มโนธาตุ และ มโนวิญญาณธาตุ ต่างกันอย่างไรครับ คือ มโนธาตุได้แก่จิต ๓ ดวงคือ ปัญจทวาราวัชชนจิตและสัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวง ส่วนมโนวิญญาณธาตุ ได้แก่ จิต ๗๖ ดวง จากหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป ผมอ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจครับ อ้อและก็ธรรมธาตุด้วยครับ คืออ่านแล้วก็งงๆ มีทั้งวิญญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ เหล่านี้ครับ
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิต ๘๙ ดวง จำแนกโดยความเป็นธาตุได้ ๗ อย่าง คือ
๑. จักขุวิญญาณธาตุ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง
๒. โสตวิญญาณธาตุ ได้แก่ โสตวิญญาณ ๒ ดวง
๓. ฆานวิญญาณธาตุ ได้แก่ ฆานวิญญาณ ๒ ดวง
๔. ชิวหาวิญญาณธาตุ ได้แก่ ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
๕. กายวิญญาณธาตุ ได้แก่ กายวิญญาณ ๒ ดวง
๖. มโนธาตุ ได้แก่ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวง ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
๗. มโนวิญญาณธาตุ ได้แก่ จิต ๗๖ ดวงที่เหลือ (ดูธาตุ ๑๘)
มโนธาตุ หมายถึง อเหตุกจิต ๓ ดวง ได้แก่ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวงและปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง จิตทั้ง ๓ ดวงนี้เป็นมโนธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์และเกิดได้เพียง ๕ ทวาร
มโนวิญญาณธาตุ คือ สภาพที่รู้แจ้งทางใจ หมายถึงจิต ๗๖ ดวง นอกเหนือจากปัญจวิญญาณธาตุ ๑๐ ดวงและมโนธาตุ ๓ ดวง จิต ๗๖ ดวงนี้เป็นมโนวิญญาณธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ และเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร และวิบากจิตบางดวงที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ก็รู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวาร
ธรรมธาตุ หมายถึง สภาวธรรมที่รู้ได้ทางใจ ที่จะจัดอยู่ในหมวด ธาตุ ๑๘ เป็นสภาพธรรมทั้งรูปธรรม และ นามธรรม ได้แก่ เจตสิกทั้งหมด ๕๒ ประเภท สุขุมรูป ๑๖ และ นิพพาน ครับ
ที่สำคัญที่สุด ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เป็นไปแต่ในเรื่องของชื่อ แต่ประโยชน์ที่สำคัญ คือ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงทุกคำ แสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริง และ เพื่อให้เข้าใจความจริงในขณะนี้ เพื่อไถ่ถอนความเห็นผิด ว่าเป็นสัตว์ บุคคล เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินพระธรรม ไม่ว่าคำใด ควรน้อมเข้ามาในตน ด้วยความเข้าใจถูกว่า เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมเป็นไป การศึกษาด้วยความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมไม่ติดที่ชื่อ และ ไม่หนักแต่เบาด้วยความเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรม แม้จะไม่รู้รายละเอียดของชื่อทั้งหมดในพระไตรปิฎก แต่ สำคัญ คือ รู้ตัวจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ และทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตาม จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง พระองค์ก็ทรงตรัสรู้และทรงแสดง จิตโดยละเอียด และทีละขณะด้วย
เมื่อกล่าวถึงจิตแล้วไม่พ้นไปจากขณะนี้เลย ก่อนอื่นต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าจิต คือ อะไร? จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งอารมณ์ จิตมีความหลากหลายแตกต่างกัน เพราะเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วยบ้าง แตกต่างกันเพราะอารมณ์บ้าง แตกต่างกันโดยชาติ (การเกิดขึ้น) บ้าง เป็นต้น แต่ละขณะเป็นจิตที่เกิดขึ้น ไม่พ้นจากจิตแม้แต่ขณะเดียว จิตก็เป็นธาตุด้วย เพราะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของจิตให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
จิตจำแนกเป็นวิญญาณธาตุ ๗ ได้แก่ วิญญาณ ๕ (เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) เป็นมโนธาตุ ๓ และ มโนวิญญาณธาตุ (ดังที่ปรากฏในคำตอบของ อ.ผเดิม) ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ประโยชน์ของการศึกษา ก็เพื่อได้เข้าใจว่า มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ จิตก็เกิดขึ้นเป็นไป ทำกิจหน้าที่ของตนๆ ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมนั้นๆ เลย ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น เป็นไปเพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษาเรื่องจิตโดยนัยต่างๆ ก็เพื่อเข้าใจว่า จิตเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ขณะที่สติปัฎฐานเกิดไม่มีชื่อ มโนธาตุ ไม่มีชื่อต่างๆ ไม่มีบัญญัติ มีแต่สภาพธรรม ค่ะ
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษาเรื่องจิต โดยนัยต่างๆ ก็เพื่อเข้าใจ ว่า จิตเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ"
"สำคัญ คือ รู้ตัวจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ครับ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ขอบและขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ