๕. ปานียชาดก ว่าด้วยการทําบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทํา
โดย บ้านธัมมะ  26 ส.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 35922

[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 51

๕. ปานียชาดก

ว่าด้วยการทําบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทํา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 60]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 51

๕. ปานียชาดก

ว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ

[๑๕๔๒] อาตมภาพเป็นมิตรของชายคนหนึ่ง ได้บริโภคน้ำของมิตรที่เขาไม่ได้ให้ เพราะเหตุนั้น ภายหลังอาตมภาพรังเกียจว่า เราทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้กระทำบาปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช.

[๑๕๔๓] ความพอใจบังเกิดขึ้นแก่อาตมภาพ เพราะเห็นภรรยาของผู้อื่น เพราะเหตุนั้น ภายหลัง อาตมภาพรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้กระทำบาปนั้นอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช.

[๑๕๔๔] ขอถวายพระพรมหาบพิตร โจรทั้งหลายจับโยมบิดาของอาตมภาพไว้ในป่า อาตมภาพถูกโจรเหล่านั้นถาม รู้อยู่ได้แกล้งพูดถึงโยมบิดานั้นเป็นอย่างอื่นไป เพราะเหตุนั้น ภายหลังอาตมภาพรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช.

[๑๕๔๕] เมื่อพลีกรรมชื่อ โสมยาคะ ปรากฏขึ้นแล้ว มนุษย์ทั้งหลายก็พากันกระทำปาณาติบาต อาตมภาพได้ยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา เพราะเหตุนั้น


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 52

ภายหลังอาตมภาพรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช.

[๑๕๔๖] ในกาลก่อน ชนทั้งหลายในหมู่บ้านของอาตมภาพ สำคัญสุราและเมรัยว่าเป็นน้ำหวาน จึงได้พากันดื่มน้ำเมา เพื่อความฉิบหายแก่ชนเป็นอันมาก อาตมภาพยอมอนุญาตให้แก่เขา เพราะเหตุนั้น ภายหลังอาตมภาพรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช.

[๑๕๔๗] น่าติเตียนแท้ ซึ่งกามเป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็น มีเสี้ยนหนามมาก เราซ่องเสพอยู่ ไม่ได้รับความสุขเช่นนั้น.

[๑๕๔๘] กามทั้งหลายมีความพอใจมาก สุขอื่นยิ่งกว่ากามไม่มี ชนเหล่าใดซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงสวรรค์.

[๑๕๔๙] กามทั้งหลายมีความพอใจน้อย ทุกข์อื่นยิ่งกว่ากามไม่มี ชนเหล่าใดซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก.

[๑๕๕๐] เหมือนดาบที่ลับคมดีแล้วเชือด เหมือนกระบี่ที่ขัดดีแล้วแทง เหมือนหอกที่พุ่งปักอก (เจ็บปานใด) กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 53

[๑๕๕๑] หลุมถ่านเพลิงลุกโพลงแล้ว ลึกกว่าชั่วบุรุษ ผาลที่เขาเผาร้อนอยู่ตลอดวัน (ร้อนปานใด) กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น.

[๑๕๕๒] เหมือนยาพิษชนิดร้ายแรง น้ำมันที่เดือดพล่าน ทองแดงที่กำลังละลายคว้าง (ร้อนปานใด) กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น.

จบปานียชาดกที่ ๕

อรรถกถาปานียชาดก

พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภถึงการข่มกิเลส จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "มิตฺโต มิตฺตสฺส" ดังนี้.

ดังจะกล่าวโดยพิสดาร สมัยหนึ่ง คฤหัสถ์ผู้เป็นสหายกันชาวกรุงสาวัตถี ประมาณ ๕๐๐ คน ฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้วบรรพชาถึงอุปสมบท พากันอยู่ภายในโกฏฐิสัณฐาคาร ถึงเวลาเที่ยงคืน ต่างก็ตรึกถึงกามวิตก เรื่องทั้งหมดบัณฑิตพึงให้พิสดารโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง นั่นแล แปลกแต่ว่า ครั้นท่านพระอานนท์ให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันโดยอาณัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระศาสดาประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดถวาย ทรงกระทำมิให้เป็นการเจาะจง ไม่ตรัสว่า พวกเธอพากันตรึกถึงกามวิตกแล้ว ตรัสด้วยสามารถเป็นพระดำรัสสงเคราะห์แก่ภิกษุทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุ


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 54

ทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า กิเลส เป็นของเล็กน้อยไม่มีเลย ธรรมดาว่าภิกษุต้องข่มกิเลสที่เกิดแล้วๆ เสีย บัณฑิตครั้งก่อนเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ ต่างก็ข่มกิเลสทั้งหลายเสียได้ บรรลุปัจเจกพุทธญาณ ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี สหาย ๒ คน ในบ้านน้อยตำบลหนึ่ง ในแคว้นกาสี พากันถือกระออมน้ำดื่มไปสู่ไร่ในป่า วางไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วฟันไร่ ในเวลากระหายน้ำก็พากันมาดื่มน้ำ ในคน ๒ คนนั้น คนหนึ่งเมื่อมาก็เก็บน้ำดื่มของตนไว้เสีย ดื่มน้ำจากกระออมของอีกคนหนึ่ง ตอนเย็นออกจากป่าแล้ว ยืนอาบน้ำสำรวจดูว่า วันนี้เราได้ทำบาปอะไรๆ ไว้ ด้วยกายทวารเป็นต้นบ้าง มีหรือไม่ เห็นการที่ขโมยน้ำของเพื่อนกันดื่ม ถึงความสลดใจคิดว่า ตัณหานี้ เมื่อเจริญคงโยนเราเข้าไปในอบายทั้งหลายเป็นแน่แท้ เราจักข่มกิเลสอันนี้เสียให้ได้ กระทำการขโมยน้ำของเพื่อนกันดื่มนั้นให้เป็นอารมณ์ เจริญวิปัสสนา ทำปัจเจกพุทธญาณให้บังเกิดได้แล้ว ยืนนึกถึงคุณที่ตนได้รับอยู่ ลำดับนั้น อีกคนหนึ่ง อาบน้ำแล้วขึ้นมากล่าวกะเขาว่า มาเถิดสหาย เราพากันไปเรือนเถิด เขาตอบว่า เธอไปเถิด ฉันไม่มีจิตคิดถึงเรือน เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว เขากล่าวว่า อันว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่เป็นอย่างท่านดอก ลำดับนั้น ท่านจึงถามเขาว่า เป็นเช่นไรเล่า เขาตอบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีผมเพียง ๒ องคุลี ครองผ้าย้อมน้ำฝาด พากันอยู่ ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ ในป่าหิมพานต์ตอนเหนือ ท่านลูบศีรษะ ในบัดดลนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ของท่านก็อันตรธานหายไป กลับกลายเป็นครองผ้า ๒ ชั้นที่ย้อมแล้ว คาดรัดประคด เช่นกับสายฟ้า มีจีวรเฉวียงบ่า มีสีเพียงดังแผ่นครั่ง ห่มเฉวียงบ่าไว้ข้างหนึ่ง


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 55

มีผ้าบังสุกุล จีวรสีเมฆ พาดอยู่บนบ่าเบื้องขวา มีบาตรดินสีเหมือนแมลงภู่คล้องอยู่ที่บ่าเบื้องซ้าย ท่านสถิตอยู่ในอากาศ แสดงธรรมแล้วเหาะไปลงที่เงื้อมเขานันทมูลกะทันที.

ยังมีกุฎุมพีคนหนึ่งในกาสิกคามนั่นเอง นั่งอยู่ที่ตลาด เห็นชายผู้หนึ่งพาภริยาของตนเดินไป ทำลายอินทรีย์เสีย มองดูหญิงผู้เลอโฉมนั้น หวนคิดไปอีกว่า ความโลภนี้แหละ เมื่อมันเจริญจักโยนเราเข้าไปในอบายทั้งหลายได้ มีใจสลด เจริญวิปัสสนา บรรลุปัจเจกพุทธญาณ สถิตในอากาศ แสดงธรรม เหาะไปเงื้อมเขานันทมูลกะเช่นกัน.

ยังมีบิดากับบุตรคู่หนึ่ง เป็นชาวกาสิกคามเหมือนกัน เดินทางไปร่วมกัน พวกโจรป่าพากันซุ่มอยู่ที่ปากดง พวกโจรเหล่านั้นจับบิดากับบุตรได้ ยึดบุตรไว้ปล่อยบิดาไป ด้วยสั่งว่า เจ้าจงไปนำทรัพย์มาไถ่บุตรของท่านเถิด จับพี่น้อง ๒ คนได้ ก็ยึดน้องชายเอาไว้ ปล่อยพี่ชายไป จับอาจารย์กับอันเตวาสิกได้ ยึดเอาอาจารย์ไว้ ปล่อยอันเตวาสิกไป อันเตวาสิกต้องไปนำทรัพย์มาไถ่ตัวอาจารย์ไปด้วยความโลภในศิลปะ ลำดับนั้น บิดาและบุตรนั้น รู้ว่าพวกโจรซุ่มอยู่ที่ตรงนั้น จึงทำกติกากันไว้ว่า เจ้าอย่าเรียกข้าว่าพ่อนะ ถึงข้าก็จะไม่เรียกเองว่าลูก ในเวลาถูกพวกโจรจับได้ ถูกถามว่าแกเป็นอะไรกัน ต่างคนก็ต่างพูดมุสาวาท ทั้งๆ ที่รู้อยู่ แล้วแกล้งตอบว่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เมื่อทั้งคู่ออกพ้นจากดง ไปยืนอาบน้ำอยู่ในเวลาเย็น บุตรชายชำระศีลของตน เห็นมุสาวาทนั้น คิดว่า บาปนี้เมื่อเจริญ จักโยนเราไปในอบายทั้งหลายได้ เราจักข่มกิเลสนี้ให้ได้ ดังนี้ เจริญวิปัสสนา ทำปัจเจกพุทธญาณให้เกิดขึ้นแล้ว สถิตอยู่ในอากาศ แสดงธรรมแก่บิดา เหาะไปสู่เงื้อมเขานันทมูลกะเหมือนกัน.

ยังมีอีกผู้หนึ่ง เป็นนายอำเภอคนหนึ่ง ในกาสิกคามนั่นแล บังคับให้คนฆ่าสัตว์ ครั้นในเวลากระทำพลีกรรม มหาชนประชุมกันกล่าวกะเขาว่า เจ้านายขอรับ พวกเราต้องฆ่าเนื้อและสุกรเป็นต้น กระทำพลีกรรมแก่หมู่ยักษ์บ้างเถิดขอรับ กาลนี้เป็นกาลแห่งพลีกรรม ก็กล่าว


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 56

ว่า พวกท่านจงกระทำตามแบบอย่างที่เคยกระทำมาในครั้งก่อนนั่นแล พวกมนุษย์ได้ทำปาณาติบาตมากมาย เขามองเห็นปลาและเนื้อเป็นอันมาก รำคาญใจว่า มนุษย์เหล่านี้ ที่ฆ่าสัตว์มีประมาณเท่านี้ จักฆ่าตามคำของเราผู้เดียวเท่านั้น ดังนี้แล้ว จึงยืนพิงช่องหน้าต่าง เจริญวิปัสสนา ทำปัจเจกพุทธญาณให้เกิดแล้ว สถิตในอากาศ แสดงธรรม เหาะไปเงื้อมเขานันทมูลกะเหมือนกัน.

ยังอีกผู้หนึ่ง เป็นนายอำเภอในแคว้นกาสิกะเหมือนกัน ห้ามการซื้อขายน้ำเมาไว้อย่างกวดขัน ถูกมหาชนพากันถามว่า เจ้านายขอรับ เมื่อก่อน เวลานี้เป็นเวลางาน เรียกชื่อว่า สุราฉัณ (สุราที่ดื่มกันในวันมีมหรสพ) พวกกระผมจะทำอย่างไรขอรับ จึงกล่าวว่า พวกท่านจงทำตามแบบอย่างเก่าก่อน นั่นแล พวกมนุษย์พากันกระทำการมหรสพ ดื่มสุราเมาแล้ว ทะเลาะกัน จนมือเท้าแตกหัก ศีรษะแตก หูฉีกขาด ถูกจองจำด้วยสินไหมเป็นอันมาก นายอำเภอเห็นพวกคนนั้นแล้ว คิดว่า เมื่อเราไม่อนุญาต คนเหล่านี้ก็ไม่ต้องได้ประสบทุกข์กัน เขาทำความรำคาญใจ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ยืนพิงช่องหน้าต่างอยู่ เจริญวิปัสสนา บรรลุปัจเจกพุทธญาณแล้ว สถิตอยู่ในอากาศ แสดงธรรมว่า พวกท่านจงอย่าเป็นผู้ประมาทเถิด แล้วเหาะไปยังเงื้อมเขานันทมูลกะเหมือนกัน.

จำเนียรกาลนานมา พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ต่างเหาะ มาลงที่ประตูกรุงพาราณสี เพื่อภิกขาจาร ล้วนนุ่งห่มผ้าเรียบร้อย เที่ยวโปรดสัตว์ ด้วยอิริยาบถมีการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น อันน่าเลื่อมใส จนไปถึงประตูวัง พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นพระคุณเจ้าเหล่านั้น ทรงมีจิตเลื่อมใส นิมนต์ให้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ล้างเท้า ทาด้วยน้ำมันหอม อังคาสด้วยขาทนียะและโภชนียะอันประณีต ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ตรัสถามว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย การบรรพชาในปฐมวัยของพระคุณเจ้าทั้งหลาย ดูช่างงดงามจริง เมื่อจะบรรพชาในวัยนี้ พระคุณเจ้าทั้งหลาย ต่าง


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 57

เห็นโทษในกามทั้งหลาย อย่างไรกันนะ อะไรเป็นอารมณ์ของพระคุณเจ้าเล่า เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น จะทูลแด่พระราชานั้น จึงทูลเป็นคาถาองค์ละ ๑ คาถา ดังต่อไปนี้.

"อาตมภาพ เป็นมิตรของชายคนหนึ่ง ได้ดื่มน้ำของมิตรที่เขามิได้ให้ เพราะเหตุนั้น ภายหลัง อาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้กระทำบาปต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช".

"ความพอใจ บังเกิดขึ้นแก่อาตมภาพ เพราะเห็นภริยาของผู้อื่น เพราะเหตุนั้น ภายหลัง อาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้กระทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึง ออกบวช".

"ขอถวายพระพรมหาบพิตร โจรทั้งหลายจับโยมบิดาของอาตมภาพไว้ในป่า อาตมภาพถูกโจรเหล่านั้นถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่ ได้แกล้งพูดถึงโยมบิดานั้นเป็นอย่างอื่นไป เพราะเหตุนั้น ภายหลัง อาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช".

"เมื่อพลีกรรมชื่อว่า โสมยาคะ ปรากฏแล้ว มนุษย์ทั้งหลายก็พากันกระทำปาณาติบาต อาตมภาพได้ยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา เพราะเหตุนั้น ภายหลัง


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 58

อาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงได้ออกบวช".

"ในกาลก่อน ชนทั้งหลายในหมู่บ้านของอาตมภาพ สำคัญสุราและเมรัยว่าเป็นน้ำหวาน จึงได้พากันดื่มน้ำเมา เพื่อความฉิบหายแก่ชนเป็นอันมาก อาตมภาพจึงยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา เพราะเหตุนั้น ภายหลัง อาตมภาพจึงรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงได้ออกบวช".

พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ภาษิตคาถาทั้ง ๕ เหล่านี้ โดยลำดับ ฝ่ายพระราชาทรงสดับคำพยากรณ์ของพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละองค์แล้วได้ ทรงสดุดีว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย บรรพชานี้เหมาะสมแก่พระคุณเจ้าทั้งหลายทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺโต มิตฺตสฺส ความว่า มหาบพิตร อาตมภาพเป็นเพื่อนคนหนึ่ง บริโภคน้ำดื่มของเพื่อนกัน โดยทำนองนี้.

บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะอาตมภาพไม่กระทำบาปกรรมซ้ำอีก เหมือนอย่างพวกปุถุชนกระทำกันอยู่.

บทว่า ปาปํ ความว่า อาตมภาพกระทำบาปนั้น ให้เป็นอารมณ์แล้วบวช.

บทว่า ฉนฺโท ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร เพราะเห็นภริยาของผู้อื่น โดยทำนองนี้ ความพอใจในกามจึงเกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว.

บทว่า อคณฺหิ แปลว่า ได้รุมกันจับ.

บทว่า ชานํ ความว่า อาตมภาพถูกพวกโจรนั้นถามว่า ผู้นี้เป็นอะไรของแก ทั้งๆ ที่ทราบอยู่นั่นแหละ จึง


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 59

ตอบไปเสียอย่างอื่นว่า ไม่ได้เป็นอะไรกัน.

บทว่า โสมยาเค ความว่า เมื่องานมหรสพใหม่ปรากฏขึ้นแล้ว พวกมนุษย์พากันกระทำพลีกรรมแก่ยักษ์ ชื่อว่า พิธีโสมยาคะ ครั้นพิธีนั้นปรากฏแล้ว อาตมภาพก็พิจารณาอนุญาต.

บทว่า สุราเมรยมธุกา ความว่า ฝูงชนที่สำคัญอยู่ซึ่งสุรามีสุราเจือด้วยแป้งเป็นต้น และเมรัยมีน้ำดองดอกไม้เป็นต้นว่าเป็นเหมือนน้ำผึ้ง.

บทว่า เย ชนา ปมาสุ โน ความว่า ฝูงชนที่เป็นเช่นนี้ มีแล้ว ได้มีก่อนในบ้านของพวกเรา.

บทว่า พหุนฺนํ เต ความว่า พวกเหล่านั้น เมื่อถึงงานมหรสพคราวหนึ่ง ได้มีการดื่มน้ำเมา เพื่อความฉิบหายแก่ชนเป็นอันมากในวันหนึ่ง.

พระราชาทรงสดับพระธรรมเทศนาของพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงมีจิตเลื่อมใส ทรงถวายผ้าจีวรและเภสัช ทรงส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้ว แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็ทำอนุโมทนาแก่ท้าวเธอได้พากันไป ณ ที่นั้นนั่นแล ตั้งแต่นั้นมา พระราชาทรงเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในวัตถุกามทั้งหลาย ทรงเสวยพระกระยาหารอันมีรสเลิศต่างๆ ก็มิได้ทรงเรียก มิได้ทรงทอดพระเนตรพวกสตรี ทรงมีจิตเบื่อหน่าย เสด็จเข้าห้องอันทรงสิริ ประทับนั่งกระทำกสิณบริกรรมที่ข้างฝาอันมีสีขาว ทรงทำฌานให้บังเกิดขึ้นแล้ว พระองค์ทรงบรรลุฌานแล้ว เมื่อจะทรงติเตียนกามทั้งหลาย จึงตรัสพระคาถาว่า.

"น่าติเตียนแท้ ซึ่งกามเป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็น มีเสี้ยนหนามมาก เราซ่องเสพอยู่ ไม่ได้รับความสุขเช่นนั้น".

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุกณฺฏเก ได้แก่ มีหมู่ปัจจามิตรมากมาย.

บาลีว่า โย จ นั้น ที่จริงก็คือ โย อหํ แปลว่า เราใด อีกอย่าง บาลีก็ว่า โย จ อย่างนี้เหมือนกัน.

บทว่า ตาทิสํ ได้แก่ ความสุขในฌาน เช่นนั้น คือเว้นจากกิเลส.


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 60

ลำดับนั้น พระอัครมเหสีของพระองค์ทรงดำริว่า พระราชาพระองค์นี้ ทรงสดับธรรมกถาของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ทรงมีท่าทางเบื่อหน่าย มิได้ตรัสกับพวกเราเลย เสด็จเข้าพระตำหนักอันทรงสิริ เราจักคอยจับพระองค์ดูก่อน ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่พระทวารตำหนักอันทรงสิริ ประทับยืนที่พระทวารทรงสดับพระอุทานของพระราชาผู้กำลังทรงติเตียนกามทั้งหลาย จึงตรัสว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์ทรงติเตียนกาม ความสุขที่เช่นกับกามสุข ไม่มีละหรือ เมื่อจะทรงพรรณนาถึงความสุขในกาม จึงตรัสพระคาถา ต่อไปว่า.

"กามทั้งหลายมีรสอร่อยมาก สุขอื่นยิ่งไปกว่ากามไม่มี ชนเหล่าใด ซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงสวรรค์".

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหสฺสาทา ความว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ธรรมดาว่า กามเหล่านั้นมีความแช่มชื่นมาก ความสุขชนิดอื่นที่ยิ่งไปกว่านี้ ไม่มีเลย เพราะผู้เสพกามเป็นปกติ จะไม่เข้าถึงอบายทั้งหลาย จะพากันไปบังเกิดในสวรรค์แล.

พระโพธิสัตว์เจ้า ทรงได้สดับพระราชเสาวนีย์นั้นแล้ว เมื่อจะทรงติเตียนว่า จงย่อยยับเสียเถิด เจ้าคนถ่อย เจ้าพูดอะไร ขึ้นชื่อว่า ความสุขในกามทั้งหลาย มีที่ไหนกันเล่า เพราะกามเหล่านี้เป็นวิปริณามทุกข์ทั้งนั้นแหละ จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาที่เหลือว่า.

"กามทั้งหลาย มีรสอร่อยน้อย ทุกข์อื่นยิ่งไปกว่ากามไม่มี ชนเหล่าใดซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก".


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 61

"เหมือนดาบที่ลับคมดีแล้วเชือด เหมือนกระบี่ที่ขัดดีแล้วแทง เหมือนหอกที่พุ่งไปปักอก กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น".

"หลุมถ่านเพลิงลุกขึ้นโพลงแล้ว ลึกกว่าชั่วบุรุษ ผาลที่เขาเผาร้อนอยู่จนตลอดวัน กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น".

"เหมือนยาพิษชนิดร้ายแรง น้ำมันที่เดือดพล่าน ทองแดงที่กำลังละลายคว้าง กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น".

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนตฺติํโส เท่ากับ เนตฺติโส คำว่า เนตฺติํโส แม้นี้เป็นชื่อของพระขรรค์ชนิดนั้น.

บทว่า ทุกฺขตรา ความว่า ความทุกข์อันใด ที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล เพราะอาศัยหลุมถ่านเพลิงที่ลุกโพลง หรือตาข่ายเหล็กที่ถูกย่างไว้ตลอดวันอย่างนี้ กามทั้งหลายนั่นแหละ ยังเป็นทุกข์ยิ่งกว่าความทุกข์แม้นั้น ในคาถาต่อๆ ไปมีเนื้อความว่า ยาพิษเป็นต้นเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะนำทุกข์มาให้ฉันใด แม้กามทั้งหลายก็เป็นทุกข์ฉันนั้น แต่ความทุกข์นั้นเป็นทุกข์ยิ่งกว่าความทุกข์ที่เหลือ.

พระมหาสัตว์ ทรงแสดงธรรมแก่พระเทวีอย่างนี้แล้ว ได้ทรงให้พวกอำมาตย์ประชุมกัน แล้วตรัสว่า ดูก่อนอำมาตย์ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเธอจงรับราชสมบัติไว้เถิด ฉันจักบวช ทั้งๆ ที่มหาชนพากันร้องไห้คร่ำครวญอยู่นั่นแล เสด็จลุกขึ้นไปประทับในอากาศ ประทานพระโอวาท เสด็จไปสู่ป่าหิมพานต์ตอนเหนือทางอากาศนั่นเอง ทรงให้สร้างอาศรม ณ ประเทศที่น่ารื่นรมย์ ผนวชเป็นฤาษี ในที่สุดแห่งพระชนมายุ ได้เสด็จไปสู่พรหมโลกแล้ว.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 62

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า กิเลสที่เป็นของเล็กน้อย ไม่มีเลย ถึงจะมีประมาณน้อย บัณฑิตทั้งหลายก็พากันข่มเสียได้ทั้งนั้น ดังนี้แล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย (เมื่อจบสัจจะภิกษุ ๕๐๐ รูป ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล) ทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งนั้น ปรินิพพานแล้ว พระเทวี ได้กลับมาเป็นพระมารดาของพระราหุล ส่วนพระเจ้าพาราณสี ก็คือเราตถาคต นั่นแล.

จบอรรถกถาปานียชาดก