ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๒
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือการสามารถอบรมเจริญความเห็นถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้น ก็ไม่ฟังพระธรรม ฟังเพื่ออะไร? เพื่อรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกขณะของชีวิต เพื่อให้ผู้อื่นสามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นกุศลที่จะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้น ถ้ามีปัญญาเห็นถูกต้องแล้วจะทำอกุศลไหม? ก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้น ปัญญาจะนำมาซึ่งกุศลทุกประการด้วย
~ การศึกษาธรรมก็ต้องอดทน ที่จะรู้ว่าอกุศลมีมาก แล้วก็ความไม่รู้มีมาก ความติดข้องในสิ่งที่เคยติด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีมาก เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังธรรมทุกประการ ด้วยการพิจารณาให้เข้าใจธรรม ซึ่งการเข้าใจธรรม มีตั้งแต่ขั้นฟัง ขณะนี้ที่ได้ฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจ จนกว่าจะสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ กำลังเป็นจริง ในขณะนี้ได้
~ ธรรมต้องเป็นธรรมประการเดียว กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน ทั้งหมดก็คือเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ก็มีคำว่า “ธรรม” แต่ละคนก็ได้ยินคำนี้ แต่จะเข้าใจคำนี้ลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน ถ้าเข้าใจจริงๆ มั่นคง ถึงการดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะเข้าใจธรรมะโดยประการทั้งปวง จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้หมด
~ ไม่ต้องหวั่นไหว ก็มีลาภ ก็เสื่อมลาภได้ มียศก็เลื่อมยศได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้ มีสรรเสริญก็มีนินทาได้ ก็เป็นของธรรมดา ทุกอย่างก็ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้
~ นามธรรม (สภาพรู้) และรูปธรรม (สภาพที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้) เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงก็จะเข้าใจได้ว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่เวลาที่เรายังไม่เข้าใจ ก็จะเห็นว่าธรรมเป็นเรา เข้าใจผิดว่าธรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมที่พระผู้มีภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อให้หยั่งถึง ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหมด
~ ปัญญาไม่เป็นทุกข์ เพราะปัญญารู้ความจริง แต่ขณะใดที่ไม่ใช่ปัญญา เราเป็นทุกข์ เพราะเข้าใจว่า เห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา อยากจะได้สิ่งที่ปรากฏทางตา อยากจะได้เสียง อยากจะได้กลิ่น เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ที่ไม่ได้ โดยไม่รู้ความจริงว่า ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ไม่มีใครสามารถสร้างธรรมหนึ่งธรรมใดให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะมีปัจจัยเกิดแล้วทั้งหมดในขณะนี้
~ เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นธรรม จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์จึงสามารถละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ก็เป็นการอบรมเจริญปัญญาที่ใช้คำว่า วิปัสสนา คือเห็นแจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรม แต่ต้องเริ่มทีละเล็กทีละน้อย
~ ที่ฟังพระธรรม คือ อบรมเจริญปัญญา ภาวนาคือการอบรมเจริญปัญญา ให้ปัญญาค่อยๆ เกิด ค่อยๆ มั่นคง จนสามารถเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จะมีวิธีอื่นนอกจากนี้ได้ไหม ไปหาวิธีไหนมาที่ทำให้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้? ไม่มีเลย นอกจากปัญญาเดี๋ยวนี้เกิด และต่อไปฟังอีก เข้าใจเพิ่มอีก ปัญญาเพิ่มอีก จึงเป็นผู้สนใจ มนสิการ คือ ใส่ใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น
~ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุด เพราะทรงพระมหากรุณา ทุกอย่างที่ทำ เพื่อประโยชน์ของผู้ที่ได้พบเท่านั้น
~ การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟัง คือ เพื่อละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น มิฉะนั้นแล้ว ก็หลอกตัวเอง เข้าใจว่าไม่มีกิเลสแล้ว ไม่รู้อะไรสักหน่อย ก็เข้าใจว่า รู้แล้วมาก กำลังจะเป็นพระอริยบุคคล หรืออะไรอย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ธรรมเป็นเรื่องที่ตรง
~ สภาพของกุศลจิต หรือกุศลธรรมในขณะนั้นเองที่เกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีโทษ เช่น เมตตา เมื่อเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ใครเกิดความเดือดร้อน ตรงกันข้ามกลับทำให้เกิดความสบายใจ เพราะว่าไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะเกื้อกูลอย่างจริงใจ เพราะฉะนั้น ลักษณะของกุศลเป็นสภาพที่ มีความไม่มีโทษ เป็นลักษณะ
~ เป็นความจริงที่ว่า อกุศลเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก แต่กุศลเกิดยากและเกิดน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้อกุศลซึ่งเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก ก็เป็นเพราะมีปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิดมาก เกิดง่าย เกิดเร็ว หรือกุศลที่จะเกิดก็เป็นอนัตตา ถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย กุศลก็เกิดไม่ได้
~ กุศลเหมือนเพื่อนที่จะอำนวยความสะดวกสบาย ความสุข เกื้อกูลอุปการะ ให้คุณทุกประการ แต่อกุศลเป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกุศล คือ ตรงกันข้าม กระทำทุกอย่างที่มิตรไม่กระทำ เพราะฉะนั้น ก็เปรียบเหมือนศัตรูซึ่งไม่ใช่มิตร ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อมิตร เพราะฉะนั้น ศัตรูของทุกท่าน ไม่ใช่อยู่ข้างนอกหรือว่าไม่ใช่อยู่ภายนอกเลย แต่อยู่ภายในและใกล้ชิดที่สุด คือ ทุกขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร
~ อย่าลืม ไม่เคยอยู่คนเดียว เพราะว่ามีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วย ใกล้ชิดที่สุด ไม่ห่างเลย คือ โลภะ จริงหรือเปล่า? อยู่ที่ไหนก็ได้ ที่เข้าใจว่าอยู่คนเดียว ลองคิดดูว่า ในขณะนั้นใจนึกถึงอะไรบ้าง นึกถึงใครบ้าง นึกถึงเรื่องอะไรบ้าง จะกล่าวว่าอยู่คนเดียวได้อย่างไร เพราะฉะนั้น โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) ไม่เคยจากไปไกลเลย อยู่ใกล้เคียงตลอดเวลาในสังสารวัฏฏ์
~ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสที่จะทำความดีทุกอย่างทุกประการที่สามารถจะกระทำได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรทำ เพราะเหตุว่า ถ้าขณะนั้นไม่ใช่จิตที่ดี ก็เป็นอกุศลจิต แม้เพียงเป็นกุศลจิต นิดเดียว ต่อไปจะเห็นค่าของหนึ่งขณะที่เป็นกุศล หรือแม้แต่การฟังธรรมแล้วเข้าใจแต่ละคำ แม้คำเดียว ก็มีค่า ที่จะทำให้เข้าใจคำอื่นต่อไปๆ
~ เมื่อมีกาย ก็ต้องมีความทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นเพราะกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยกาย เย็นบ้างร้อนบ้างเป็นของธรรมดา เมื่อมีกาย จะไม่กระทบกับเย็นหรือร้อนที่จะเกิดความทุกข์ เป็นไปได้ไหม? ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหลงลืม ไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบกายและดับไป ถ้าไม่รู้อย่างนี้จริงๆ ย่อมเดือดร้อน ย่อมคร่ำครวญ ย่อมรำพัน ซึ่งในขณะนั้นหลงลืมสติ ไม่ได้รู้ ว่า ลักษณะที่ร้อน หรือว่าลักษณะที่เย็น ลักษณะของความรู้สึกซึ่งทุกข์ที่กาย ในขณะนั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ฉันทะ เป็นความพอใจ ซึ่งพอใจในกุศลธรรมก็ได้ หรือว่า พอใจในอกุศลธรรมก็ได้ จริงไหม? บางคนพอใจในการที่จะมีโทสะมากๆ นั่นเป็นฉันทะในอกุศล แต่ความพอใจในการที่จะศึกษาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นฉันทะในกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ฉันทะ ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ความปรารถนาอยากจะได้มาเป็นของตน
~ คนที่กำลังเดือดร้อนเป็นปุถุชน ถ้าเป็นพระอริยบุคคล ความเดือดร้อนก็น้อยลงๆ แต่สำหรับปุถุชนเดือดร้อนมากจริงๆ เพราะอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ในวันหนึ่งๆ ขณะใดที่รู้สึกเดือดร้อนใจ ขณะนั้นให้ทราบว่า เป็นอกุศลธรรม และเพิ่มความเป็นปุถุชนผู้ที่หนาด้วยกิเลสให้มากขึ้น เพราะถ้าเป็นความเห็นถูก เป็นปัญญา ขณะนั้นจะไม่เดือดร้อน
~ ต้องศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียด เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ถ้าคำสอนใดเป็นเรื่องที่ให้เกิดสติปัญญา สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องยิ่งขึ้น นั่นคือคำสอนที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น ให้เชื่ออย่างอื่น ให้เข้าใจผิดอย่างอื่น ให้พึ่งอย่างอื่น ให้กระทำอย่างอื่น ที่ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นั่น ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกคนเหมือนนักเขียนภาพ ช่างวาดกำลังวาดภาพของชาติหน้า ใครวาดเก่งบ้าง วาดสวยน่าดู หรือว่า น่ารังเกียจ ไม่ใช่คนอื่นทำให้เลย ธรรมซึ่งเป็นกุศลและอกุศลซึ่งสะสมอยู่ ก็ทำให้แต่ละหนึ่งเป็นไปโดยหลากหลาย ซึ่งไม่ซ้ำกันเลย กำลังวาดรูปอยู่หรือเปล่า? รูปใคร? รูปคนอื่นจากคนนี้ซึ่งจะเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้ วาดดีๆ ก็แล้วกัน
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอ.คำปั่น และกราบยินดีในกุศลทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบท่านอาจารย์คำปั่นและอาจารย์มศพ.ทุกๆ ท่านค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์
สุจินต์ บริหารวนเขตต์และ อนุโมทนาค่ะคุณ คำปั่น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะท่านอาจารย์