คนอารมณ์ร้อน มีวิธีแก้ไขได้อย่างไรค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ในความเป็นจริง กิเลสเป็นสิ่งที่ซ่อนลึก ซึ่งไม่รู้เลยว่า ใครสะสมกิเลสอะไรอย่างไร
แต่ที่เสมอกันคือ ความเป็นปุถุชน คือ มากไปด้วยกิเลส หนาด้วยกิเลสด้วยกันทั้งนั้นเพราะฉะนั้นทุกๆ คนก็ต้องเป็นผู้ตรงว่ามีกิเลสที่สะสมมามากมายนับไม่ถ้วนครับ ดังนั้น
การตัดสินเพียงอาการภายนอก เพียการเป็นผู้นิ่งไม่แสดงออกออกมาให้เห็น ไมได้หมายความว่าเป็นคนใจเย็น หรือ ไม่ได้เกิดกิเลสขึ้นในใจในขณะนั้น
ดังเช่นผุ้ที่สะสม ที่จะไม่พูด ไม่แสดงออกเมือ่ได้ยินคำไม่ดี แต่ไมjได้หมายคววามว่า
จิตขณะนั้นจะดี เพราtขณะนั้นอาจโกรธในใจ แต่ไม่แสดงออก ตรงกันข้ามอาจเป็นผู้ผูก
โกรธ ฝังไว้ ไม่ลืม ต่างกับคนที่แสดงออกมาแล้วก็จบ ไม่ผูกโกรธ ไม่เกิด โทสะ ติดต่อ
กันไปนานครับ
ดังนั้นผู้ที่ใจเย็น คือ ผู้ที่เกิดจิตเป็นกุศล มีเมตตาบ่อยๆ รวมทั้งเบาบางและไม่มีกิเลส
เครื่องเร่าร้อน ซึ่งผู้ใดจะรู้นอกจากตัวของผู้นั้นเอง ที่สำคัญ คนที่จะรู้ได้คือตัวเองนั้นก็
ต้องมีปัญญาด้วยครับ เพราะเมื่อไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าขณะที่ได้ยินคำไม่ดี
ขณะนั้นจิตเป็นอะไร เป็นกุศล หรือ อกุศลครับ จึงเป็นเรื่องของปัญญาอย่างแท้จริง
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ขัดเลยที่คนคนนั้นจะเกิดโมโหมากขึ้นมา เพราะเราสำคัญผิด คิด
เองว่าเขาใจเย็น แต่เมื่อมีกิเลสมาก มีโลภะ โทสะ โมหะมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น
คนดุครับ คนที่ใจเย็นจึงต้องเป็นผู้มีกิเลสน้อย ไม่มากไปด้วยโลภะ โทสะหรือโมหะ หรือ
ไม่มีกิเลสเหล่านี้จึงจะเป็นผู้ใจเย็น เย็นสนิทด้วยไม่มีกิเลสเครื่องเร่าร้อนครับ
ดังนั้นเมื่อมีกิเลสมากจะกล่าวว่าใจเย็นไมได้ เพราะกิเลสเกิดขึ้นในใจไม่ได้แสดง
ออกก็ได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เมื่อได้ยินคำพูดไม่ดี ก็เกิดโกรธ โมโหมากเพราะ
กิเลสที่สะสมามากนั่นเองครับ ปุถุชนทั่วไปจึงยังเป็นคนดุ ผู้ที่ไม่ใใช่คนดุแล้ว คือ ผู้ไม่มีกิเลสในจิตใจ ไม่มีโลภะ
โทสะ โมหะ และผู้ที่ใจเย็น จริงๆ คือ ไม่มีสิ่งที่ร้อน คือ กิเลส โลภะเป็นของร้อน โทสะ
เป็นของร้อน โมหะเป็นของร้อน ไม่มีกิเลสเครื่องเร่าร้อนจึงเป็นผู้ใจเย็นจริงๆ ครับซึ่งหนทางให้ใจเย็น คือ การอบรมปัญญาด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม กุศล
ประการต่างๆ ที่ไม่เร่าร้อนด้วยกิเลสก็ค่อยๆ เจริญขึ้น และจนถึงการดับกิเลสที่เป็นเครื่องเร่าร้อนทั้งหมด ถึงความเย็นสนิทในจิตใจครับ ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...คุณว่าตัวเองเป็นคนดุหรือเปล่า? [จัณฑสูตร]
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับพืชเืชื้อของกิเลส อันเป็นกิเลสที่ละเอียด ที่จะต้องถูกดับด้วยอริยมรรค (โสดาปัตติมรรค ถึงอรหัตต-มรรค) ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กิเลสขั้นที่กลุ้มรุมจิต เกิดขึ้น และถ้ามีกำลังกล้า ก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่าง ๆ มีการประทุษร้ายต่อผู้อื่น เป็นต้น และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคลสะสมอกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานจนนับไม่ได้ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะค่อยๆ เห็นว่าขณะจิตที่เป็นไปในแต่ละวันนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปด้วยโลภะ บ้าง โทสะ บ้าง หรือ ถ้าไ่ม่เป็นโลภะหรือโทสะ ก็เป็น โมหะ ตลอดเวลาที่จิตไม่เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในการรักษาศีล และ ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา จากการฟังธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง เป็นต้น จิตก็จะเป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะติดข้องมากๆ ก็ได้ อาจจะ โกรธมากๆ ก็ได้ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส นั่นเอง พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความเป็นจริงของสภาพธรรม ได้ว่าธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ยาดี ที่จะรักษาโรคกิเลสได้ทุกประเภทจริงๆ คือ ความเข้าใจพระธรรม [ปัญญา] อย่างเช่นพระภิกษุในสมัยครั้งพุทธกาล บางรูป ท่านเิกิดความติดข้องเป็นอย่างมาก พอได้เข้าเฝ้าฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบารมีที่ตนเองได้สะสมมา ทำให้ได้ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น หรือ บางรูป โกรธง่ายมาก ใครทำอะไรให้หน่อยก็โกรธ แต่พอได้ฟังพระธรรมจากพระองค์ ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ดับความโกรธได้อย่างเด็ด ไม่มีความโกรธทุกระดับเกิดขึ้นอีกเลย และในที่สุดแล้ว ก็จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง นี้คือ ประโยชน์ที่เกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเ้จ้าทรงแสดง ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส จนกระทั่งสามารถดับได้ในที่สุด
ดังนั้น จึงขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยจริงๆ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้พระธรรมขัดเกลากิเลสในจิตใจของตนเองให้เบาบาง แล้วผลแห่งการเจริญปัญญาจะทำให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนเองด้วยการเห็นโทษของกิเลสทั้งปวง มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ตามความเจริญขึ้นของปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถละคลาย และดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ความโมโห ความโกรธ เป็นเรื่องที่ยังเกิดขึ้นได้กับทุกคนตราบใดที่ยังไม่ดับกิเลส เพราะยังคงมีเหตุมีปัจจัยให้สิ่งเหล่านั้นเกิด ก็เกิด เมื่อมีเหตุ ผลจึงมี...แต่ที่เดือดร้อนใจ ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่เป็นเพราะยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นเรา เราโกรธ เราโมโห เราไม่พอใจ จึงเดือดร้อน
แท้ที่จริงแล้ว เป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่เกิดขึ้นมาก็เพื่อทำกิจเฉพาะของตนๆ แล้วก็ดับไป แต่เพราะว่า "ความไม่รู้" ว่าสภาพธรรมเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ดูเหมือนว่าทุกอย่างดำรงอยู่ยาวนาน ไม่ดับ จึงเข้าใจผิดยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ มีคนนั้น มีคนนี้
การแก้ไขที่ดีที่สุด คือ การแก้ที่เหตุ จากความไม่รู้ ให้รู้ถูก เห็นถูก ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่จะทำให้ละคลายความเคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา เป็นเพียงแต่ธรรมแต่ละลักษณะจริงๆ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบritคุณ และขออนุโมทนาค่ะ