ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๖
โดย khampan.a  26 ส.ค. 2561
หัวข้อหมายเลข 30026

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๖


~ เห็นโทษของอกุศล ใคร่ที่จะดับอกุศล เพราะฉะนั้น มีทางเดียวที่จะดับอกุศลได้ โดยการที่เริ่มอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะได้เป็นปัจจัยที่จะทำให้กุศลจิตเกิดและสามารถที่จะดับกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ได้ในอนาคต
~ ผู้ที่พูดคำหยาบ จิตที่พูดในขณะนั้น ต้องเป็นจิตที่ประทุษร้ายบุคคลที่ตนกล่าวคำหยาบด้วย และถ้ามีโทสะเกิดมีกำลังแรงกล้าขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่จะกล่าววาจาที่เป็นผรุสวาจาเท่านั้น ก็ยังจะถึงประทุษร้ายร่างกายได้ หรือถึงกับทำลายชีวิตได้อันเนื่องมาจากการพูดคำหยาบนั้นเอง
~ เราสะสมอกุศลไว้มากและสะสมอวิชชา (ความไม่รู้) ไว้มากแล้ว วันนี้เราจะเอาสิ่งที่เราสะสมมาแสนโกฏิกัปป์ออกไปได้อย่างไร นอกจากสะสมใหม่ที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม แต่ว่าน่าอุ่นใจที่ว่าได้สะสมมาที่จะได้ฟังพระธรรมและพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราแม้ทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็มีพืชเชื้อที่จะเจริญเติบโตได้ในเมื่อเป็นความเห็นถูก ทุกชาติไปที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมและก็ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
~ เราไม่รู้ชีวิตข้างหน้าของเราว่าจะเป็นแบบไหน แต่ว่าถ้ามีปัญญา มีโอกาสได้ฟังพระธรรมไตร่ตรองพระธรรม ถึงกาลที่จะค่อยๆ เข้าใจพระธรรมยิ่งขึ้น ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปโลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวันนี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด
~ พระไตรปิฎกทั้งหมด จะมากไปด้วยบท พยัญชนะ พระธรรมเทศนาหาประมาณมิได้ในเรื่องของอกุศลธรรมและกุศลธรรมโดยละเอียด โดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล เพื่อที่จะได้ละอกุศล และก็เพื่อที่จะได้เห็นประโยชน์ของกุศล เพื่อที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

~ ไปทุกขณะ แต่ไปไหน ไปด้วยความไม่รู้ตลอดแล้วก็ยังคงไปต่อไปอีกชาติต่อๆ ไปในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่รู้หนทางว่าหนทางที่จะไปดีไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง ต้องต่างจากกำลังไป ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ก็ไปสู่ทางที่ไม่มีวันที่จะเข้าใจสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ได้
~ ฟังแต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไปดี ซึ่งแต่ละคำกำลังเป็นหนทางไปที่ดีจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่าทางนี้เป็นทางดีจริงๆ เพราะสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ คนที่มีเงินทองมากมายมหาศาล พรุ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว ด้วยประการใดๆ ได้หมดเลย โดยการที่จากชาตินี้โลกนี้ไปทรัพย์สมบัติที่เคยมีมากมายมหาศาลจะช่วยอะไรได้ หรือยังเป็นต่อไปหรือเปล่า ก็ไม่ใช่เลย หมดสิ้นเลย แต่ทั้งๆ ที่ยังไม่จากโลกนี้ไป (คนที่มี) ทรัพย์มหาศาลนั้นก็สามารถที่จะถูกฟ้องร้องได้ไหมจนหมดเนื้อหมดตัวได้ไหม ก็ได้ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าอะไรประเสริฐสุด ต้องเป็นสิ่งที่ดีและเหนือสิ่งที่ดีทั้งหมดก็คือสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้เลย จะไม่รู้จักพระองค์ ไม่เห็นคุณด้วยและไม่รู้หนทางด้วยว่าพระองค์ไปดีตั้งแต่เริ่มที่จะบำเพ็ญบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ที่จะไปในหนทางที่จะทำให้ไปสู่การดับกิเลส
~ ไปในการที่จะเป็นผู้ที่มีเหตุผล ไปในการที่จะเป็นผู้ตรง ไปในการที่จะเป็นผู้ว่าง่าย รู้ว่าอะไรไม่ดี ละได้หรือเปล่า ยากไหม เพราะไม่ใช่เรา อกุศลไม่ว่าง่ายเลย ดื้อด้าน บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง
~ ถ้าขาดการฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ ถอยห่างจากความจริง แต่ถ้าฟังความจริงเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เราเลย แต่เป็นทางที่จะทำให้รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ขาดสักหนึ่งคำหรือหนึ่งขณะก็ไม่ได้ที่จะปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น
~ เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจธรรม มีคนมาก ไม่น้อยเลยที่ไม่เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม แต่ว่าคนที่ได้เคยได้ฟังมาแล้วมากพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แค่นี้ก็ต้องสะสมมาที่จะมีการเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีอะไรที่จะมีประโยชน์เท่ากับได้เข้าใจความจริง เพราะอะไร เพราะจะจากโลกนี้กันไปทุกคน จะเป็นคนนี้อีกไม่ได้แน่นอน แล้วจะเป็นใคร?
~ อกุศล ไม่สามารถที่จะนำไปสู่ทางที่ดีได้เลย
~ เมื่อรู้ว่า อกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดี ควรมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มากๆ ไหม หรือว่าถ้ามีหนทางที่จะทำให้ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย นานแสนนานสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่สมควรที่จะละคลายอกุศลไหม เพราะจริงๆ ไม่มีใครรู้หรอก ว่า เป็นทุกข์ เพราะอกุศล
~ ยิ่งพุทธศาสนิกชนได้รู้ความจริง ก็จะได้เข้าใจถูกต้องว่าจริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้หายนะ (เสื่อม) แล้วมีพระพุทธศาสนาบ้างไหมที่ยังคงเหลืออยู่ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม จะไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ความเข้าใจธรรมเท่านั้นที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระพุทธศาสนาไว้ได้
~ เมื่อภิกษุไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทั้งหมด เกือบหมด มากที่สุดแล้วจะทำอย่างไร คฤหัสถ์ที่รู้ ก็เพ่งโทษผู้ที่กระทำผิด แล้วใครที่ไม่กระทำให้ถูกต้อง ก็กล่าวให้รู้ทั่วๆ กัน แต่ว่าเมื่อไม่มีความเข้าใจธรรม จะเอาอะไรไปพูด จะเอาอะไรไปกล่าว เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องจะอยู่เฉยหรือ หรือว่าความเข้าใจนั้นเป็นเหตุที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย เพราะว่า ประโยชน์ใหญ่ยิ่งคือคำสอนซึ่งยากที่จะมีได้ ถ้าไม่มีผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีใครสามารถที่จะได้รับมรดกที่ล้ำค่า ซึ่งไม่ใช่สำหรับผู้นั้นผู้เดียว แต่ใครก็ตามที่มีความเข้าใจธรรมก็ช่วยดำรงรักษาเพื่อคนอื่นต่อไป เพื่อประโยชน์ที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ถ้าแต่ละคนร่วมกันเป็นส่วนที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ความถูกต้องก็เพิ่มขึ้น เพราะมีผู้ที่ช่วยกันทำ ดีกว่าปล่อยปละละเลย ซึ่งก็คงจะร่วมกันคิดร่วมกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป
~ ประโยชน์ใหญ่ที่สุดยิ่งกว่าประโยชน์อื่นใดทั้งสิ้น ถ้าสามารถที่จะทำให้คนได้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัย ผู้ที่กระทำผิดก็จะพ้นโทษจากการที่กระทำผิด กลับเนื้อกลับตัวกลับใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ชีวิตข้างหน้ายังอีกยาวไกล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่แก้ไขวันนี้ ยังคงผิด ชาติหน้าก็คิดเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร ไม่มีทางที่จะกลับมาถูกได้ มีแต่โทษภัย
~ การที่สติไม่เกิด ไม่ระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรม จะทำให้ยังคงมีความเป็นตัวตน แล้วก็มีอกุศลธรรมที่ความจริงควรรังเกียจ แต่ก็ไม่รังเกียจ แล้วก็ยังไม่คิดที่จะละด้วย เพราะเหตุว่าไม่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง ทำให้มีความสำคัญในเรื่องราวต่างๆ บางคน คนอื่นทำผิดแล้วรับผิด ก็ยังไม่ยอมยกโทษให้ เพียงเท่านี้ สั้นๆ อย่างนี้ ก็จะเห็นอำนาจของกิเลส ว่า ทำไมจึงมีกิเลสมาก ถึงแม้ว่าจะยกโทษ ก็ยกโทษไม่ได้ จะเก็บความโกรธไว้ทำไม จะผูกความโกรธไว้ทำไม เพราะเหตุว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น
~ บัณฑิตดูจะเป็นไม่ยาก คือ ไม่เก็บความโกรธไว้ และเห็นว่าสิ่งใดเป็นโทษ ก็ไม่ยึดถือสิ่งนั้น แต่ว่าเวลาที่กำลังโกรธ และก็ไม่ยกโทษให้คนอื่น ลืมว่า การเป็นบัณฑิตแท้ที่จริงก็ไม่ยากอะไร เพียงแต่ว่าไม่โกรธต่อไปอีก และก็ให้อภัยคนอื่น แต่ว่าในขณะที่อกุศลจิตเกิด เป็นบัณฑิตไม่ได้

~ ไม่ว่าจะเป็นข้อความในพระไตรปิฎกหรือในอรรถกถา ก็เพื่อที่จะให้ประจักษ์แจ้งสภาพที่เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล) ของธรรมที่กำลังปรากฏ โดยนัยต่างๆ ที่จะให้จิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้น และก็ละคลายความยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แม้แต่จะเป็นเพียงการสนทนากันในระหว่างสนทนาธรรมถ้าจะเป็นข้อความตอนหนึ่งตอนใด ก็ควรที่จะให้เป็นประโยชน์ โดยการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
~ อะไรก็ตามที่กำลังมีจริงๆ แสดงว่าสิ่งนั้นมีจริงแน่นอน เป็นธรรม

~ ได้ลาภ คือ ได้ฟังพระธรรม แล้วก็รู้ว่าคำที่ได้ฟัง สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง

~ ความจริง ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากมีแต่ธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

~ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้น จากการที่ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีหนทางอื่น

~ สิ่งเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสงค์ ก็คือ ให้คนที่ได้ฟังธรรมมีความเข้าใจ, ถ้าทำทุกอย่างแต่ไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่ชื่อว่า รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะไปบูชาคุณด้วยอะไรก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่ด้วยความเข้าใจธรรม ก็ไม่ใช่จุดประสงค์ของการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้เราได้เข้าใจธรรม.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 26 ส.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย panasda  วันที่ 26 ส.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย peem  วันที่ 27 ส.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย jaturong  วันที่ 27 ส.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย มกร  วันที่ 27 ส.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 27 ส.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย Boonyavee  วันที่ 27 ส.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ