สงสัยว่าหลักธรรมทางพุทธ...เป็นอุปสรรคต่อการงานทางโลก
โดย พุทธรักษา  27 ก.พ. 2552
หัวข้อหมายเลข 11382


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านผู้ฟัง
ตามหลักจิตวิทยา ผู้ที่จะทำงานได้ดีเด่นจริงๆ นั้น ต้องมี drive จึงจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่ง drive นั้น ควรเนื่องมาจากกิเลส แต่พระพุทธศาสนาสอนให้ละวาง เมื่อคนเราละวาง drive เสียแล้วจิตใจย่อมเลื่อนลอย การทำงานก็ไม่มีจุดมุ่งหมาย
จึงดูคล้ายกับว่า หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นต้นเหตุของความเกียจคร้าน หรือเป็นอุปสรรคต่อการงานให้ได้ผลจริงจังอาจารย์มีความเห็นในข้อนี้อย่างไร

ท่านอาจารย์ ในครั้งพุทธกาล ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท และผู้ที่เป็นสาวก ผู้เลื่อมใส และประพฤติ ปฏิบัติ ตามพระธรรม ของพระผู้มีพระภาคนั้น มีตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน เสนาบดี มหาอำมาตย์ แพทย์ พ่อค้า ทุกอาชีพ แม้แต่ทาส กรรมกร ที่ได้ฟังพระธรรม และพิจารณาเห็นประโยชน์ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่ได้ฟัง ไม่ใช่คนเกียจคร้าน และเมื่อมีหน้าที่อย่างใด ก็ปฏิบัติกิจนั้นๆ ของตน ได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นมีทั้ง ขั้นต้น ขั้นกลาง และ ขั้นสูงสุด ทรงแสดง ทั้งหน้าที่ของบิดา มารดา ที่มีต่อบุตรและหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกัน โดยสถานใดสถานหนึ่งในขณะที่ประพฤติปฏิบัติ ตามหน้าที่นั้น ก็เจริญธรรมได้ เจริญสติปัฏฐานก็ได้ เป็นพุทธบริษัทก็ได้ เป็นสาวกก็ได้และยังสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ด้วยไม่ใช่เมื่อเจริญธรรมแล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยปลีกตัวไป โดยไม่ทำอะไรกันหมดทั้งกรุงราชคฤห์ ทั้งพระนครสาวัตถีไม่ใช่อย่างนั้นเลย

เพราะถึงแม้ว่า จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เสนาบดี มหาอำมาตย์ หรือไม่ว่าจะมีอาชีพใดๆ ก็เป็นพุทธบริษัทได้ เป็นพุทธสาวกได้และปฏิบัติหน้าที่ของตน ตามปกติ ตามการสะสม โดยฟังพระธรรม และประพฤติปฏิบัติธรรมไปด้วย
การละกิเลสนั้นต้องละเป็นขั้นๆ ในขั้นแรกนั้นพระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้ละโทสะทั้งหมดหรือ ละโลภะทั้งหมด โดยเป็นพระอรหันต์ทันทีและผู้ที่จะเป็นพระโสดาบันได้นั้นก็จะต้องสะสม อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริงและไม่มีความเห็นผิดและไม่ยึดถือ สภาพธรรมใดๆ ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน

การที่ปัญญาจะเจริญ จนรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริงได้ ต้องศึกษาและอบรมเจริญปัญญาเป็นเวลานานแสนนานทีเดียว
โลกทั้งโลกที่ปรากฏนี้แยกได้ โดยลักษณะถ้าแยกโดยลักษณะของจักรวาลก็เป็นเรื่องของดาราศาสตร์แต่เมื่อแยกโดยลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็แยก เป็น ๖ โลก คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ
แต่ว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างนั้น เกิดดับ สืบต่อกัน อย่างรวดเร็วมากจึงปรากฏเป็นโลก ที่มีทั้ง แสงสี เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะเสมือนกับเกิดขึ้นและปรากฏพร้อมๆ กันแต่ความจริงแล้ว สภาพธรรม ที่เป็นโลกแต่ละโลกนั้น ปรากฏได้ ทีละทางๆ ตามเหตุ ตามปัจจัย เมื่อสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วจึงลวงให้เห็นเป็นคน สัตว์ และ สิ่งต่างๆ เปรียบเสมือนนักเล่นกล ที่ชำนาญมาก สามารถทำมายากล ให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้
แต่ผู้ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรม ตามความเป็นจริงนั้น จะไม่หลงผิด ไม่เห็นผิด ในสภาพธรรมที่ปรากฏ และเมื่อบรรลุเป็นพระอริยบุคคลแล้วก็ดำเนินชีวิตตามปกติ ปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปตามเหตุตามปัจยที่ได้สะสมมา ตามควรแก่การบรรลุคุณธรรม เป็นพระอริยบุคคล ในขั้นนั้นๆ

ตอบปัญหาธรรมโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ณ ห้องบรรยายสรีรวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ๑๗ สิงหาคม ๒๕๑๓
ขออนุโมทนา



ความคิดเห็น 1    โดย orawan.c  วันที่ 28 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย narong.p  วันที่ 28 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย Komsan  วันที่ 28 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 28 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 5    โดย saifon.p  วันที่ 28 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย sirikorn  วันที่ 1 มี.ค. 2552

ดำเนินชีวิตตามปกติ ปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปตามเหตุตามปัจยที่ได้สะสมมา ตามควรแก่การบรรลุคุณธรรม

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย suwit02  วันที่ 1 มี.ค. 2552

สาธุ


ความคิดเห็น 8    โดย toulek086  วันที่ 2 มี.ค. 2552
สาธุ ขอบคุณครับหายข้องใจซักที

ความคิดเห็น 9    โดย เจริญในธรรม  วันที่ 3 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ สาธุ


ความคิดเห็น 10    โดย chatchai.k  วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ