ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ นิกันติกอล์ฟคลับ อ.เมือง จ.นครปฐม ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐
โดย วันชัย๒๕๐๔  18 เม.ย. 2560
หัวข้อหมายเลข 28769

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันจันทร์ ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากรของมูลนิธิฯ อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคุณไชยยศ คุณชลชินี สะสมทรัพย์และครอบครัว เพื่อไปสนทนาธรรมที่ ห้องผัสสะ อาคารคลับเฮาส์ นิกันติกอล์ฟคลับ ตำบลธรรมศาลา อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.

คุณไชยยศ สะสมทรัพย์ (อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) ปัจจุบัน ในฐานะที่ท่านเป็นประธานกรรมการ นิกันติกอล์ฟคลับ ซึ่งได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มาสนทนาธรรมที่นี่ ในครั้งนี้ ได้กล่าวต้อนรับท่านอาจารย์ และทุกๆ คนที่มาร่วมสนทนาธรรมในคราวนี้ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมมากถึงประมาณ ๔๐๐ ท่าน ประกอบไปด้วยญาติสนิทมิตรสหายของท่านเจ้าภาพ เจ้าหน้าที่ พนักงาน แคดดี้ของสนามกอล์ฟ และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ที่เดินทางมาร่วมฟังการสนทนาจากจังหวัดนครปฐมเอง จากจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น สำหรับข้อความที่ท่านกล่าว ท่านได้กรุณาเล่าถึงเรื่องของการที่ท่านได้พบและเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้องจากการบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไว้อย่างน่าประทับใจและน่าฟัง น่าคิด น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อได้กลับมาฟังซ้ำอีก ก็รู้สึกว่า ควรที่จะได้ถอดความบางตอนที่ท่านกล่าว มาลงบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของทุกๆ ท่านด้วย ทั้งยังเป็นตัวอย่างอันดียิ่ง ที่บุคคลจะได้พิจารณาถึงหนทางของการสะสมอบรมปัญญาและกุศลทุกประการ ที่กว่าจะถึงพร้อมแก่กาลแห่งการรู้แจ้งความจริงตรงตามที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ในวันหนึ่งได้นั้น บุคคลย่อมต้องอบรมเจริญปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้อย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ เป็นการอบรม เจริญกุศลทุกประการ อันจะเป็นบารมีให้ถึงฝั่งได้ในวันหนึ่งซึ่งแม้แสนไกล แต่หนทางนี้ก็เป็นหนทางเดียว ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่มีทางอื่นเลย ซึ่งต้องอาศัยความอดทนและความเพียรเป็นอย่างยิ่ง

อนึ่ง จากการที่ได้ฟังคำกล่าวและคำปรารภของคุณไชยยศ จบลงแล้ว ทำให้ได้คิดพิจารณาถึงหนทางของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีในอดีตว่า หนทางอันยาวไกลในสังสารวัฏฏ์ของท่าน กว่าจะถึงกาลที่ได้พบและฟังคำจริง จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมพระองค์นี้ จนได้บรรลุถึงความเป็นพระโสดาบันในชาตินี้นั้น ย่อมต้องเป็นบุคคลที่ผ่านทั้งสุขและทุกข์มามากมาย และประการสำคัญที่สุด ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีการสะสม อบรมเจริญปัญญา และเจริญกุศลนานาประการมาอย่างยาวนานในอดีตอนันตชาติด้วย หาไม่แล้ว ความเป็นพระอริยบุคคลของท่านในชาตินี้จะมีไม่ได้เลย

ชีวิตของสัตว์โลกทั้งหลายก็เช่นกัน ย่อมเป็นผู้เคยเกิดมาในฐานะต่างๆ กัน ย่อมเคยทั้งการได้เกิดเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เคยเกิดเป็นผู้ที่ยากไร้ขัดสน เคยเกิดเป็นเทพเทวดา นางฟ้า ท้าวพระยา มหากษัตริย์ ตลอดจนคนโรคเรื้อนเข็ญใจ ประการต่างๆ ก็ด้วยกรรมที่ได้กระทำไว้มากมายในสังสารวัฏฏ์นั่นเอง แต่สิ่งที่เลิศที่สุด มีค่ามีสาระที่สุด เหนือรัตนะใดในสากลจักรวาลสำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่ไม่ว่าจะยากดีมีจนเช่นไร ย่อมมีสิ่งเดียวเท่านั้น คือ การได้พบพระสัทธรรมที่ทำให้มีความเข้าใจความจริงในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จากการได้ฟัง "คำจริง-วาจาสัจจะ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสะสมปัญญา ความเข้าใจนั้นไป ชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะถึงวันนั้น กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณไชยยศ คุณชลชินี สะสมทรัพย์และครอบครัวมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

คุณไชยยศ ก่อนอื่น ผมต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีเมตตากับพวกเราชาวนิกันติฯ ผมดีใจมาก เมื่อท่านอาจารย์ตอบรับว่าจะมาสนทนาธรรม จะมาตอบคำถามธรรมทุกประเด็นให้พวกเรา เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาฯ ที่ผ่านมา ดีใจมาก วันรุ่งขึ้นเลือดนัยน์ตาแตก ความจริงช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็เจอเหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชีวิต เมื่อสักครู่นี้ ตอนท่านอาจารย์เดินทางมาถึง ก็ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงว่า "ทุกอย่างเป็นธรรมะ" แต่พวกเราไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ!! จึงมี "ตัวเรา" เข้าไปติดข้องอยู่ทุกๆ ขณะ

ผมโชคดี ถึงจะไม่มาก ได้มีโอกาสฟังท่านอาจารย์สักประมาณแปดปี ไม่ได้รู้จักท่านมาก่อน เช้าวันหนึ่ง เปิดวิทยุ ก็ได้ยินเสียง ... สัมปฏิจฉันนะ..สันตีรณะ ... ไม่รู้เรื่องสักคำหนึ่งเลย แต่สุ้มเสียง ทำนองที่ท่านอาจารย์บรรยายธรรม น่าฟังมาก ยอมรับว่าติดในท่วงทำนองเสียงของท่านอาจารย์ เรื่อยมา..เรื่อยมา ... จนกระทั่ง ... เริ่มเห็นว่า ... ทุกๆ ขณะ..ไม่มีตัวเรา..ที่จะไปทำอะไรได้เลย!! ถ้าทำได้ ผมคงไม่ทำให้ตาต้องเป็นอย่างนี้ คงไม่ทำให้เส้นผมต้องหลุด จนเหลือไม่กี่เส้นอย่างนี้

ฟังมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ ยอมรับครับว่า ทำให้หลายสิ่งที่ตัวเองประสบพบมา เป็นวิบากที่เราทำไว้ทั้งหมด!! ไม่มีใครทำอะไรให้เราเลย ปัญหาก็คือ เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรไว้ แต่สิ่งที่เราทำไว้ ไม่หายไปไหน ต้องกลับมาแน่ ปัญหาที่สองก็คือ ไม่รู้ว่า เวลาไหนเขาจะกลับมา เหมือนอย่างเหตุการณ์ดีใจวันหนึ่ง อีกวันหนึ่งกลุ้มใจ เลยตาเป็นอย่างนี้

ทั้งหมด ชีวิตที่ผ่านมา ผมมีปัญหาหลายอย่างที่เกิดกับร่างกายของตัวเอง กำลังผ่าตัดทำบัลลูนหัวใจ ไฟดับทั้งโรงพยาบาล ต้องย้ายไปทำอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ปวดหัวอย่างรุนแรง เขาเรียกว่าโรคฆ่าตัวตาย หาหมอจนทุกหมอก็ว่าได้ ถ้ามองศีรษะผม ร่วมเจ็ดสิบเข็ม แต่ไม่ใช่เพราะผ่าศีรษะแล้วหายปวดหัว หายปวดหัวเพราะยามูลค่าห้าสิบบาท!! ถึงเวลาที่กรรมจะหมด สิ่งที่เราทำไว้ไม่ดี เราชดใช้จนครบถ้วน ก็หมดเวลา นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด

ผมพยายามที่จะต่อสู้กับประเพณีหลายอย่างที่ทำกันมา และพยายามที่จะเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดมาให้กับทุกคนที่ผมมีโอกาสรู้จัก ที่มีโอกาสสัมผัส ได้รู้อริยสัจจะคือความจริง ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพบ ทรงตรัสรู้และทรงแสดง วันนี้เราทั้งหลายก็ยังอยู่ในความฝัน ที่ไม่เคยรู้ความจริง

ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ และทุกท่าน ที่ได้ช่วยเกลาความคิดของคำว่า "นิกันติ" ซึ่งเป็นชื่อของสนามกอล์ฟที่นี่ ผมเชื่อว่า สนามของเราคงไม่ใช่สนามที่ดีที่สุดในโลก ห้องอาหารเราก็คงไม่ใช่เป็นห้องอาหารที่อร่อยที่สุด หลายๆ อย่างคงมีข้อเปรียบเทียบเสมอ แต่อย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่าไม่มีสนาม (กอล์ฟ) ที่ไหนในโลก ที่จะให้โอกาสคนรู้จัก "ความจริงของชีวิต"

ชื่อ "นิกันติ" ซึ่งอยู่ในแผ่นพับที่ได้ให้เจ้าหน้าที่วางไว้ เป็นสิ่งที่ถ้าไปที่อื่นๆ เราจะไม่เห็นสิ่งนี้ ก็จะมีแต่คนโฆษณาว่าสนามดีอย่างนั้น อย่างนี้ แคดดี้ดีอย่างนั้น อย่างนี้ อาหารอร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราพยายามที่จะอธิบายชีวิตที่เป็นจริง อริยสัจจธรรมที่มีจริง ... ..

โลโก้ของสนามเรา เป็นเลข ๖ ไทย ซ้อนกันสามตัว ๖ ทาง ๖ ปรากฏ ๖ รู้ อะไรคือ ๖ ทาง ชีวิตของพวกเราทุกคน ที่ไม่พิการ ที่มีเหมือนกันหมด ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มาทางไหน? ถ้าไม่มาจาก ๖ ทางนี้ อะไรปรากฏ "ทางตา" ก็มีแค่ "สิ่งที่ปรากฏ", "หู" ก็มีแค่ "เสียง" ที่ได้ยิน ทั้งหมดเกิดขึ้น ต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอะไรบ้าง ที่เราจะไปเกิดนอกเหนือจาก ๖ ทางนี้ นี่คือสิ่งซึ่งเราพยายามจะทำให้สนามกอล์ฟแห่งนี้ นอกจากมาเล่นด้วยความเพลิดเพลินแล้ว ก็ได้สาระที่จะเอาไปไตร่ตรองว่า จริงไหม? ใช่ไหม?

ทั้งหมดนี้ เราเชื่อว่า การที่จะให้อะไรกับคน ที่มั่นคงที่สุด ที่ดีที่สุด ก็คือให้เขาได้มีโอกาสรู้ความจริง เมื่อต้นปี เจ้าหน้าที่ที่นี่เขาก็จะทำบุญตามประเพณี มีมาเลี้ยงพระ ฟังพระสวด พรมน้ำมนต์ ผมก็เป็นคนขอร้องบอกอย่าเลย ผมจะเอาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ ประเทศไทยเรามีประเพณีทาง ที่ใช้คำว่าทางพระพุทธศาสนาเยอะมาก เยอะจริงๆ แต่ขาดอยู่อย่างหนึ่ง ที่สำคัญมากๆ ก็คือ ประเพณีในการฟังธรรม วันนี้ผมพยายามที่จะเอาประเพณีนี้มาให้พวกเราทุกคนได้มีโอกาส ทั้งหมดคือโอกาส อย่าคิดที่จะไปทำอะไร อย่าคิดที่จะไปหวังอะไร ถ้าจะคิด..คิดอย่างเดียวว่า ... "ฟังอย่างไรให้เข้าใจ"

ผมไม่มีวันไหน ถ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ที่จะไม่ได้ฟังท่านอาจารย์ ฟังจนเนทโทรศัพท์หมด จนลูกชายบ่นว่าป๋าไปใช้อะไรเยอะๆ แยะๆ ฟังทั้งวัน มีโอกาสฟัง ตื่นเช้าตีสี่ ก็ อสมท. เสร็จก็มี ตีห้าวิทยุรัฐสภา หนึ่งชั่วโมง แล้วก็มี สวพ.91 ครึ่งชั่วโมงตอนตีห้าครึ่ง วันนี้ เป็นโอกาสที่ดี ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์และคณะวิทยากรทุกท่านอีกครั้งหนึ่งครับ

(ตาลห้ายอด และกลุ่มต้นตาลดั้งเดิมในพื้นที่ ที่ถูกรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม ในหลุมที่เป็น signature-สัญลักษณ์ ของนิกันติกอล์ฟคลับแห่งนี้)

(นิกันติกอล์ฟคลับ เป็นสนามกอล์ฟที่สะสมพันธ์ุไม้โบราณ แปลก และ หายากไว้มากมาย "มะขามเทศสามสี" กลุ่มนี้ เป็นของสะสมหนึ่ง ที่หาชมได้ยาก)

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาระหว่างคุณวราวิชช์ สะสมทรัพย์ กับท่านอาจารย์ มาให้ทุกท่านพิจารณา คุณวราวิชช์หรือคุณนิก เป็นลูกชายของคุณไชยยศและคุณชลชินี สะสมทรัพย์ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จากการบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มานานหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าเคยพบคุณนิกที่บ้านคุณหมอทวีป ถูกจิตร ซึ่งคุณนิกติดตามคุณไชยยศและคุณชลชินีไปฟังการสนทนาธรรมที่บ้านคุณหมอทวีปด้วยหลายครั้ง คุณไชยยศเคยเล่าในที่สนทนาว่า ลูกชายคนนี้ของท่านใส่ใจในการฟังธรรมมาก จึงขออนุญาตนำความการสนทนาของคุณนิกกับท่านอาจารย์ในภาคบ่าย ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง มาให้ทุกๆ ท่านพิจารณาดังนี้

คุณวราวิชช์ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ขอขอบคุณท่านอาจารย์และคณะอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้โอกาสชาวนิกันติและทุกๆ ท่านในที่นี้ ที่มีโอกาสได้มาฟังธรรมในวันนี้ จากช่วงเช้าที่ได้ฟัง ก็มีคำถามว่า การฟังธรรมหรือการเข้าใจธรรมะ มีประโยชน์อย่างไรกับชีวิตของเราครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ประโยชน์ต้องค่อยๆ เริ่มเห็น "เมื่อเข้าใจ" ถ้าไม่เข้าใจเลย ก็จะไม่รู้เลยว่าเป็นประโยชน์ เหมือนไม่มีประโยชน์ แต่พอเข้าใจแล้ว ก็รู้ว่า จากไม่รู้ แล้วรู้ เท่านี้มีประโยชน์ ถูกต้องไหม? เพราะเหตุว่า รู้ต้องดีกว่าไม่รู้แน่!! และ มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ แล้วไม่รู้ เที่ยวไปรู้อื่นเยอะแยะมากมาย แต่ว่า ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ!!

เพราะฉะนั้น คนที่รู้จริง จะรู้อะไร? ไม่ใช่รู้สิ่งที่ยังไม่มี เพราะสิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่มีให้รู้ คนที่รู้จริง ก็คือคนที่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ ตามความเป็นจริง!! ซึ่งถ้าถามใครที่ยังไม่เคยฟังพระธรรมเลย เขาก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ ว่าขณะนี้ สิ่งที่มีจริง คือ อะไร? ตอบไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แต่ว่า "สิ่งที่มีจริง" ต้องรู้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้ "สิ่งนั้น" หมดแล้ว!!

เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ ไม่รู้ในสิ่งที่มีแล้วหมดไป จะเรียกร้องกลับมารู้อีกก็ไม่ได้ แต่ว่า ถึงแม้ว่าจะดับไปแล้วก็จริง แต่มีสิ่งที่เกิดใหม่ สืบต่อจากเมื่อกี้นี้ มาถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ต่อไปถึงเย็นนี้ ค่ำนี้ พรุ่งนี้ ไม่มีการหยุดยั้งเลย มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น "ประโยชน์" อยู่ที่ ผู้ที่รู้ว่าควรรู้ไหม? เพราะว่าเกิดมาก็ไม่รู้จนตาย ... ถ้าไม่ได้ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้!!!

เพราะฉะนั้น ถ้าใครบอกว่านับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่พอ!! ต้องเป็นคนที่ไตร่ตรองว่า ... เพราะอะไรจึงนับถือ? ... อยู่ดีๆ มีคนบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไหว้เสีย แล้วท่านสมควรแก่การที่จะกราบไหว้อย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้ว่า สามารถที่จะรู้ได้ว่า ทำไมท่านผู้นี้จึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคนอื่นเป็นไม่ได้เลย ต้องมีความพิเศษสุด เหนือบุคคลใดทั้งหมด ไม่ว่าโลกไหนทั้งสิ้น!! พรหมโลก สวรรค์ต่างๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อมีผู้ที่ได้แสดงความจริง แล้วมีโอกาสที่ได้ฟัง จะฟังไหม? แค่นี้ก่อน เพียงแค่ "เริ่มจะฟัง" จะฟังไหม? เพราะว่า ถ้าไม่ฟัง ก็ไม่มีทางที่จะ "รู้จัก" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อนับถือใคร ไม่ใช่ว่าเพียงนับถือ แต่ต้องรู้ว่า คนนั้นควรค่าแก่การนับถือ มีคุณความดีมากน้อยแค่ไหน?

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสักการะของแม้เทวดา พรหม ทุกคนหมด เพราะฉะนั้น ควรไหม? ที่จะฟัง ผู้ที่เป็นผู้รู้จริงๆ เพราะว่าถ้าถามว่าใครรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ตอบไม่ได้สักคน!! แต่มีผู้ที่ตอบได้ เพราะว่าได้ตรัสรู้แล้ว น่าฟัง น่าเข้าใจไหม? เพราะว่ากราบไหว้มานานแล้ว อาจจะตั้งแต่เล็กแต่น้อย แต่ก็เพิ่งจะได้เข้าใจว่าพระองค์ทรงมีพระปัญญาคุณมากน้อยแค่ไหน เหนือบุคคลใดจริงๆ

คุณวราวิชช์ โดยส่วนใหญ่แล้ว คนเราจะเรียนรู้จากการเห็นตัวอย่าง ทีนี้ ตัวอย่าง อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงเป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา มีอะไรบ้างครับ ที่เราจะต้องศึกษาหรือจะต้องเข้าใจสิ่งที่ท่านแสดงหรือที่ท่านมอบให้กับพวกเราครับ

ท่านอาจารย์ คุณความดีต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นที่นิยมเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กายของพระองค์เป็นอย่างไร? วาจาของพระองค์เป็นอย่างไร? เพราะ "ใจ" ของพระองค์ เป็นเหตุให้กายเป็นอย่างนั้น วาจาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าพูดถึงพระรูปกาย สง่างาม ไม่มีใครเปรียบได้เลย เมื่อเสด็จไปที่พระนครราชคฤห์ ผู้คนก็ตื่นเต้น ลองคิดดูว่า คนธรรมดาที่ยังมีกิเลส ก็ยังมีความสวยงาม มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ผู้ที่ประกอบด้วยพระปัญญา พระมหากรุณาและเป็นผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้เลยทั้งสิ้น พระรูปกายทั้งหมด ไม่มีใครเปรียบได้ด้วย

กล่าวได้ว่า ผู้ที่มีความงามรองจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ พระนางยโสธราพิมพา ทั้งหมด ก็เป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่พระเนตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่างกับคนอื่น ทุกคนก็มีตาเหมือนกันหมด แต่ที่จะประกอบด้วยพระคุณมากมาย และทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้เหนือบุคคลอื่น เพียงแค่นี้ ไม่ประทุษร้ายใคร เวลาเดินก็ไม่ใช่เหลียวหน้าเหลียวหลัง อยากเห็นโน่นเห็นนี่ สนใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ก็เป็นผู้ที่สงบ ด้วยพระปัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าใครเห็นพระองค์จริงๆ ก็จะรู้ได้เลยว่า พระพุทธรูปไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ของประเทศไหน ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงประกอบด้วยพระรูปกายเท่านั้น แต่ความที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี และมีพระปัญญาทั้งหมด "แต่ละคำ" เป็น "คำจริง" แม้แต่ขณะที่กำลังกล่าวธรรมะ ทอดพระเนตรลงต่ำ เพราะว่ามีผู้ที่นั่งไม่เสมอกับพระองค์แน่นอน แล้วก็กล่าวธรรมทุกคำ ด้วยพระมหากรุณา ก็ไม่ทราบว่าใครเคยเฝ้า เคยเห็น เคยฟังนะคะ ๒๕๐๐ กว่าปี

พระผู้มีพระภาคฯ ก่อนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากมาย ก็เหมือนทุกคน คนที่ยังมีกิเลสก็เป็นอย่างหนึ่ง คนที่มีคุณความดี ได้พิจารณาไตร่ตรอง เริ่มตั้งแต่รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ที่เกิดมาแล้วก็ต้องจากไป ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยสักอย่าง ผมสักเส้นหนึ่ง ฟันสักซี่หนึ่งก็เอาไปไม่ได้เลย แล้วอะไรจะเป็นของเรา อยู่ข้างนอกเป็นของเราไม่ได้แน่ ที่ตัวแท้ๆ ก็ยังไม่ใช่ของเราจริงๆ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่แสดงความจริงให้เห็นความจริง เพื่อที่ว่า จะได้ละ "ความไม่รู้" และ "ความติดข้อง" เพราะไม่รู้!! ทุกคนจึงทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้ามีปัญญา เห็นโทษของความไม่รู้ และรู้ว่า ความดีก็ต่างกับความไม่รู้ ความดีไม่เคยนำสิ่งที่เป็นโทษมาให้เลยสักอย่างเดียว และความดีเท่านั้นก็ยังไม่พอ!! ต้องเป็นปัญญาที่สามารถชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ด้วย!! เพราะเหตุว่า ความไม่รู้เป็นต้นเหตุของความไม่ดีทั้งหมด!!

ถ้าเราได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริง "ไม่มีเรา" หลงยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนาน หลงจริงๆ !! ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไปเรื่อยๆ ปรากฏให้เห็น แต่ไม่เห็น!! อาหารที่รับประทานเมื่อกี้นี้อยู่ไหน? จากสิ่งที่อยู่ในจาน สวยงามเรียบร้อย ก็มาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในปาก แล้วก็ย่อยสลายไป อยู่ไหน? ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ลวงเหมือนยังมีอยู่เพราะอะไร? เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นและดับไป ก็มีสิ่งอื่นเกิดขึ้นสืบต่อเร็ว สนิท จนกระทั่งไม่รู้เลยว่าไม่ใช่อันเก่า เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ทุกคนก็เคยดูหนังใช่ไหม? มีรูปภาพกี่รูป? มองไม่เห็นเลย เห็นแต่เป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อตลอดเวลา และจะต่างอะไรกับขณะนี้?

เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นเรื่องที่สามารถจะ "เริ่มเข้าใจ" จากการคิดถึงชีวิตจริงๆ ของเราเอง ของญาติพี่น้อง ของเพื่อนฝูง ของประเทศชาติโน้น ชาตินี้ หลากหลายมาก ทำไมไม่เหมือนกัน ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเป็นหลากหลาย เพราะฉะนั้น ทุกคนก็เริ่มพิจารณาว่า ความทุกข์ทั้งหลายมาจากไหน แล้วก็รู้สาเหตุว่า จริงๆ แล้ว อะไรที่เป็นทุกข์ และ ทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น คือ อะไร?

ถ้าจะถาม บางคนอาจจะบอกว่า ความตาย เป็นทุกข์ ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทุกข์ยิ่งกว่านั้นมีไหม? เห็นไหม? ทุกข์ที่เดี๋ยวนี้เอง ตายทุกขณะ!! ตายหมายความว่าดับไป แล้วไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น "คิด" เมื่อกี้นี้ ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะแต่ความคิด "เห็น" เดี๋ยวนี้ ดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ "เห็น" เท่าไหร่? เกิด-ดับ สืบต่อ จนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ และสภาพที่จำ เห็นก็จำ ได้ยินก็จำ "ความจำ" มีจริง

เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น รวมกันแล้ว ก็ปรากฏเหมือนสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เที่ยง อย่างดอกไม้ดอกหนึ่ง ประกอบด้วยกี่กลีบ และกลีบนั้นย่อยออกไปได้ไหม? ให้ละเอียดที่สุดก็ยังเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่มารวมกัน ฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างแม้รูปร่างกายเราก็ฉันนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด ไม่เว้นเลย ธรรมะทั้งหมด เป็นอย่างนี้ เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า "กำลังเกิดดับ" จนกว่า ... ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในแต่ละหนึ่ง ว่าหนึ่งนี้ ไม่ใช่หนึ่งนั้น เมื่อหนึ่งนี้ไม่ใช่หนึ่งนั้น หนึ่งนี้ดับ ก็ปรากฏว่า หนึ่งนี้ ไม่ใช่หนึ่งที่เกิดต่อทันที

ความจริงสามารถที่จะรู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง แต่เพราะเหตุว่า มีผู้ที่สะสมที่จะเห็นประโยชน์ของการที่ได้เข้าใจความจริง แล้วก็เป็นผู้ที่ "ตรงต่อความจริง" มีใครไม่ชอบความจริงบ้าง? ถามจริงๆ ว่ามีใครไม่ชอบ "ความจริง" บ้าง? อาจจะชอบสิ่งที่หลอก สิ่งที่ลวง แต่ก็ยังรู้ว่า สิ่งนั้นลวง และหลอก

เพราะฉะนั้น "ความจริง" เป็นสิ่งที่ควรจะรู้ ว่าถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าเพลิดเพลินยินดี ไม่น่าพอใจ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ก็รู้เสียดีกว่าไม่รู้ ใช่ไหม? เราเปลี่ยนความจริงไม่ได้เลย ก็ควรจะรู้ความจริงนั้น ดีกว่าไม่รู้

เพราะฉะนั้น อะไรเป็นทุกข์เหนือทุกข์ใดๆ ยิ่งกว่าทุกข์ใดๆ ทั้งหมด? ก็คือ สิ่งที่มีนี้แหละไม่เที่ยง เที่ยงแปลว่ายั่งยืน สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ไม่ยั่งยืนเลยสักอย่างเดียว!! ฟังแต่ละคำ ... แต่ละเสียง ... คิดตามคำ ... ที่ได้ยิน ... พอหมดคำนั้น มีคำอื่น ก็คิดตามคำอื่นต่อไป

เพราะฉะนั้น จึงมี ๖ โลก ... "โลกทางตา" ไม่มีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วยเลยทั้งสิ้น "คิด" ก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง เสียง ... กลิ่นใดๆ ก็ไม่มี เพราะขณะนั้น มีสิ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่ง แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่า การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ก็ลวงให้เห็นว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเกิด และไม่มีอะไรดับเลย เป็นสิ่งที่ยาก ... แต่รู้ได้ สัจจะ เป็นความจริง ถึงยากเพียงไร ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ดีกว่า อยู่ไปโดย "ถูกลวง" ตลอดเวลา เกิดมามีความสุข มีความสบาย มีอาหารอร่อย ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอยู่ไหน? ชั่วคราวจริงๆ แสนสั้น!!

เพราะฉะนั้น "ความไม่รู้" ก็จะทำให้ต้องเกิดต่อไป เกิดมาแล้วนานแสนนาน รู้ไม่ได้เลย แม้เมื่อวานนี้ดับไปแล้วก็ลืม ว่านี่อย่างไร ที่ว่าเกิดมานานแสนนาน แม้เพียงแค่วันเดียว ยังนานแค่หนึ่งวัน และก่อนวันเมื่อวานนี้ ก็มีอีก มีอีก ถอยไป ก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เมื่อวันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้อีก ชาติหน้า ต่อๆ ไป ก็เป็นอย่างนี้อีก ไม่จบสิ้น จนกว่าจะรู้ว่า แล้วมีประโยชน์อะไร?

"แต่ละคำ" ... ฟัง ... สำหรับ.."คิด" ... สำหรับ ... "ไตร่ตรอง" ... สำหรับรู้ ว่าจริงไหม? เมื่อรู้ว่าจริง สิ่งนั้นควรเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงไหม? ว่าขณะนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ปรากฎแล้วดับ ถึงอาการเกิดขึ้นแล้วดับไม่ปรากฏ แต่เริ่มพิจารณาว่า ... จริงไหม? แค่นี้ก่อน!! ถ้าจริง ฟังบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ก็จะมีความเข้าใจว่า เมื่อไหร่จะถึงวันที่พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ จะได้ตรัสรู้ความจริงอย่างที่ได้ตรัสไว้แล้ว ให้ทุกคนได้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งทุกคนก็จะเริ่มจากการฟังก่อน แล้วค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ มั่นคง โดยที่ว่าไม่สามารถจะไปขวนขวายทำอะไรได้ ที่จะเปลี่ยนสภาพธรรมไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้

เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ จะรู้ความจริงได้เมื่อไหร่? เมื่อกำลังปรากฏ!! ถ้ายังไม่เกิด ไม่ปรากฏ รู้ไม่ได้!! เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นคนที่มีอัธยาศัย ชอบสิ่งที่สวยงาม ก็เป็นเครื่องเตือนแล้ว ว่าเราเห็นสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็เห็นความงาม ความน่าพอใจของสีสันที่ปรากฏมานานเท่าไหร่ จนกระทั่งเห็นอีก ความพอใจนั้นก็เกิดขึ้นอีก แต่ในสิ่งที่ ... เพียงปรากฏ ... เพราะว่าสิ่งที่เราพอใจ..ดับแล้ว...เห็นใหม่ พอใจในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แล้วก็จำไว้ด้วย แสวงหา แล้วลืมใหม่?

สิ่งที่เราชอบมากๆ เราไปซื้อมา เดี๋ยวนี้อยู่ไหน? ใครนึกออก? ถ้าเป็นแหวนเพชร หรือว่าแหวนทับทิม เพชรสีชมพู เพชรอะไรก็ตามแต่ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน? พอใจในขณะที่กำลังเห็น แน่นอนที่สุด มาก ... แล้วพอไม่เห็น ... จำได้ ความพอใจจะเท่าที่กำลังเห็นไหม? ไม่เท่า!!

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ละเอียดอย่างยิ่ง เป็นความจริง แต่ว่า ... ความจริงนั้น..ก็คือ..ความลวง ... ให้เห็นว่า..แม้สิ่งนั้นดับไปแล้ว ... ก็ยังจำ ... ว่ามี ... .ถ้าประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนี้ ก็สามารถที่จะ ละเหตุของความทุกข์ คือความติดข้องว่า "มีเรา" เพราะเหตุว่า สิ่งที่ทุกคนรักที่สุด คิดนะคะ..ใคร? คะ? ตอบได้ ใช่ไหม?

คุณวราวิชช์ ตัวเราเองครับ
ท่านอาจารย์ ตัวเอง ... บางคนอาจจะบอกว่า รักลูก ถ้าไม่มีเรา "ลูก" นั้นของเราหรือเปล่า? เด็กคนนั้นของเราหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ใช่ไหม? แต่ทำไมรักลูกนี้ ไม่ใช่ลูกอื่นๆ เด็กเยอะแยะใช่ไหม? แต่ลูกนี้ เพราะเหตุว่า "มีเรา" และนั่นคือ "ของเรา"

เพราะฉะนั้น สาเหตุทั้งหมด ก็มาจากความ "เป็นเรา" และ "มีเรา" ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า "เราไม่มี" กว่าจะรู้อย่างนี้ ยากแค่ไหน? เพราะว่า เพียงแค่คำเดียว "ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้" ใช่ไหม? เริ่มคิด ... เดี๋ยวนี้เอง!! "มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้" จริงไหม? จริงนะคะ หลับตาสิ ... ไปไหนหมด!!! ไม่เหลือเลย!! เห็นไหม? รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่มี ที่ปรากฏเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นคน เป็นเก้าอี้ ... เพียงแค่..หลับตา ... อยู่ไหนล่ะคะ? สีดำๆ ขาวๆ รูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ หายไปไหนหมด!! จริงไหม? จริง!!! นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ขณะ "เห็น" เป็นหนึ่งขณะ ... ถ้าไม่เห็นเมื่อไหร่ สิ่งที่ปรากฏไม่มีเมื่อนั้น..เพียงแค่หลับตา ... ก็ไม่มีแล้ว ... และความจริงยิ่งกว่านั้นก็คือว่า จะหลับหรือไม่หลับ สิ่งนั้นก็เกิดและดับ ...

พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักพระคุณ ... ที่ว่า..ธรรมดาแท้ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ใครไม่สามารถจะรู้ได้ ลวงให้หลงอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่รู้ พอเป็นความรู้ ความรู้นั้นจะค่อยๆ ละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้น ว่า "เห็น" เป็น "เห็น" ไม่ใช่เรา, "คิด" เป็น "คิด" ไม่ใช่ "เห็น" แต่เวลามีเห็นมีคิด รวมๆ กันทุกวัน ก็เป็นเราไปหมดทั้งวัน!!! ด้วยความไม่รู้!! แต่ความจริงก็เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ทุกคำ สำหรับไตร่ตรองและเข้าใจขึ้น แล้วก็ระลึกถึงที่จะรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่ง เช่น พระโพธิสัตว์ ก็จะได้รู้ความจริงอย่างผู้ที่ได้เป็นพระอริยบุคคล โดยฐานะต่างกัน แต่โดยฐานะของความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องยากกว่าใครทั้งหมดเลย เพราะว่าไม่มีบุคคลใดเปรียบได้ รองลงมาก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แม้ไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลสมัยซึ่งไม่มีใครสนใจฟังธรรม ไม่มีใครศึกษาธรรม ไม่มีใครพิจารณาความละเอียดของธรรม คิดง่ายๆ สำนักปฏิบัติบ้าง หรืออะไรบ้าง ทั้งหมด แล้วรู้อะไร? คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครสักคนหนึ่งที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพระองค์ตรัสว่าไปสำนักปฏิบัติแล้วปฏิบัติ ไม่มีในพระไตรปิฎก!! เพราะว่า "ปฏิปัตติ" ต้องเป็น "ธรรมะ" ซึ่งไม่ใช่เรา!!

ลืมแต่ละคำที่ได้ฟังไม่ได้เลย!! ตั้งต้นตั้งแต่ "ธรรมะเป็นธรรมะ" ต้องมั่นคง ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น โกรธก็เป็นธรรมะ ดีใจก็เป็นธรรมะ คิดก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าอะไรจริงทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลีไม่มีคำว่า เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำที่ชาวเมืองเขาใช้กัน คือ "ธรรมะ" เพราะฉะนั้น เขาเข้าใจได้ พอกล่าวถึงธรรมะก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ คือ ความจริงของสิ่งที่มีจริง

ด้วยเหตุนี้ ทุกคำที่ได้ยิน น่าสนใจที่สุด!!! เพราะอะไร? พูดถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ได้ลวงใครเลย ... ไม่ได้ไปทำให้ใครไปทำอะไร แต่สิ่งที่มีแล้วนี้ต่างหากไม่รู้!! จึงให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ พระองค์ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ถึงที่สุด!!! ว่าเพียงสิ่งที่ปรากฏกระทบ เป็นสีสันวรรณะต่างๆ นั่นหรือคนนั้น คนนี้ คนโน้น แสดงว่าความไม่รู้และความลวง มากมายมหาศาลระดับไหน?

เพราะฉะนั้น พระปัญญาคุณของพระองค์ กว่าจะทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ก็ต้องมาก และคนฟังเองก็ต้องรู้ความจริงว่า เปลี่ยนความจริงนี้ไม่ได้ เพราะเพียงหลับตา ไม่มี ... ใครจะเปลี่ยนให้มีได้? คะ? หลับตาแล้วให้เห็นเหมือนลืมตาได้ไหม? ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องเป็นประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ารัตนะใดๆ แม้แต่ว่า วันนี้ได้ยินเพียงแค่นี้ ก็เป็นความจริงเท่าที่ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจได้ แต่ความจริงนี้พิสูจน์ได้ทุกคำ เกิดขึ้นจริงๆ ดับไปจริงๆ มิฉะนั้น ยังคงเป็นเรา

คุณวราวิชช์ ขออนุญาตคำถามสุดท้ายนะครับ เมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์บอกว่ามีปัญญาเห็นโทษ อย่างพวกเราชาวไทยหรือชาวพุทธ ก็จะได้ยินเรื่องของกรรม สิ่งที่กระทำ แล้วก็ส่งผลไปเป็นผลของกรรมก็คือวิบาก การที่เราเข้าใจรูปแบบนี้ แต่บางทีวิบากกว่าจะมาเกิดในสิ่งที่เรากระทำ มันไม่ทันที ทำให้คนเหมือนทำในสิ่งที่ไม่ดี จะทำอย่างไรให้เข้าใจเรื่องของกรรมและเกรงกลัวต่อวิบากที่จะเกิดมากขึ้นครับ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีวิบากไหม? ก่อนอื่น ทุกคำต้องเข้าใจในภาษาของตน ของตน "วิ-ปา-กะ" ในภาษาบาลี หมายความถึง "สภาพรู้" ไม่ใช่สิ่งที่ไม่รู้อะไร โต๊ะไม่ใช่วิบาก เพราะว่าไม่ใช่ "สภาพรู้" เพราะฉะนั้น เหตุคือกรรม การกระทำ ก็ไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่รู้อะไร "ธาตุรู้" มีมากมายหลายอย่าง ตอนเช้าเราพูดถึงเรื่อง ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงหลากหลาย ต่างประเภท สิ่งที่มีจริงประเภทหนึ่งคือ เกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร เป็น "รูปธรรม" ทั้งหมดเลย

ถามนิดหนึ่ง "หิว" มีจริงไหม? เป็นธรรมะหรือเปล่า? ธรรมะคือไม่ใช่เรา เป็นธรรมะคือ "สิ่งที่มีจริง" เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม? เมื่อเช้านี้เรากล่าวถึงแล้วว่า ธรรมะที่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้อะไร เป็น "รูปธรรม" ทั้งหมดเลย ทุกชนิด และ "ธาตุรู้" ซึ่งเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ รู้สึก จำได้ พวกนี้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ถูกจำทั้งนั้น เพราะฉะนั้น สภาพที่จำ สภาพที่คิด ทั้งหมดนี้เป็น "นามธรรม" เพราะฉะนั้น "หิว" เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม?

คุณวราวิชช์ นามธรรมครับ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ นี่คือประโยชน์ไหมที่จะรู้? บังคับไม่ให้หิวได้ไหม?
คุณวราวิชช์ ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ หิวมากหิวน้อย บังคับได้ไหม?
คุณวราวิชช์ ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างหมด ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เป็นอย่างนั้น ตามเหตุ ตามปัจจัย..เพราะฉะนั้น เริ่มรู้แล้วว่า กำลังหิว ขณะนั้นเป็นธรรมะที่มีจริง เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา!!! แค่นี้ กว่าจะทุกอย่าง ทุกอย่างคือไม่เว้นเลย จากในสังสารวัฏฏ์ที่ไม่เคยรู้และยึดถือผิดๆ มาตลอดว่า เป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

กว่าจะค่อยๆ รู้ว่า เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ทางตา แต่ไม่ใช่ใครสักคน!! ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย กว่าจะลบ..ล้าง ... ความเห็นผิด..จำผิด ... ยึดถือมาผิดๆ ... จนกระทั่งประจักษ์แจ้ง ... ใช้คำว่า "ประจักษ์แจ้ง" หมายความว่า สภาพนั้นต้องปรากฏแสนสั้น จึงจะไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพียงแค่ปรากฏนิดเดียว เอาดอกไม้หนึ่งดอกไปแตกย่อย สลายจนกระทั่งเหลือนิดเดียว จะเป็นดอกไม้ไหม? ก็ไม่เป็น แต่พอมารวมๆ กัน อย่างเดียวกันเอามารวมกัน ก็เป็นกลีบดอกไม้กลีบหนึ่ง เป็นใบ เป็นต้น เป็นราก เหลือที่จะประมาณได้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับ ปกปิด หลอกลวงความจริงให้เหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่ดับเลย

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ฟังทุกคำ เข้าใจเมื่อไหร่ แม้ "ความเข้าใจ" ก็ "เป็นธรรมะ" ไม่ใช่เรา!!! จึงมีคนฉลาด มีคนโง่ มีคนรู้ กับมีคนไม่รู้!!! มีทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ไม่ว่าจะชาติใด ประเทศใด คนใด มีจริงทั้งนั้น และหลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง

วิชานี้ น่าสนใจไหม? วิชชา ความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นวิชาที่เหนือวิชาใดๆ ทั้งสิ้น!! ใครจะไปเรียนวิชาอะไรมาทั้งหมด ก็ไม่รู้วิชานี้!!! ใช่ไหม? ว่าขณะนี้ ไม่ใช่เรา!!! เป็นแต่เพียงธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมาก และมีจริงๆ แล้วก็เกิดดับด้วย!!

"ทุกคำ" พิสูจน์ได้!! นี่เป็นสิ่งที่ควรสะสมไหม? เมื่อเป็นความจริง แล้วควรจะรู้หรือไม่รู้? ถ้าจะรู้ รู้ได้ แต่ไม่ใช่ทันที เพราะความรู้ ไม่ใช่เราหรือใคร ที่จะไปพยายามนั่งปฏิบัติ ที่หนึ่งที่ใด แต่ต้องสะสม เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ตราบใดที่สามารถจะเข้าใจได้ โดยความไม่ใช่เรา โดยความเป็นอนัตตา ถ้าไม่เคยฟังเลย หมดโอกาส!!

เพราะฉะนั้น ใครจะบอกว่า ฟังธรรมะทำไม เสียเวลา ไปปฏิบัติดีกว่า ผิด!!! เพราะเหตุว่า จะไปรู้อะไร? คะ? ถามจริงๆ ว่าจะไปรู้อะไร? นั่งเฉยๆ จะรู้อะไร? แต่เพราะ ได้ยิน ได้ฟัง "คำ" ซึ่งยากแสนยากที่ใครจะได้ฟัง ต้องเป็นผู้ที่มีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน และไม่ลืมว่า ขณะนี้เอง กำลังเป็น "ปางก่อน" ของ "ชาติหน้า" ถ้าเรามีความเข้าใจในชาตินี้ ต่อไปเราก็มีโอกาสจะได้ฟังอีก..เข้าใจอีก ... จนกว่าจะถึงวันที่เป็น "อภิสมัย" สมัยคือขณะ ... อภิคือยิ่งใหญ่ในสังสารวัฏฏ์ ที่ได้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏกับปัญญา ซึ่งไม่ใช่เรา!! แต่จากการฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ตามลำดับ ค่อยๆ ละความไม่รู้ไป สภาพธรรมะก็ปรากฏ!!!

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 115-116
๑. จักกสูตร ว่าด้วยจักร ๔

[๓๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักร (คือธรรมดุจล้อรถ) ๔ ประการนี้เป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้วได้จักร (ที่จะหมุนนำไปสู่ความเจริญ) ๔ ประการ เป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้ว ถึงความใหญ่ความไพบูลย์ในโภคทรัพย์ทั้งหลายไม่นานเลย จักร ๔ ประการ คืออะไร

คือ ปฏิรูปเทสวาสะ (ความอยู่ในถิ่นที่เหมาะ) ๑ สัปปุริสูปัสสยะ (ความพึ่งพิงสัตบุรุษ) ๑ อัตตสัมมาปณิธิ (ความตั้งตนไว้ชอบ) ๑ ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีความดีอันได้ทำไว้ก่อน) ๑ นี้แลจักร ๔ ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้วได้จักร ๔ ประการ เป็นเหตุให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมแล้ว ถึงความใหญ่ความไพบูลย์ในโภคทรัพย์ทั้งหลายไม่นานเลย

นรชนพึงอยู่ในถิ่นที่เหมาะ พึงทำอารยชนให้เป็นมิตร ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ มีความดีอันได้ทำไว้ก่อน ข้าวเปลือก ทรัพย์ ยศ เกียรติ และความสุข ย่อมพรั่งพรูมาสู่นรชนผู้นั้น.

จบจักกสูตรที่ ๑

อรรถกถาจักกสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในจักกสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า จกฺกานิ คือ สมบัติ. บทว่า ตุจกฺกํ วตฺตติ ความว่า จักรคือสมบัติ ๔ ย่อมหมุนสืบต่อกัน ไป. บริษัท ๔ ย่อมปรากฏพร้อมในถิ่นใด ความอยู่ในถิ่นอันสมควรเห็นปานนั้น ชื่อว่า ปฏิรูปเทสวาสะ ความอยู่ในถิ่นที่เหมาะ. ความพึ่งพิงคบหาสัตบุรุษมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ชื่อว่า สัปปุริสูปัสสยะ ความพึ่งพิงสัตบุรุษ. การตั้งตนไว้ชอบ คือ ถ้าเป็นคนประกอบด้วยความไม่มีสัทธาเป็นต้นมาก่อน การละความไม่มีสัทธาเหล่านั้นเสียแล้วตั้งอยู่ในสัทธา เป็นต้น ชื่อว่า อัตตสัมมาปณิธิ ความตั้งตนไว้ชอบ. ความเป็นผู้มีกุศลอันสั่งสมไว้ในกาลก่อน ชื่อว่า ปุพฺเพ จ กตปฺญฺญตา ความเป็นผู้ทำบุญมาก่อน. ข้อนี้แหละ ถือเอาเป็นประมาณในจักร ๔ นี้.

เพราะว่ากุศลกรรมเท่านั้น อันคนใดทำด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยญาณอันใด กุศลจิตนั้นแหละ ย่อมนำคนนั้นเข้าไปอยู่ในถิ่นที่เหมาะ ให้เขาคบหาสัตบุรุษ. ก็บุคคลนั้น ชื่อว่า ตั้งตนไว้ชอบ ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า ปุญฺญกโต แปลว่า ได้ทำบุญไว้แล้ว. บทว่า สุขญฺเจตํ อธิวตฺตติ ความว่า และความสุขย่อมพรั่งพรู คือ แผ่ลงมาสู่บุคคลนั้นดังนี้.

จบ อรรถกถาจักรสูตรที่ ๑

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณไชยยศ คุณชลชินี สะสมทรัพย์และครอบครัว
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่นี่ ...



ความคิดเห็น 1    โดย Mayura  วันที่ 19 เม.ย. 2560

งดงาม อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

_ () _ _ () _ _ () _


ความคิดเห็น 2    โดย Patchanon  วันที่ 19 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย Dolrudee  วันที่ 19 เม.ย. 2560

กราบอนุโมทนาแด่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้แสดงธรรมะอันแจ่มชัด ขอแสดงความยินดีกับชาวนิกันติและผู้เข้าร่วมฟังธรรมะตามดำริของผู้บริหารครั้งนี้ อนุโมทนากับการประกอบธุรกิจด้วยธุรธัมม์ของท่านและครอบครัว


ความคิดเห็น 4    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 20 เม.ย. 2560

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย kullawat  วันที่ 22 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย chvj  วันที่ 22 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ