของผู้อ้างตนเป็นสาวก กล่าวตามพุทธวจนะแต่อธิบายผิด ว่าอภิธรรมเป็นคำแต่งภายหลัง และคนปัจจุบัน ส่วนมากก็ชื่นชมชอบกัน แต่ไม่พิจารณาความลึกซึ้งของพระธรรม เพราะคำที่บุคคลอธิบายต่อจากพุทธวัจนะ ที่อธิบายผิด ก็ชื่อว่าสาวกภาษิตนอกศาสนา สมกับพระพุทธพจน์ ฉบับมหาจุฬาที่ว่า
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย นิทานวรรคข้อความบางตอน...๗. อาณิสูตร ว่าด้วยลิ่ม
[๒๒๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี ...
“ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ได้มีตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะ เมื่อตะโพนแตก พวกกษัตริย์ทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป ต่อมาไม้โครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไปเหลือแต่โครงลิ่ม ฉันใดภิกษุทั้งหลาย ในอนาคต เมื่อผู้อื่นกล่าวสูตรที่ตถาคตกล่าวไว้ล้ำลึก มีเนื้อความลึกซึ้ง เป็นโลกุตตรธรรม ประกอบด้วยความว่าง ภิกษุทั้งหลายจักไม่ตั้งใจฟังให้ดีไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อรู้ทั่วถึง และไม่ให้ความสำคัญธรรมว่า ควรเรียนควรท่องจำให้ขึ้นใจ ฉันนั้นแต่เมื่อผู้อื่นกล่าวสูตรที่ท่านผู้เชี่ยวชาญได้รจนาไว้ เป็นบทกวี มีอักษรวิจิตรมีพยัญชนะวิจิตร อยู่ภายนอก เป็นสาวกภาษิต ภิกษุเหล่านั้นกลับตั้งใจฟังด้วยดีเงี่ยหูฟัง เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อรู้ทั่วถึง และจักสำคัญธรรมว่า ควรเรียน ควรท่องจำให้ขึ้นใจ ฉันใด แต่เมื่อผู้อื่นกล่าวสูตรที่ตถาคตกล่าวไว้ล้ำลึก มีเนื้อความลึกซึ้งเป็นโลกุตตรธรรม ประกอบด้วยความว่าง ก็จักอันตรธานไป ฉันนั้น
ขอเชิญอ่านข้อความพระไตรปิฎกฉบับบมหาจุฬาที่ไม่มีอรรถกถา เป็นพระพุทธพจน์ที่แสดงว่าควรฟังคำของพระอริยสาวก มีท่านพระสารีบุตร และ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ - หน้าที่ 337
๑๑. สัจจวิภังคสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิดโมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผลโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำในผลชั้นสูง สารีบุตรพอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผยจำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ได้โดยพิสดาร พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคต ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร ฯ
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท - หน้าที่ 23
[๑๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นบุคคลอื่นแม้คนเดียว ผู้ยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยมอันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบ เหมือนสารีบุตรนี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยม อันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบทีเดียว ฯ
ขออนุโมทนา
ศึกษาธรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.dhammahome.com
โดย มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การตายของสัตว์โลก คือ จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ชาตินี้ เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อความเป็นบุคคลใหม่สืบต่อทันที (สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส) เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไร และ ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผลนำเกิด ก็ย่อมทำให้เกิดในสุคติภูมิ ได้แก่ เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา ตามควรแก่เหตุ (คือกรรม) ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นกรรมชั่วให้ผลนำเกิด ก็ย่อมทำให้เกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉาน ทั้งหมด ล้วนเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น โดยตลอด เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนั้น ก็จะต้องศึกษาด้วยความเคารพในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ปัญญานี้เอง ที่จะสามารถแยกแยะตรงตามความเป็นจริงได้ว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ครับ.
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนาครับ ผมเองก็เคยโง่ เคยหลงเชื่อประเด็นนี้อยู่เหมือนกัน ประเด็นเรื่องการห้ามฟังคำสาวก กับ ประเด็นการตายตัวเหลืองแล้วอ้างผัคคุณะสูตร เพราะสำนักนี้มีการตัดต่อคลิปวิดีโอให้ดูให้ผู้คนส่วนใหญ่หลงเชื่อ ไม่เพียงแต่อ้างศพเหลืองเท่านั้น ที่เด็ดกว่านั้นคือ บอกคนฟังว่าจับแล้วเนื้อตัวยังนิ่ม ไม่เหมือนศพ ยกแขนขาได้สบาย ฯลฯ แล้วบอกว่านี่แหละอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ แล้วอ้างผัคคุณะสูตรว่าตรงกัน ทำให้คนส่วนใหญ่หลงเชื่อ แต่ผมฟังไประยะหนึ่งแล้วรู้สึกว่า เป็นคำสอนที่ไม่มีเหตุผล ถ้าการบรรลุพระอนาคามีมันง่ายอย่างนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะฟังพระธรรม เดี๋ยวรอให้ใกล้ตายก็เปิดพุทธวจนฟังทีเดียวก็เป็นอนาคาแล้ว คนทั้งโลกก็คงเป็นพระอนาคาไปหมด คาแบบไหนก็ไม่รู้ สงสัยจะคาราคาซัง ผมคิดแบบนี้ผมเลยเลิกเชื่อแล้วกลับมาฟังคำสอนท่านอาจารย์ สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนนี้แหละตรงที่สุด แล้วก็มีเหตุผล ส่วนสำนักพุทธวจนนี้ ผมไม่ทราบว่าทางวัดต้องการหาผลประโยชน์เพื่อขายซีดีพุทธวจนหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่ทราบ เพราะผมไม่เคยไปวัดนี้ เคยเห็นแต่ใน youtube เท่านั้น แต่ถ้าหากพระท่านขาย อันนี้ก็เข้าข่ายผิดพระธรรมวินัยแน่นอน แล้วที่อยากเล่าเสริมที่ผมรู้เกี่ยวกับวัดสำนักดังกล่าวนี้ก็คือ เดี๋ยวนี้ทางวัดมีนาฬิกาข้อมือละนันทิแล้ว ราคาน่าจะหลักหมื่น ประมาณว่าถ้าอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ใส่นาฬิกาต่ำกว่า 40 ครั้งต่อนาที เสียงพระสูตรพุทธวจนจะดังขึ้น อันนี้ชัดเจนเลยว่าเป็นไปเพื่อการค้า พอดีผมเห็นนาฬิกาข้อมือละนันทิใน google เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของวัดนี้ครับ ผมก็เลยรู้สึกว่า มันเหมือนเป็นการค้าอย่างหนึ่ง แล้วคนที่ไม่รู้ก็อาจตกเป็นเหยื่อ เท่าที่ผมทราบผมทราบแค่นี้ แต่รายละเอียดภายในจะเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ เพราะไม่เคยเข้าไปอยู่อย่างใกล้ชิด ผู้ที่ประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือละนันทิ อาจเป็นศรัทธาญาติโยมของวัดนี้ แล้วเมื่อประดิษฐ์ เมื่อมีการขาย ย่อมได้เงิน แล้วเงินเอาไปให้วัดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมไม่ทราบรายละเอียดเท่าใดนัก ต้องไปสืบดู แต่ที่แน่นอนเลย คือ ทำให้คนหลงผิด เชื่อผิด เกิดความงมงาย และ ยิ่งไปกว่านั้นคือ วัดนี้อาจกำลังทำการค้า
กรรมที่ผมได้ล่วงเกินไปแล้วโดยการวิพากษ์วิจารณ์ก็ขออโหสิด้วย ผมไม่ได้เจตนาโจมตีวัด แต่อยากให้คนส่วนใหญ่รับรู้จะได้ไม่หลงผิด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ เคยฟังของวัดนี้อยู่พักนึง
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลค่ะ