[คำที่ ๓๘๕] อมิตฺต
โดย Sudhipong.U  10 ม.ค. 2562
หัวข้อหมายเลข 32505

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อมิตฺต”

คำว่า อมิตฺต เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - มิด - ตะ] มาจากคำว่า (ไม่) กับคำว่า มิตฺต (มิตร,เพื่อน) แปลง เป็น รวมกันเป็น อมิตฺต เขียนเป็นไทยได้ว่า อมิตร แปลว่า ไม่ใช่มิตร มีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงในความหมายที่กล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวง อกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นอมิตร ในภายใน เพราะเป็นโทษ เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับจิต เป็นเครื่องบั่นบอนกุศลธรรม กล่าวคือ กุศลธรรมเกิดไม่ได้เลยในขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น และอกุศลธรรม ยังเป็นเหตุที่นำมาซึ่งผลที่ไม่ดีในภายหน้าด้วย มีการเกิดในอบายภูมิ ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนมากมาย เป็นต้น

ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ มลสูตร แสดงความเป็นจริงของ อกุศลธรรม ว่า เป็นสิ่งที่มีโทษเท่านั้น รวมถึง เป็นอมิตรในภายใน ด้วย ดังนี้ คือ

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อกุศลธรรม ๓ ประการนี้ เป็นมลทินภายใน (มลทินของจิต) เป็นอมิตรภายใน เป็นศัตรูภายใน เป็นเพชฌฆาต ภายใน เป็นข้าศึกภายใน ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑โมหะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อกุศลธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นอมิตร เป็นศัตรู เป็นเพชฌฆาต เป็นข้าศึก ภายใน”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคำสอนที่น่าอัศจรรย์ เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง พระองค์ทรงแสดงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงด้วยพระปัญญาของพระองค์ที่ได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เป็นคำสอนของบุคคลผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง และไม่ใช่เพียงเพื่อตรัสรู้เฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ทรงมีพระมหากรุณาที่จะทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามพระองค์ด้วย ดังนั้น คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นคำจริง ที่ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาที่จะรู้จักตัวเองและรู้จักสิ่งที่มีจริงทุกอย่างตามความเป็นจริง จนกระทั่งสามารถดับอกุศล ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายที่ไม่ดีทั้งหลายได้

ในชีวิตประจำวัน แต่ละคนก็มีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น เพราะเคยได้สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ อกุศลเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และเกิดขึ้นบ่อยมากเกือบจะตลอดเวลาก็ว่าได้ เพราะถ้ากุศลไม่เกิด ก็เป็นโอกาสที่อกุศลจะเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะไม่รู้เลยว่า ตนเองเป็นผู้มีอกุศลมากน้อยแค่ไหน เมื่อไม่รู้อกุศลตามความเป็นจริง ก็จะไม่สามารถละคลายอกุศลใดๆ ได้เลย หรือ อาจจะสำคัญผิดว่าตนเองไม่มีอกุศล ก็เป็นได้ การที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ ก็ต้องฟังพระธรรม และพระธรรม ทุกๆ คำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซ้ำๆ บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ได้เข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย

อกุศลธรรม มีโลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) โมหะ (ความหลง, ความไม่รู้) เป็นต้น ตรงกันข้ามกับการกระทำของมิตรทุกอย่าง เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริง ก็จะเข้าใจได้ว่า กุศลธรรม ความดีทุกประการ ก็เหมือนมิตร เหมือนเพื่อนผู้หวังดี ที่จะอำนวยความสะดวกสบาย ความสุข เกื้อกูลอุปการะให้คุณทุกประการ แต่สำหรับอกุศลธรรม เป็นธรรมที่ตรงกันข้าม คือ กระทำทุกอย่างที่มิตรไม่กระทำ เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมก็เปรียบเหมือนผู้ไม่ใช่มิตร ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อมิตร ดังนั้น ผู้ไม่ใช่มิตรจริงๆ ของทุกท่านไม่ใช่อยู่ข้างนอกหรือว่าอยู่ภายนอกเลย แต่ว่าอยู่ภายในและใกล้ชิดที่สุด คือ ทุกขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น นำมาซึ่งโทษโดยส่วนเดียว ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย เป็นไปเพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก

การที่จะรู้จักอกุศลธรรมที่เกิดปรากฏกับตนเองตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ที่จะนำไปสู่การขัดเกลายิ่งขึ้น นั้น ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมยิ่งขึ้น เข้าใจถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น บุคคลผู้มีอกุศลธรรม แล้วรู้ว่าตัวเองมีอกุศลธรรม ย่อมเป็นบุคคลผู้ประเสริฐ เพราะจากการรู้อย่างนี้ ย่อมเป็นเหตุทำให้บุคคลนั้น มีความเพียร มีความอดทน มีความจริงใจที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงต่อไป เพื่อขัดเกลาอกุศลของตนเองให้เบาบาง ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานเป็นอย่างยิ่งในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ขาดการฟังพระธรรม เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ซึ่งได้รับประโยชน์จากพระธรรม ดับอกุศลธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มิตรในภายในจิตใจของตนเองได้ ก็ล้วนแล้วแต่ได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งนั้น

บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อดทนที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเท่านั้น จึงจะเห็นประโยชน์ของปัญญา เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ระลึกถึงอกุศลธรรมของตนเอง โดยที่ค่อยๆ ขัดเกลาอกุศลธรรมเพราะเห็นโทษตรงตามความเป็นจริง แล้วอกุศลธรรมทั้งหลายก็จะค่อยๆ คลายลง และกุศลทั้งหลายก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามระดับขั้นของปัญญา

การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ตลอด ๔๕ พรรษา โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง นั้น ก็เพื่อให้บุคคลทั้งหลายได้เห็นโทษของอกุศลธรรม แล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้น และถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ทรงชี้ทางที่จะดับอกุศล แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะดับอกุศลที่ตนสะสมมาทิ้งไปได้ทั้งหมดในทันทีทันใดได้ แต่ว่าจะต้องอาศัยการเข้าใจในเหตุผลที่ทำให้รู้จักตัวเองตรงตามความเป็นจริง และการที่จะดับอกุศลทั้งหลาย ก็จะต้องอาศัยปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกที่จะต้องอบรมเจริญขึ้นจริงๆ ดังนั้น จึงมีหนทางเดียวเท่านั้น คือ อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เท่านั้น ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ให้เวลากับสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 14 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ