วันที่ 25 -27 พ.ย. 57 ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และสมาชิกบ้านธัมมะ มศพ. จำนวน ประมาณ 60 คน เดินทางทั้งทางเครื่องบิน รถทัวร์ และรถยนต์ส่วนตัว ไปมอบผ้าพันคอ 1,000 ผืน (ซึ่งทำด้วยมือโดยสมาชิกชมรมหลายท่าน เช่น คุณสุจิตต์ อึ้งภากรณ์ เป็นต้น และต่อมา คุณแก้วตา อเนกพุฒิ ได้ซื้อเครื่องจักรให้อาจารย์ธิดารัตน์ทำอีกหลายร้อยผืน) และของใช้ จำเป็นสำหรับทหารทั้ง 1,000 นาย เช่น เสื้อยืด ผ้าขนหนู ยารักษาโรค ฯลฯ โดยมีเจ้าภาพ ใหญ่ คือ คุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล และมีผู้ร่วมสมทบอีกหลายท่าน ซึ่งคุณเบญจวรรณ มอบเงินเพิ่มรวมกับผู้ร่วมสมทบบริจาคให้ทหารหน่วยเฉพาะกิจ อ.แม่สอด จำนวน 50,000 บาท ไว้ใช้ในคราวจำเป็น ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
หลังพิธีมอบของใช้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหารกลางแสงแดดกล้าแล้ว ท่านอาจารย์ก็ มอบธรรมะให้ทหารที่มาต้อนรับในห้องประชุม ท่านเริ่มต้นด้วยคำถามว่า ธรรมะคืออะไร ฟัง ธรรมะคือฟังอะไร และการฟังธรรมะเป็นมงคลอย่างไร หลังจากนั้นท่านพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ก็กล่าวถึงความสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติว่า ต้องเป็นคนดี และศึกษาพระธรรมะด้วย ผลงานจึงจะสำเร็จด้วยดี โดยให้ติดตามฟังธรรมะทางสถานวิทยุของ ทหารทั่วประเทศ ซึ่งท่านได้นำสื่อรายการธรรมะของ มศพ. ซึ่งบรรยายโดยท่านอาจารย์ ฯ ไป ออกอากาศทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ เพื่อให้คนทั้งประเทศได้เข้าใจธรรมะ สมกับมีนามสกุล เป็นมงคลว่า “กัลยาณมิตร” จริงๆ
เข้าพักผ่อนที่รีสอร์ท (จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว สัญญาก็เป็นอนัตตาเหมือนกับสภาพธรรมะอื่นๆ เช่นกัน บังคับให้จำหรือลืมก็ไม่ได้) ตอนเย็นไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารสวยงามด้วย ทิวทัศน์ของทิวเขาสีเทาเข้ม เห็นพระอาทิตย์ตกสีแสดดวงโต พระจันทร์เสี้ยวขึ้น หมู่ดาวระยิบ ระยับเต็มฟ้า ลมพัดเย็นสบาย ได้รับประทานอาหารอร่อย คุยถูกคอกับสหายธรรม หัวเราะกัน สนุกสนาน ไม่มีสักขณะที่จะระลึกได้ว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ ที่เกิดเพียงชั่วขณะเดียว แล้วก็ดับ ไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
วันรุ่งขึ้น คณะออกเดินทางแต่เช้าไป อ. ท่าสองยาง ซึ่งห่างจาก อ. แม่สอด ไป 84 กม. เป็น อำเภอชายแดนติดกับประเทศพม่า โดยมีแม่น้ำเมยเป็นเส้นแบ่งแดนตามธรรมชาติ ระหว่าง ทางแวะที่บ่อน้ำร้อนแม่กาษา เพื่อแช่เท้าในน้ำอุ่น บรรยากาศก็ร่มรื่นดี นั่งแช่เท้ากันสบาย จน ทหารมาบอกว่า เดี๋ยวนักเรียนที่โรงเรียนอู่หู่จะคอยนาน จึงรีบไปที่โรงเรียน พบเด็กนักเรียน และคณะครูกลุ่มใหญ่ยืนคอยต้อนรับอยู่แล้ว นักเรียนเล็กๆ ยืนตากแดดหน้าแดง เห็นแล้วน่า สงสารจัง พวกเรามาแวะมาเพื่อมอบอุปกรณ์การศึกษาจำเป็นแก่เด็กนักเรียนที่มีตั้งแต่ชั้น อนุบาล จนถึงประถม จำนวน 250 คน โดยมีเจ้าภาพคนเดิมที่ไปซื้ออุปกรณ์การศึกษา ตามที่ ทหารบอกว่า โรงเรียนขาดแคลนที่ แมคโคร (เธอไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน จึงไม่ได้เตรียมตัวจาก กรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้นจะบริจาคมากกว่านี้) พร้อมมอบเงินสมทบทุนอาหารกลางวันแก่เด็ก นักเรียนจำนวน 30,000 บาทด้วย อนุโมทนาด้วยค่ะ (อีกแล้ว บุญกิริยาวัตถุนี้ ดิฉันถนัดมาก)
ถนนไป อ.ท่าสองยาง ดีมาก ทราบจากพลขับว่า เพิ่งสร้างเสร็จ เดิมเป็นลูกรัง ขรุขระ รถต้อง วิ่งขึ้นภูเขาที่ไม่สูงมากนัก คดเคี้ยวพอประมาณ แต่สวยงามด้วยเขาหินปูนและป่าไม้ที่ยังอุดม สมบูรณ์ ผ่านศูนย์อพยพของผู้ลี้ภัยจากการสู้รบชาวกระเหรี่ยงหลายหมื่นคน บางคนบอกว่าถึง แสนคน เมื่อเข้าที่พัก รับประทานอาหารกลางวันแล้ว ในตอนบ่ายบางกลุ่มก็สนทนาธรรมกับ ท่านอาจารย์และทหารบางท่านที่รีสอร์ทที่พัก บางกลุ่มก็ไปชมถ้ำแม่อุสุ ซึ่งเพิ่งเปิดให้เข้าชม ประจำปีเมื่อต้นเดือน พ.ย. นี้เอง เนื่องจากในหน้าฝน น้ำขึ้นสูงท่วมปากถ้ำ พวกเราเป็นคณะ ใหญ่คณะแรกที่เข้าชม มัคคุเทศก์เด็กกระเหรี่ยงพาเข้าชม แม้ตอนนี้น้ำที่ปากถ้ำก็ยังสูง ประมาณ 20 ซม. ต้องถอดรองเท้าลุยน้ำเข้าไปในถ้ำ ซึ่งมี 3 ห้องใหญ่ เดินลุยน้ำไปแล้วต้อง ใส่รองเท้า เพราะพื้นเป็นหินและปีนสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ลำบากอะไร ได้เดินดูทุกถ้ำ มีหินงอก หินย้อย สวยงามตามจินตนาการที่วิปลาส เห็นหินเป็นสิงโตบ้าง เป็นแม่แบกลูกไว้ในตะกร้า ด้านหลังบ้าง ตามแต่ไกด์จะบอก แม้รู้อย่างนี้ก็ยังเพลิดเพลินที่จะเที่ยวดู เที่ยวชม เพราะคิดว่า ถ้ามาเองเพื่อดูถ้ำก็คงไม่มา เดินชมจนคนเร่งว่า หมดเวลาแล้ว จึงพากันออกไป พบว่ายิ่งเย็น น้ำยิ่งเชี่ยว เดินลำบาก แต่ทุกคนก็ปลอดภัย เพราะมีทหารหลายคนช่วยกันดูแลอย่างดี
ออกจากถ้ำไปชมแม่น้ำเมย ช่วงที่เป็นเมืองท่าเก่า ที่กำลังจะบูรณะให้เห็นความเป็นเมืองท่า เก่าในสมัยก่อน ที่มีซากกำแพงเมือง 3 ชั้น ในพื้นที่ 350 ไร่ พวกเราเดินชมโดยมีผู้นำชุมชนที่ ดำเนินการฟื้นฟูเมืองเก่าเป็นผู้บรรยาย แปลกใจที่เห็นทหารพรานยืนถือปืนคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ ทราบว่าเพราะเป็นชายแดนที่อาจมีต่างชาติมาทำอันตรายได้ แต่มองดูแล้ว ทางฝั่งพม่าก็เงียบ สงบ เห็นหลังคาหมู่บ้านที่สร้างใหญ่โต ทราบว่าเป็นของรัฐบาลนอร์เวย์ที่สร้างไว้รองรับผู้ อพยพลี้ภัยการสู้รบชาวกระเหรี่ยงที่จะถูกส่งกลับไปในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นข่าวดีของ ประเทศไทยที่ไม่ต้องแบกภาระดูแลผู้อพยพเหล่านี้ แต่ทหารเล่าว่า ผู้อพยพส่วนใหญ่ไม่อยาก กลับประเทศ อยู่เมืองไทยสบายกว่า เพราะอยู่ในการดูแลขององค์การสหประชาชาติ ไม่ต้อง ลำบากทำมาหากิน และประเทศไทยก็เจริญ มี 3G 4G กลับไปพม่าไม่เจริญเท่า
กลับจากทัศนศึกษามาถึงรีสอร์ทที่พัก ได้ร่วมสนทนาธรรมต่อ เพราะท่านอาจารย์ยังสนทนา ไม่จบ ท่านให้โอกาสนายทหาร 6 ท่านให้ซักถามเต็มที่ จนเกือบ 6 โมงเย็นก็ยังไม่เลิก ทหาร ต้องมาบอกว่า ต้องจัดโต๊ะสำหรับอาหารเย็น จึงได้จบการสนทนาธรรม เราแค่มาร่วมฟังตอน ใกล้จบ ยังเหนื่อยและหิว อยากให้จบไวๆ แต่ท่านอาจารย์พูดคนเดียวมากว่า 3 ชั่วโมง ยังไม่มี ท่าทางเหนื่อยล้าแต่อย่างใด ขออนุโมทนาท่านอาจารย์ที่ทำประโยชน์แก่ผู้ที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังพระธรรม ให้เขาได้เข้าใจธรรมะ เพื่อเป็นอุปนิสัยให้เข้าใจยิ่งขึ้นเมื่อฟังต่อไป
หลังอาหารค่ำ มีการสังสรรค์ระหว่างสมาชิกทั้งทหารที่มาต้อนรับและพลเรือนโดยการร้อง เพลง สนุกสนาน น่าเพลิดเพลินติดข้องอยู่กันต่อไปในสังสารวัฏฏ์เช่นนี้ ยังไม่เห็นโทษภัยของ การติดข้องจริงๆ เลย ไม่รู้จักว่า ควรสละ ละคลายความติดข้องอย่างไร ก็สนุกดีออก ถ้าไม่ สนุกซิ ไม่น่าเพลิดเพลินซิ อาหารไม่อร่อยซิ กลิ่นไม่หอมซิ ที่นอน ห้องน้ำไม่สะอาดซิ น้ำอุ่น ไม่มีซิ อย่างนี้ต้องจัดการให้สะอาด สวยงาม ให้ถูกใจโลภะ ไม่อย่างนั้นมีเรื่องแน่นอน ก็ยังห่าง ไกลจากการเข้าใจธรรมะว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ยิ่งกว่าฟ้ากับน้ำ
วันสุดท้ายออกเดินทางจาก อ. ท่าสองยางแต่เช้าเพื่อไปที่ อ. แม่สอด ไปไหว้พระพุทธรูปแกะ สลักหินอ่อนที่ซื้อมาจากร่างกุ้ง ประเทศพม่า ในราคา 800 รูปี ที่วัดดอนแก้ว (มีพระพุทธรูปที่ แกะสลักพร้อมกัน 3 องค์ อีก 2 องค์อยู่ที่ประเทศอินเดีย และปากีสถาน) ออกจากวัดแล้วไป อีกวัดหนึ่ง คือ วัดไทยวัฒนาราม ที่ประดิษฐานพระมหามุนีจำลองมาจากประเทศพม่า
ที่นี่มี ผู้ใหญ่บ้านมาต้อนรับแข็งขัน นำพวกเราไปไหว้พระประธานในโบสถ์ และพบเจ้าอาวาสเพื่อปะ พรมน้ำมนต์และรับแจกสร้อยลูกประคำไม้จันท์หอม หลายท่านลังเลไม่กล้ารับ เพราะไม่ทราบ ว่า จะนำไปทำอะไร ไปเรียนถามท่านอาจารย์ ท่านบอกว่า เราเป็นแขก เขาให้เพื่อต้อนรับแขก เป็นสิ่งที่เขาคิดว่าดี ก็รับซิคะ เพื่อรักษาไมตรี ทำให้นึกถึงเรื่องของพระโพธิสัตว์กับพระเทวทัต ในชาติหนึ่งที่ทั้งสองท่านเกิดเป็นเศรษฐี ครั้งหนึ่งท่านพระเทวทัตล้มละลาย พระโพธิสัตว์ได้ ให้ทรัพย์ครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือจนตั้งตัวเป็นเศรษฐีได้อีกครั้ง ต่อมาเมื่อพระโพธิสัตว์ยากจน ลง ได้พาครอบครัวไปหาท่านพระเทวทัต แต่ท่านพระเทวทัตให้เพียงข้าว 4 ทะนาน แล้วไล่ ออกจากเรือนไป พระโพธิสัตว์ก็รับเอาข้าวนั้นมา เพราะไม่อยากเป็นฝ่ายตัดไมตรี ท่าน อาจารย์ทำให้ดูเป็นตัวอย่างของการรักษาไมตรี เพื่อพวกเราจะได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ต่อไป
ไปตลาดริมเมย เที่ยวเดินชมสินค้า ดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจ ก็พากันขึ้นรถไปรับประทาน อาหารกลางวันที่ร้าน ข้าวเม่า ข้าวฟ่าง ที่มีบรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่และสระน้ำ น่าดูน่า ชมตั้งแต่ห้องน้ำ ห้องอาหาร ที่นำต้นไม้ใหญ่รูปทรงต่างๆ มีทำเป็นเสา และตบแต่งด้วยไม้ ดอกไม้ประดับที่สวยงาม อาหารก็อร่อย มื้อนี้คุณเผ่าทิพย์ มอนแทนดอน เป็นเจ้าภาพ เพราะ เธอมาที่นี่เป็นประจำ และเห็นสมควรให้ท่านอาจารย์และคณะได้รับประทานอาหารในสถานที่ น่ารื่นรมย์เช่นนี้ ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตที่วิจิตรนี้ค่ะ
รับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ข้ามไปเมียวดี ฝั่งพม่า ชมวัดเจดีย์ทอง วัดพม่า ที่มีเจดีย์ ทาสีทองหลายองค์ และแต่ละทิศก็มีพระพุทธรูปจำลองจากพระพุทธรูปสำคัญของพม่ามา ประดิษฐานไว้ด้วย อากาศที่เมียวดีร้อนมาก แค่ข้ามสะพานมิตรภาพไทย – พม่า เท่านั้น อุณหภูมิก็แตกต่างกันมาก จากวัดไปชมตลาดเมียวดี ยิ่งไม่น่าสนใจกว่าตลาดริมเมยเสียอีก จึงพากันกลับประเทศไทย พอดีได้ข่าวว่า เครื่องบินดีเลย์จาก 5 โมงเย็น เป็น 1 ทุ่ม จึงพากัน ไปดื่มกาแฟ และสนทนาธรรมที่ร้านกาแฟ ท่านอาจารย์ติดใจเรื่องท่านพระอุปคุตในวัดดอน แก้วที่เป็นที่นับถือของชาวพม่าและคนเมืองเหนือว่า มีประวัติความเป็นมาอย่างไร รศ.สงบ เชื้อทอง วิทยากรของ มศพ. จึงเล่าให้ฟังคร่าวๆ ตามที่ทราบว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ผู้ถึง พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (หลังพุทธ ปรินิพพาน 200 กว่าปี) พระองค์ได้นิมนต์ให้มาอารักขาพิธีเฉลิมฉลองพระมหาสถูป 84,000 องค์ ที่พระองค์ให้สร้างไว้ทั่วชมพูทวีป เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จากการทำลายของพระยา มาราธิราช
หลังจากนั้นก็สนทนาเรื่องพระเจ้าอโศกมหาราช และการทำสังคายนาทั้ง 5 ครั้ง แต่ละครั้งมี สิ่งใดเป็นสาเหตุ และใครเป็นประธานในการสังคายนา ใครเป็นผู้ให้ข้อมูล ใครเป็นผู้อุปถัมภ์ สนทนากันจนถึงเกือบ 5 โมงเย็น ก็เดินทางไปสนามบิน เจ้าหน้าที่จัดให้นั่งคอยในห้องประชุม ที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ท่านอาจารย์จึงสนทนาต่อจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง เวลาของท่านมีประโยชน์จริงๆ ไม่เคยปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ โดยไม่พูดธรรมะเลย ท่านเป็นแบบอย่างของผู้ที่เกิดมาเพื่อ ศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาจริงๆ กราบอนุโมทนาค่ะ
ด้วยบารมีของท่านอาจารย์และท่านพลเอก สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่เคยรับราชการอยู่ในพื้นที่ ท่านเคยเป็นแม่ทัพภาค 3 และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม จึงได้รับการต้อนรับและ ดูแลอย่างดีเยี่ยมจากทหารที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้พวกเราได้รับความสะดวกสบาย และได้รับเกียรติยศร่วมกับท่านด้วย ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ (มีคำว่า อนุโมทนา บ่อยไปหน่อยนะคะ แต่คิดอย่างนั้นจริงๆ)
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านคะ
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาสาธุกับทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาบุญกุศลกับทุกท่านค่ะ
สาธุ
ทหร แปลว่า กล้าหาญ คนหนุ่ม แข็งแรง สมคำแปลนี้จริงๆ ขอบพระคุณทหารทุกท่านที่ให้การตอนรับ ดูแล พวกเราทุกคนอย่างดียิ่ง ขอบพระคุณที่ท่านปกป้อง ดูแล ประเทศไทย ขอบุญรักษาทหารกล้าทุกท่านนะคะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ ที่ให้โอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เจริญกุศลต่างๆ ตามกาล ตามเหตุ ตามปัจจัย
ขออนุโมทนาในกุศลจิต กุศลวิริยะ ของสหายธรรมทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ