ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจและขัดเกลากิเลส มิใช่เพื่ออย่างอื่น ฟังเพื่อน้อมไปเพื่อเห็นว่าเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง เป็นสภาพธรรมะที่กำลังปรากฎ ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เดือดร้อนให้รู้เสมอว่าอวิชชามีมากเหลือจะประมาณแล้วใครเล่าจะไป "ทำ" หรือ บังคับบัญชาให้สติเกิดได้ตลอด แต่การได้ฟังพระธรรมเมื่อสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็จะเริ่มชินขึ้นๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ
ไม่พักไม่เพียร ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดแต่ก็กำลังค่อยๆ เริ่มชินแล้วค่ะ
ทั้งเรื่องที่เป็นความพอใจหรือไม่พอใจ ไม่คิดอยู่นานมากเหมือนเมื่อก่อน เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกเรื่องทุกอย่าง ทั้งกุศลและอกุศลเรียกคืนกลับมาไม่ได้ ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกก็ไม่ได้ อยากให้เกิดหรือไม่อยากให้เกิดก็ไม่ได้ ทุกอย่างเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ทำได้แค่ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา
อนุโมทนาค่ะ
ได้ฟังพระธรรมเมื่อสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็จะเริ่มชินขึ้นๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะเวลาเห็นหรือได้ยินข้อความนี้มักถอนหายใจ เมื่อ่ไรนะจะชินว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ คำตอบมีว่าเมื่อไรก็เมื่อนั้น หากอยากชินเป็นก็อกุศลอีกจริงคะ ถึงท้ออย่างไรก็ไม่พักไม่เพียรไม่พักไม่เพียรอย่างไร เชิญคลิกอ่านไม่พักไม่เพียร
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติม...
ควรฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจ ฟังเพื่อละความไม่รู้
การชินเป็นลักษณะการปรุงแต่งของนามขันธ์นั่นเอง ชินด้วยเวทนาความรู้สึก ชินเพราะสัญญาขันธ์จำ ชินเพราะสังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นบ่อยๆ
ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม เราย่อมคุ้นชินกับโลกของเรื่องราวสมมติบัญญัติ เมื่อเริ่มฟังใหม่ๆ ยังไม่คุ้นชินกับพระธรรมคำสอน ทำให้บางคราวรู้สึกขัดกับความรู้ที่เคยชินมานานก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม จนบางทีก็เกิดโทสะ ผู้ที่สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม มีวิริยะและขันติที่จะฟังต่อไป จนความชินในพระธรรมคำสอนมากขึ้น ทีละน้อย ทีละน้อย ทำให้สัญญาขันธ์จำคำสอน และสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้น "ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎตามปกติตามความเป็นจริง"
เมื่อสติปัฏฐานเริ่มเกิดก็ยังไม่ชิน ต้องอดทนอบรมต่อไป สัญญาขันธ์เริ่มจำลักษณะของสภาพธรรม สังขารขันธ์ค่อยๆ ปรุงแต่งไปจนกว่าจะชินกับลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน จนกว่าจะเป็นความรู้แจ้งขั้นวิปัสนาญาณไปจนถึงการรู้แจ้งพระนิพพาน เราจึงควรพิจารณาตนเนืองๆ ว่า เริ่มชินหรือยัง?
การชินเป็นลักษณะการปรุงแต่งของนามขันธ์นั่นเอง ชินด้วยเวทนาความรู้สึก ชินเพราะสัญญาขันธ์จำ ชินเพราะสังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นบ่อยๆ
ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม เราย่อมคุ้นชินกับโลกของเรื่องราวสมมติบัญญัติ เมื่อเริ่มฟังใหม่ๆ ยังไม่คุ้นชินกับพระธรรมคำสอน ทำให้บางคราวรู้สึกขัดกับความรู้ที่เคยชินมานานก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม จนบางทีก็เกิดโทสะ ผู้ที่สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม มีวิริยะและขันติที่จะฟังต่อไป จนความชินในพระธรรมคำสอนมากขึ้น ทีละน้อย ทีละน้อย ทำให้สัญญาขันธ์จำคำสอน และสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้น "ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎตามปกติตามความเป็นจริง"
เมื่อสติปัฏฐานเริ่มเกิดก็ยังไม่ชิน ต้องอดทนอบรมต่อไป สัญญาขันธ์เริ่มจำลักษณะของสภาพธรรม สังขารขันธ์ค่อยๆ ปรุงแต่งไปจนกว่าจะชินกับลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน จนกว่าจะเป็นความรู้แจ้งขั้นวิปัสนาญาณไปจนถึงการรู้แจ้งพระนิพพาน เราจึงควรพิจารณาตนเนืองๆ ว่า เริ่มชินหรือยัง?
อ่านรายละเอียดแล้วจึงรู้สึกว่าตนเองยังเป็นผู้ชินกับความหยาบอยู่มากกว่าที่คิด
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ชินกับความคิดว่าไม่มีตัวตน แต่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดกับตนเองเรียกว่าสติหรือไม่
และแล้วก็ได้รู้ว่า ยังไม่ได้ชินอะไรเลย
ขออนุโมทนาค่ะ
ชินกับความไม่รู้ ชินกับอกุศล ชินกับความยึดถือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล ตัวตน
ไม่ชินกับการรู้ว่าสภาพธรรม ไม่ชินกับกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ชินกับทุกอย่างเพื่อละความเข้าใจถูก ทำให้ชินในทางที่ถูกโดยเริ่มจากการฟังว่าขณะนี้เป็นธรรมและธรรมคืออะไร
ไม่ชินก็ไม่เป็นไรเพราะเป็นธรรมและเป็นอนัตตา จะชินหรือไม่ชินก็ไม่ใช่เราและเป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
ขออนุโมทนาครับ
ฟังเพื่อละความไม่รู้ เพื่อเข้าใจ
ฟังเพื่อรู้เพื่อละ ในสิ่งที่รู้ มิใช่เพื่อรู้พยัญชนะ
อาศัยชื่อ ไม่ใช่ชื่อ รู้ ละ วาง
ต้องเข้าใจ ถึงวางได้อย่างไม่ตั้งใจ
ค่อยๆ สะสมทีละนิดค่ะ ตามเหตุปัจจัยซึ่งบังคับไม่ได้
อนุโมทนานะคะ
ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น หากรู้ว่า ตนเองยังไม่รู้อะไรและยังไม่ชินกับความเป็นสภาพธรรม ครับ
หากคิดว่าเริ่มชินหรือชินแล้วก็จะเป็นเครื่องกั้นปัญญาที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่ามีแต่เพียง รูปธรรม นามธรรม เท่านั้นจริงๆ