ธรรมเตือนใจ...จากงานประชุมเพลิงคุณบุษบงรำไพ
โดย ตุลา  25 ก.ค. 2551
หัวข้อหมายเลข 9367

ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย

เมื่อวานได้สนทนาธรรมกับน้องชาย เกี่ยวกับหัวข้อการสนทนาธรรมในงานประชุมเพลิงคุณบุษบงรำไพ พลวัฒน์ ๒๔ ก.ค. ๒๕๕๑ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. ที่วัดธาตุทอง โดยมีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นประธานได้ข้อคิดเป็นธรรมเตือนใจอยู่หลายข้อ แต่จะขอยกมาเพียงบางส่วนดังนี้ค่ะ

เกิดมาในชาตินี้ เป็นผลของกรรม เลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกวงศาคณาญาติไม่ได้ ชีวิตทั้งชีวิตเป็นธรรม เกิดมาแล้วต้องตาย เรื่องใหญ่ ไม่ใช่กลัว แต่เรื่องใหญ่คือ ความดีที่จะต้องมี ที่จะพึงกระทำ จนกว่าจะถึงวันตาย ชาติที่แล้วๆ มาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่บัดนี้ ขอเพียงมีศรัทธาที่จะศึกษาที่จะฟังพระธรรมต่อไป เมื่อมีชีวิตอยู่ ควรมีเมตตาต่อกัน คิดถึงคนที่ตายไปแล้วได้ แต่ขอให้คิดถึงในคุณงามความดี ความตาย เป็นจิตขณะหนึ่ง ซึ่งทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ความตายก็ไม่น่ากลัว ทุกคนที่เกิดมาแล้ว ล้วนต้องตาย (ตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ)

ฯ ล ฯ

ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออุทิศส่วนกุศลแด่คุณบุษบงรำไพ พลวัฒน์ ค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 25 ก.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ใบไม้ไม่เลือกว่าจะร่วงใบอ่อนหรือใบแก่ ถ้าจะเศร้าโศกถึงคนที่ตาย ควรเศร้าโศกถึงตนเองที่จะต้องตายเหมือนกัน หากจะเศร้าโศกก็เข้าใจว่าเป็นอนัตตาและเป็นธรรม บุคคลย่อมสำคัญสิ่งใดว่า สิ่งนี้เป็นของเรา จำต้องละสิ่งนั้นไป แม้เพราะความตาย บุคคลผู้ตื่นขึ้นแล้ว ย่อมไม่เห็นอารมณ์อันประจวบด้วยความฝัน แม้ฉันใด บุคคลย่อมไม่เห็นบุคคลผู้ที่ตนรัก ผู้ทำกาละล่วงไปแล้ว แม้ฉันนั้น. ขณะที่คิดถึงใคร ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่คิดเท่านั้น สิ่งที่มีจริงคือสภาพที่คิด

บัดนี้ท่านทั้งหลายมีเสบียงเดินทางไกลหรือยัง คนที่มีทรัพย์แล้วไม่ให้ ก็เหมือนทรัพย์ของคนที่ตายแล้ว สิ่งใดติดตัวเอาไปไม่ได้นอกจากบุญและบาป การเห็นเขาครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ ควรทำดี มีเมตตากัน

ขออนุโมทนาด้วยครับ

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 2    โดย suwit02  วันที่ 25 ก.ค. 2551
สาธุ

ความคิดเห็น 3    โดย แก่นไม้หอม  วันที่ 25 ก.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาคุณตุลา และคุณแล้วเจอกัน ในข้อ ธรรมเตือนใจจากงานประชุมเพลิงคุณบุษบงรำไพ ดีมากค่ะ

ขออุทิศส่วนกุศลแด่คุณบุษบงรำไพค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย พุทธรักษา  วันที่ 25 ก.ค. 2551

ขอคำอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ. " บุคคลผู้ตื่นขึ้นแล้ว ยอมไม่เห็นอารมณ์ อันประจวบด้วยความฝัน แม้ฉันใด บุคคลย่อมไม่เห็นบุคคลผู้ที่ตนรัก

ผู้ทำกาละล่วงไปแล้ว แม้ฉันนั้น." อนุโมทนาค่ะ.


ความคิดเห็น 5    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 25 ก.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ.


ความคิดเห็น 6    โดย prakaimuk.k  วันที่ 25 ก.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 25 ก.ค. 2551

ความตายนั้น เป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชาติหนึ่งๆ เป็นจิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้นและดับไป จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ ทำกิจจุติ คือเคลื่อนหรือพรากให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ..

เกี่ยวกับความตาย พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า "เมื่อสัตว์เหล่านั้น ถูกความตายครอบงำแล้ว ต้องไปปรโลก บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้ หรือ พวกญาติจะป้องกันพวกญาติไว้ก็ไม่ได้.
ท่านจงเห็น เหมือนเมื่อหมู่ญาติของสัตว์ทั้งหลายผู้จะต้องตาย กำลังแลดู รำพันอยู่โดยประการต่างๆ สัตว์ผู้จะต้องตายผู้เดียวเท่านั้น ถูกความตายนำไปเหมือนโคที่บุคคลจะพึงฆ่า ถูกนำไปตัวเดียว ฉะนั้น ความตาย และความแก่ กำจัดสัตว์โลกอยู่ อย่างนี้ เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายทราบชัดสภาพของโลกแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก"


ความคิดเห็น 8    โดย khampan.a  วันที่ 25 ก.ค. 2551

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีความตายเป็นธรรมดา มีความตาย เป็นที่สุด ไม่สามารถล่วงพ้นความตายไปได้ ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสั่งสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลัง รวมถึงการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สั่งสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ครับ ..

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่ห้วข้อ จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย Pararawee  วันที่ 25 ก.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย Khaeota  วันที่ 25 ก.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย pornpaon  วันที่ 25 ก.ค. 2551

เป็นธรรมะเตือนใจจริงๆ

ขออนุโมทนาคุณตุลา และทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย wannee.s  วันที่ 25 ก.ค. 2551

ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้

ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ ฉันนั้นค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 25 ก.ค. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ ๔ โดย พุทธรักษา

ขอคำอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ. " บุคคลผู้ตื่นขึ้นแล้ว ยอมไม่เห็นอารมณ์ อันประจวบด้วยความฝัน แม้ฉันใด บุคคลย่อมไม่เห็นบุคคลผู้ที่ตนรัก ผู้ทำกาละล่วงไปแล้ว แม้ฉันนั้น." อนุโมทนาค่ะ.

บุคคลที่ตื่นแล้วก็ไม่สามารถ กลับไปรู้ในสิ่งที่ฝันนั้นได้อีกเพราะเกิดขึ้นและดับไปแล้ว ไม่ได้มีจริง ฉันใด แม้บุคคลที่ตายแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเห็นบุคคลนั้นได้อีกเลย ก็ได้แต่คิดนึก นึกถึงเป็นเรื่องราวของบุคคลนั้น เพราะสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมคือ (สี) สีนั้นก็ไม่สามารถกลับมาเห็น สีอย่างนั้นได้อีก (สีสรรที่ปรากฏทางตาแบบนั้นที่ทำให้คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐานเป็นบุคคลนั้น) เพราะบุคคลนั้นตายไปแล้วนั่นเอง เหลือแต่ชื่อและเรื่องราวให้คิดนึก ก็ไม่ต่างไปจากความฝันเลย ตื่นมารู้ความจริงแค่ฝัน ไม่ได้มีจริง คิดนึกไปเท่านั้น คนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีทางเห็นอีก แค่คิดนึกถึงเท่านั้น ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย พุทธรักษา  วันที่ 25 ก.ค. 2551

ขอขอบพระคุณ คุณแล้วเจอกัน

ขออนุโมทนาค่ะ.


ความคิดเห็น 16    โดย เมตตา  วันที่ 26 ก.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย Komsan  วันที่ 26 ก.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 18    โดย ajarnkruo  วันที่ 26 ก.ค. 2551

จะหลับหรือตื่น จะนึกหรือฝันผู้มีปัญญาเท่านั้น ย่อมไม่ทำตนให้เดือดร้อน

.....................................

[๑๕๖๕] พี่ราม ด้วยอานุภาพอะไร เจ้าพี่ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ควรเศร้าโศก ความทุกข์มิได้ครอบงำพี่เพราะได้ทรงสดับว่าพระราชบิดาสวรรคตเล่า.
[๑๕๖๖] คนเราไม่สามารถจะรักษาชีวิต ที่คนเป็นอันมากพร่ำเพ้อถึง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งจะทำตนให้เดือดร้อนเพื่ออะไรกัน.
[๑๕๖๗] ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งนั้น.

[๑๕๖๘] ผลไม้ที่สุกแล้ว ก็พลันแต่จะหล่นลงเป็นแน่ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็พลันแต่จะตายเป็นแน่ ฉันนั้น.

[๑๕๖๙] เวลาเช้าเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลาเย็นบางคนไม่เห็นกัน เวลาเย็นเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลาเช้าบางคนไม่เห็นกัน.

[๑๕๗๐] ถ้าผู้ที่คร่ำครวญหลงเบียดเบียนตนอยู่ จะพึงได้รับประโยชน์สักเล็กน้อยไซร้ บัณฑิตผู้มีปรีชาก็จะพึงทำเช่นนั้นบ้าง.

[๑๕๗๑] ผู้เบียดเบียนตนเองอยู่ ย่อมซูบผอมปราศจากผิวพรรณ สัตว์ผู้ละไปแล้วไม่ได้ช่วยคุ้มครองรักษา ด้วยการร่ำไห้นั้นเลย การร่ำไห้ไร้ประโยชน์.

[๑๕๗๒] คนฉลาดพึงดับไฟที่ไหม้เรือนด้วยน้ำฉันใด คนผู้เป็นนักปราชญ์ได้รับการศึกษามาดี มีปัญญาเฉลียวฉลาด พึงรีบกำจัดความโศกที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน เหมือนลมพัดปุยนุ่นฉันนั้น.

[๑๕๗๓] คนๆ เดียวนั้นตายไป คนเดียวเท่านั้นเกิดในตระกูล ส่วนการคบหากันของสรรพสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่ง.

[๑๕๗๔] เพราะเหตุนั้นแล ความเศร้าโศกแม้จะมากมายก็ไม่ทำจิตใจของนักปราชญ์ ผู้เป็นพหูสูต มองเห็นโลกนี้และโลกหน้า รู้ทั่วถึงธรรมให้เร่าร้อนได้.

..............................................

ข้อความบางตอนจาก

๗. ทสรถชาดก ว่าด้วยผู้มีปัญญาย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว

[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้าที่ ๗๒


ความคิดเห็น 19    โดย พุทธรักษา  วันที่ 27 ก.ค. 2551

แม้ทราบว่าร้องไห้ไม่มีประโยชน์

แต่ยังคงร้องไห้อยู่ ก็เข้าใจ.
ขออนุโมทนาค่ะจาก...คนประมาท.


ความคิดเห็น 20    โดย เซจาน้อย  วันที่ 27 ก.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 21    โดย เมตตา  วันที่ 29 ก.ค. 2551

ว่าด้วยผู้มีปัญญาย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว

แต่เรายังเป็นปุถุชนยังมีกิเลสอยู่ย่อมต้องโศกเศร้าเป็นธรรมดา แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงส่งเสริมให้เกิดอกุศลจิตเลยแม้แต่นิดเดียว จึงควรไม่ประมาท ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของนามธรรมและลักษณะของรูปธรรมตามความเป็นจริง ..

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 22    โดย เจริญในธรรม  วันที่ 6 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 23    โดย pornchai.s  วันที่ 6 ส.ค. 2551

แม้จะ ร้องไห้ เศร้า โศก ถึง คนตาย จนร่างกายผ่ายผอม

ย่อมไม่อาจทำให้ ตายแล้วฟื้น

..................................................

ขออนุโมทนาครับ

จากคนประมาท (อีกคนหนึ่ง)