ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๐]
[1] เกิดแล้วแก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย สาระอยู่ตรงไหน? น่าพิจารณาทีเดียว ไม่ละเลยความดี
[2] ทางเดียวกว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ อบรมเจริญปัญญา
[3] สละวัตถุสิ่งของให้ทาน สละความโกรธความขุ่นเคืองใจในผู้อื่น มีความอดทน ทุกอย่างที่จะบำเพ็ญความดีทุกอย่าง นี้แหละ เป็นการเติมความดีอยู่เรื่อยๆ
[4] อกุศล ไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษโดยส่วนเดียว
[5] ที่สำคัญที่สุด คือ เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ
[6] ทุกคนที่เกิดมาแล้ว สำคัญไหมในสิ่งที่เห็น อยากได้ ติดข้อง ยากแสนยาก ที่จะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีชั่วคราว แล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง
[7] ไม่ว่าจะเป็นคำใด ก็ล้วนแล้วแต่แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเมื่อรู้แล้ว ก็เป็นความจริงที่ประเสริฐ
[8] ชีวิตธรรมดาๆ สะสมมาที่จะประพฤติตามที่เป็นไปแล้วก็มีการฟังพระธรรม เพื่อจะได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่ประพฤติว่า เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เรา
[9] ต้องฟังพระธรรม ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น ยากแสนยากที่จะรู้สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง ขาดการฟังพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เลย
[10] ขณะที่ติดข้องต้องการ ไม่ใช่การละ ไม่สามารถทำให้เข้าใจความจริงได้เลย เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เกิดปรากฏ จึงมีความติดข้องยินดีพอใจ
[11] ที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ก็เพราะยังมีความไม่รู้อยู่ จะดับการเกิด ขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมได้ ก็คือ ดับกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์โดยประการทั้งปวง
[12] ฟังพระธรรมบ่อยๆ เพื่อเข้าใจขึ้นๆ
[13] ปกติของท่านมีชีวิตธรรมดา ไม่ได้เข้าใจผิดในข้อปฏิบัติ แล้วถ้าท่านจะละเว้น ทุจริตหรืออกุศล ก็เป็นเพราะสติอบรมแล้วก็รู้ว่าสภาพธรรมใดเป็นสภาพธรรมที่เป็น อกุศล ก็เว้นก็วิรัติ แม้ขณะที่เว้นวิรัตินั้น ก็เป็นสติ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
[14] เกิดมาแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของ ใครทั้งสิ้น
[15] ธาตุรู้ (จิต กับ เจตสิก) ไม่ใช่เรา ธาตุที่ไม่ใช่สภาพรู้ (รูปธรรม) ก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธาตุแต่ละธาตุ เท่านั้น จริงๆ
[16] ถ้าไม่มีความเข้าใจจะไปไหน? ก็ไปทางที่ไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นมานานแสนนาน แต่เมื่อเริ่มมีความเข้าใจถูก ก็จะเป็นเหตุให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไปได้
[17] ทุกคนเสมอกัน มีตาด้วยกัน และก็เห็นเหมือนกัน แต่ใจต่างกัน เพราะฉะนั้น สำคัญที่ใจ คนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล แต่ใจเดือดร้อน ทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะกิเลส
[18] ถ้าสามารถจะรู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเกิดได้จริงๆ ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ สมควรที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทุกคนไม่อยากจะมีความทุกข์ แต่เลือกไม่ได้
[19] ให้ทราบว่ามีตา หู จมูก ลิ้น กาย สำหรับรู้สิ่งที่ปรากฏ แต่การสะสมที่มีอยู่ในใจ แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ก็ เป็นไปตามอกุศลที่ได้สะสมมา แต่ถ้าเริ่มมีความเข้าใจธรรม ความเข้าใจธรรมก็จะ เข้าใจในขณะนั้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วอะไร จะเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้
[20] ถ้าหากมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วไม่หวั่นไหว ขณะนั้นก็ต้องเป็นสุขมากกว่าคนที่ อยากจะเห็น อยากจะได้ยิน แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่หวั่นไหวด้วยความทุกข์ ด้วยอกุศลที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ
[21] บุคคลผู้ที่รักษาศีลจนเป็นอุปนิสัย ผู้นั้นก็จะมีกาย วาจาที่สะอาด ไม่เบียดเบียน ใครให้เดือดร้อนเลย ถึงแม้ว่าการให้ทานของบุคคลประเภทนี้จะมีน้อยกว่าบุคคลผู้มี อัธยาศัยในการให้ทานก็ตาม
[22] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงว่า ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา ก็ตาม ถ้าเป็นคนพาล เมื่อกระทำกรรมอันชั่วช้า เป็นทุจริตประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ย่อมร่าเริงยินดีในการกระทำ อุปมาเหมือนกับบุคคล ผู้เคี้ยวกินของหวาน มีน้ำผึ้ง น้ำตาล เป็นต้น จึงเป็นผู้มีความสำคัญผิดว่า บาปกรรม นั้น น่าใคร่ น่าพอใจ (ยังไม่รู้สึกว่าบาปมีโทษ) ต่อเมื่อใดก็ตามที่บาปกรรมที่เขา ทำนั้นได้ให้ผล เมื่อนั้นคนพาล ย่อมเป็นผู้ประสบทุกข์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลของกรรม ชั่วที่ตนเองได้กระทำแล้วเท่านั้น ไม่มีใครทำให้เลย
[23] การกระทำทุกอย่างของแต่ละบุคคลที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน จะต้องมี เหตุทั้งนั้น และเหตุของการกระทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดล้วนเกิดจากกิเลส ถ้าตราบใด ที่ยังมีกิเลสอยู่ ตราบนั้นก็ยังมีเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีได้ แต่จะมากหรือน้อยก็ ขึ้นอยู่กับกำลังหรือระดับของกิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมา
[24] ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมอยู่เป็นประจำบ่อยๆ เนืองๆ จิตใจย่อมน้อม ไปในทางกุศลได้ ซึ่งเป็นการปรุงแต่งของธรรมฝ่ายดี โดยที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
[25] กิเลสทั้งหลาย มี ความไม่รู้เป็นต้น ไม่สามารถจะช่วยใครได้เลย
[26] เกิดมาแล้วมีภัยมาก โดยเฉพาะภัยภายใน คือ กิเลส
[27] ถ้าทุกคนมีความเข้าใจถูกเห็นถูก พ้นจากภัยแน่
[28] แต่ละคนที่มาฟังพระธรรม ต้องการความสำเร็จอะไร? ความเข้าใจถูกเห็นถูก ตามความเป็นจริง เพราะความสำเร็จอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก
[29] จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จะต้องเริ่มเป็นผู้ตรงตั้งแต่ต้น ว่ามีธรรม แต่ไม่เข้าใจ จึงศึกษา
[30] ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใด ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
[31] ใครที่ทำอะไรเดี๋ยวนี้ก็เพราะฉันทะความพอใจ พอใจที่จะศึกษาพระธรรม พอใจ ที่จะไปเที่ยว เป็นต้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เรา
[32] ฟังพระธรรมตลอดชาตินี้ ก็เพื่อความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรม เป็น ธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
[33] ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ปัญญาขั้นต่อไปก็มีไม่ได้
[34] หนทางของปัญญา เป็นไปเพื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน
(ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันทุกท่าน ร่วมแบ่งปันข้อความธรรม ด้วยนะครับ)
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๙๙ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๙๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- การฟังธรรม ศึกษาธรรม เพื่อที่จะให้เข้าใจธรรมที่ละเอียด จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น เพราะว่า ถ้าพูดถึงเรื่องวิปัสสนา เป็นปัญญาขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา อันทำให้บุคคลผู้รู้แจ้งสภาพธรรม สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ซึ่งกิเลสมีมากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ การฟังธรรมทุกครั้งก็เพื่อให้เกิดความเห็นถูก ซึ่งเป็นปัญญา และจะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นด้วย
- จะเห็นได้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอย่างละเอียด เพื่อเกื้อกูลผู้ฟังให้เกิดความเข้าใจ ถ้าไม่ฟัง แล้วไปทำอย่างอื่น จะเข้าใจพระธรรมได้อย่างไรเพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นชาวพุทธควรศึกษาพระธรรม ด้วยความเคารพนอบน้อมต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่จำเป็นต้องศึกษาโดยละเอียด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คงไม่ทรงแสดงธรรมอย่างละเอียดเช่นนี้ โปรดศึกษาและพิจารณาพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัพุทธเจ้าด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมจริงๆ
- ไม่ควรประมาทคิดว่าเพียงฟังครั้งเดียว หรือ สองครั้ง ก็สามารถที่จะเข้าใจได้โดยละเอียดลึกซึ้ง จนสามารถที่จะปฏิบัติและหมดกิเลสได้ในเวลารวดเร็ว แต่เป็นเรื่องที่ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระธรรมที่ทรงแสดงนั้นเป็นสัจจธรรม คือ เป็นสิ่งที่มีจริงและสามารถที่จะพิสูจน์ได้ไม่ว่าในกาลไหนๆ ทั้งสิ้นแต่ถ้าไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่สามารถเข้าใจว่า การที่จะพิสูจน์พระธรรมที่พระผู้มีพระ-ภาคทรงตรัสรู้ จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า พระธรรมนั้นเป็นพระธรรมที่ตรัสรู้แจ้งจริงๆ
- การไปปฏิบัติธรรมใดๆ ที่ไหนก็ตาม ถ้าไปแล้วจะ "ได้" นั่นไม่ใช่คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมก็เพื่อละ และไม่ใช่จะ ละง่ายๆ เพราะในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา ก็สะสมกิเลสมาหนาแน่น ต้องค่อยๆ ฟัง เพื่อละความไม่รู้ ไปช้าๆ ทีละเรื่อง ไม่ต้องรีบ ถ้ารีบเร่งรัด ก็อาจจะเป็นโลภะ เป็นตัวตนให้ยืดสังสารวัฏฏ์ออกไปเสียเปล่าๆ ถ้ามัวไปทำอะไรโดยไม่ศึกษาให้เข้าใจ ก็อาจตายก่อนจะเข้าใจธรรมะจริงๆ ก็ได้
- อย่าลืมนะคะ ธรรมะทั้งหมด ทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถา เพื่อให้เข้าใจลักษณะ ของสภาพธรรมะชัดเจนขึ้น เพื่อจะได้มีเครื่องปรุงสำหรับปัญญาที่จะละการยึดถือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นเราหรือว่าเป็นตัวตน
- แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานนั้น พระองค์ก็ได้ทรงเห็นความสำคัญ ของพุทธบริษัททั้ง ๔ ไม่ได้มอบหมายพระธรรมไว้กับพุทธบริษัทส่วนหนึ่งส่วนใดโดย เฉพาะ หรือว่าเพศหนึ่งเพศใดโดยเฉพาะ
- แม้ทำความดี ก็ยังไม่รู้เลยว่า ดีที่ทำ โดยอะไรโดยมีตนเป็นใหญ่ เพื่อตัวเองหรือ มีโลกเป็นใหญ่ คือ คนอื่น หรือว่ามีธรรมเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ถ้า มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ความดีนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเองเพราะรู้ว่า ไม่มีตัวเลย เป็นธรรมซึ่ง ต้องเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุที่เป็นอกุศลกรรมผลของอกุศลกรรมต้องมี เมื่อมีเหตุ ที่เป็นกุศลกรรม ผลของกุศลกรรมต้องมี แต่แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่ทำดีโดยมีตัวเองเป็น ใหญ่ ต้องถึงการมีธรรมเป็นใหญ่ คือ เพื่อธรรม ซึ่งไม่ใช่เพื่อตัวเอง หรือเพื่อโลก คือ คนอื่น แต่เพื่อธรรม
- ใครที่ยังเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ และทุจริตทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางวาจาบ้าง ก็ส่องไปถึงความเข้าใจธรรมว่ามากหรือน้อย
- ถ้ายังเข้าใจว่าเป็นเรา ก็แสดงว่า ความเข้าใจขั้นการฟังยังไม่พอ
- ช่วยชาติให้พ้นภัย ชาติ คือ การเกิด ช่วยให้พ้นภัยจากการเกิด อกุศลช่วยได้ไหม ช่วยไม่ได้ แต่ จะต้องเป็นกุศลธรรม และ ช่วยชาติให้พ้นภัย ให้พ้นจากชาติการเกิดใน นรก ด้วยการทำกุศลกรรม และ แนะนำผู้อื่นให้ทำกุศลธรรม และ ช่วยชาติให้พ้นภัย คือ ช่วยชาติให้พ้นจากการเกิดในสังสารวัฏฏ์ แม้แต่การเกิดในสุคติภูมิ ก็เป็นภัย เพราะ ไม่เที่ยง ไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ การช่วยชาติให้พ้นภัยจากการเกิดในสังสารวัฏฏ์ ความไม่รู้ ช่วยได้ไหม ช่วยไม่ได้ แต่ ปัญญา ความเห็นถูกเท่านั้น ที่จะช่วยขาติให้ พ้นภัย คนที่พูดว่าช่วยชาติให้พ้นภัย รู้อะไรหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ความจริง ก็ช่วยไม่ได้ และ เดี๋ยวนี้ กำลังช่วยชาติให้พ้นภัยหรือเปล่า ถ้าเป็นอกุศล ก็ช่วยไม่ได้แต่ถ้าเป็น กุศลจิต เป็นกุศลชาติ พ้นจากภัย คือ อกุศลแล้ว ช่วยชาติ ให้พ้นภัยจากอกุศล ขณะที่เข้าใจพระธรรม เป็นการช่วยชาติให้พ้นภัยแล้ว เพราะ พ้นภัยจากอวิชชา และ ถ้าทุกคน แต่ละหน่วยแต่ละหนึ่ง ที่มีความเข้าใจ ภัยก็ลดลง และ เป็นการ ช่วยชาติที่ดีที่สุด
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วยค่ะ
จะละโลภะในชีวิตประจำวันได้อย่างไร ขณะนี้หรือเปล่า ที่กำลังฟัง พิจารณาให้เข้าใจ คลายความเป็นตัวตน ความเป็นเราแม้ด้วยการฟังว่า ... เป็นธรรมะ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.ผเดิม ด้วยค่ะ ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ดีมากๆ ค่ะ ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ