ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก นายแพทย์ทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร เพื่อไปสนทนาธรรม ที่บ้านย่านตลิ่งชัน ถนนบรมราชชนนี กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.
ข้าพเจ้าเดินทางออกจากบ้านไปรับคุณลุงนิภัทร ที่บ้านของท่าน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน โดยนัดที่จะไปรับคุณลุงที่บ้านในเวลา เจ็ดโมงครึ่ง เพื่อไปถึงบ้านพี่หมอทวีปเช้าหน่อย ไม่ใช่อะไรหรอกครับ จะไปทานข้าวต้มปลาที่อร่อยลือลั่น จากฝีมือพี่หมอ ที่ไม่สามารถหาไปทานได้จากที่ไหนๆ เช่นเคย และ ที่สำคัญ คราวนี้ พี่หมอ ใส่ปลามากกว่าข้าว แบบที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ปลาต้มข้าว ไม่ใช่ ข้าวต้มปลา หาข้าวไม่ค่อยเจอ ทั้งคราวนี้ พี่หมอใส่หัวปลาที่สดมากๆ อีกกะละมังเบ้อเริ่ม อีกด้วย นอกจากข้าวต้มปลาแล้ว ก็ยังมีกระเพาะปลาเจ้าอร่อย ที่คุณแม่ของคุณทิพย์ นำมาด้วย
ในตอนกลางวัน พี่หมอได้เตรียมขนมจีนน้ำยาปลาช่อนเจ้าเดิมไว้ พร้อมกับ ลงมือทำแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายแท้ๆ หม้อโตไว้ให้ด้วย และ ที่ขาดไม่ได้เช่นเคย คือ หอยทอด ซึ่งคราวนี้ พี่หมอได้หอยแมลงภู่ตัวโตๆ มา คุณภรรยาของข้าพเจ้า ซึ่งปรกติเป็นคนทานน้อยแบบแมวดม ถึงกับสารภาพว่า วันนั้น เธอรับประทานไปถึงสองจานเลยทีเดียว พี่หมอเป็นคนที่มีความสุขกับการชอบทำอาหารอร่อยๆ ให้คนรับประทาน ครับ
นี่ยังไม่รวมน้ำกะทิลอดช่อง เจ้าปากซอยบ้านพี่หมอ ที่ทั้งหอมหวานและอร่อยมาก อร่อยจริงๆ ครับ ปรกติข้าพเจ้าไม่ค่อยทานของหวานก็ยังชอบ พี่เล็ก (จิราภรณ์) และพี่อนุทิน ก็นำข้าวต้มมัดกระจาดใหญ่มาร่วม และ มีเรื่องที่ขำไม่ออก มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พี่อนุทินของข้าพเจ้า ขับรถหลงทางเสียหลายชั่วโมง แทบจะหันหน้ากลับบ้าน ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเมื่อคราวที่ขับรถตามไปร่วมสนทนาธรรม ที่คุณหมอวิภากรจัด ที่ภูแก้วรีสอร์ทเขาค้อ คราวก่อน ข้าพเจ้าขับรถไปกับลูกสาวตอนค่ำ หลงทางอยู่ในป่าที่มืดมิดจนดึกดื่น กว่าจะหาทางเจอ ด้วยคิดเอาเองว่า รู้ และ ไม่ถาม การเดินทางผิด หลงทาง เสียเวลาเช่นนี้ ยังไม่เท่ากับการเห็นผิด หลงผิด ของบุคคล ที่เห็นผิด หลงผิด เดินในหนทางที่ผิด ที่ไม่เป็นหนทางให้รู้ ในสิ่งที่ปรากฏ ในขณะนี้ เมื่อเริ่มเข้าใจธรรมะ จะยิ่งซาบซึ้งและเห็นค่าของพระธรรม ในหนทางที่ถูกต้องนี้ ทั้งรู้ว่า หากมิได้พบกับพระธรรม การเกิดมาในชาตินี้ ย่อมสูญเปล่าอย่างน่าเสียดายที่สุด
นอกจากนั้น คุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ก็ชงชาเย็น ชาเขียว โกโก้ โอเลี้ยง มาสมทบอีก ทราบว่า ก่อนวันสนทนาธรรม คุณแอ๊วมาช่วยจัดบ้าน เตรียมของ และอยู่จัดดอกไม้จนดึก พี่หมอบอกว่าคุณทิพย์เองก็แทบไม่ได้นอนเลย แม้พี่หมอเองก็เถอะครับ ข้าพเจ้าได้เห็นถึงความอ่อนล้าของพี่หมออยู่บ้าง แต่สายตาของพี่หมอยังยิ้มแย้ม เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ความเมตตา ต่อทุกๆ คน ในการที่จะเป็นผู้ให้ เป็นผู้ที่เกื้อกูล อย่างที่คุณลุงนิภัทร ได้กล่าว ในตอนท้ายของการสนทนา อย่างซาบซึ้ง จับใจข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ว่า...
"...ขออนุโมทนาคุณหมอ และ คุณทิพย์ ที่ทำบุญกุศลอย่างนี้ได้ ไม่ใช่ง่าย นะครับ ได้ทำบุญกิริยาวัตถุ ครบทั้ง ๑๐ เลย ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย ไวยาวัจมัย อัปจายนมัย ไวยาวัจมัย นี่ ช่วยเหลือ ขวนขวาย ในธุระ ในกิจการงาน เกื้อกูลกัน แล้วก็ยังมี ธัมมสวนมัยด้วย เทศนามัย ให้ท่านอาจารย์แสดงธรรมให้ฟัง แล้วก็ปัตติทานมัย ให้ส่วนบุญด้วย อุทิศส่วนกุศล ปัตตานุโมทนามัย มีคนอนุโมทนา เราก็ยินดี แล้วก็ ทิฏฐุชุกรรม อันสุดท้ายนี้ เป็น "ปัญญา" ทำความเห็นให้ตรงตามพระธรรมวินัย ก็นับว่าได้บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ครบเลยครับ ยากที่จะทำได้ ก็ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งครับ..."
กราบอนุโมทนาพี่หมอและคุณทิพย์ ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 84
ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนา หรือ ช่วยเหลือ ในทักขิณาทานนั้น ทักขิณาทานนั้น ย่อมไม่มีผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั้น แม้พวกที่อนุโมทนาหรือช่วยเหลือ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ
อันดับต่อไป ขอนำความการสนทนาในวันนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่สนทนาถึงคำว่า "เป็นกลาง" ซึ่งข้าพเจ้าเพียรฟังแล้ว ฟังอีก และ เมื่อถอดเทปแล้ว ก็อ่านแล้ว อ่านอีก ก็ยังงงๆ อยู่จนบัดนี้ พระธรรม แม้สำหรับผู้ศึกษา ก็ยังยากแก่การเข้าใจ ละเอียด ลึกซึ้ง จะป่วยกล่าวไปไย ถึงผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ที่จะพูด "คำ" ที่ไม่รู้จัก จนตลอดชีวิต และ สำหรับผู้ที่ศึกษาธรรม และ มีความเข้าใจธรรม ตามสมควรแล้ว ย่อมไม่เดือดร้อน ที่รู้ว่า ยังไม่เข้าใจ เพราะรู้ว่า เมื่อยังไม่เข้าใจ ก็คือ ยังไม่เข้าใจ ก็ฟังอีก และ ฟังอีก ครับ ฟังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เพื่อเข้าใจ สิ่งที่ได้ฟัง เท่านั้นจริงๆ ครับ แต่ที่แน่ๆ คือ หลังจากทำกระทู้นี้เสร็จ ความเข้าใจ จากการที่ได้อ่านและพิจารณาความ ที่ต้องอ่านและทบทวน ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก จนกว่าจะเสร็จ แม้ หลังจากเสร็จแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นปรกติของข้าพเจ้า ที่กลับมาอ่านพร้อมตรวจทาน คำที่อาจพิมพ์ผิด หรือเว้นวรรคผิด ซึ่งจะทำให้ความหมายเปลี่ยน หรือ เว้นวรรค เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น ย่อมไม่ใช่ความเข้าใจเดิมในขณะนี้ ที่รู้ว่า ยังไม่ค่อยเข้าใจโดยละเอียดนัก แน่นอนที่สุด นี่คือ ประโยชน์ ของคำที่ท่านกล่าวเพื่อเกื้อกูล เพื่อความมั่นคงในการฟังว่า บ่อยๆ เนืองๆ , แล้วๆ เล่าๆ , ซ้าไป ซ้ำมา , ฟังอีก และ ฟังอีก เป็นต้น
พี่อรวรรณ กราบเท้าท่านอาจารย์ค่ะ ขอย้อนไปเมื่อวันอาทิตย์ ที่ท่านอาจารย์ ได้พูดถึง กุศล อกุศล และ อัพยากตธรรม และ ทางสายกลาง ก็ยังไม่กระจ่างชัด และ ทางสายกลาง คือ กุศล ที่ประกอบด้วยปัญญา คือ มัชฌิมาปฏิปทา แล้วก็พูดถึงเรื่อง ความเป็นกลาง ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ ถ้าจำไม่ผิด ที่บ้านคุณรัชนีวรรณ บอกว่า ไม่มีเป็นกลาง ก็คือ ถ้าไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล อาจจะมีธรรม ที่ไม่ใช่กุศล อกุศลได้ แต่ไม่ใช่ เป็นกลาง ก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ว่า ควรจะเข้าใจสิ่งนี้ อย่างไร? แล้วก็ เป็นปัจจุบัน ที่ท่านอาจารย์ย้ำว่า เป็นขณะนี้ อย่างไร?
ท่านอาจารย์ โดยมาก ตอนนี้ จะได้ยินคำพูดว่า "เป็นกลาง" ฉันเป็นกลาง ได้ยินบ่อยๆ เลย แล้ว แปลว่า อะไร? เห็นไหม? พูดแล้ว พูดได้ "ฉันเป็นกลาง" ดูเหมือนดี ไม่เป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่ คือ อะไร?พูดไป โดยไม่รู้ หรือ พูด เพราะรู้? ขณะกำลังพูด "เป็นกลาง" หรือเปล่า? เห็นไหม แม้ไม่เป็นกลาง ก็ไม่รู้ แต่บอกว่า เป็นกลาง เพราะ ขณะนั้น เป็นอกุศลหรือเปล่า? ถ้าเป็นอกุศล ก็ต้องเป็น อกุศล ขณะนั้น เป็นกุศลหรือเปล่า? ถ้าเป็นกุศล จะให้เป็นอื่น ได้ไหม? ไม่ได้ เป็นกุศล ก็ต้องเป็น กุศล
เพราะฉะนั้น คำพูดยุคนี้ ที่ใช้กันบ่อยที่สุด คือ "เป็นกลาง" เป็นอะไรคะ? เป็นกลาง? เป็นยังไง? คะ?ใครที่พูดว่า เป็นกลาง ช่วยตอบด้วย
คุณธรณ์ กราบท่านอาจารย์ครับ คือ ผมได้ยินเขาว่ากันเป็นกลาง ก็คือว่า เห็นฝ่ายโน้น ก็มีข้อถูก ฝ่ายนี้ ฝ่ายนั้น ก็มีข้อถูก หรือไม่ก็...
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ เดี๋ยวก่อนค่ะ ทุกคำ ต้องชัดจริงๆ "ฝ่ายนั้นก็ถูก ฝ่ายนี้ก็ถูก" แล้วหมายความว่า ใครถูก?
คุณธรณ์ หมายถึง มีบางข้อที่ถูก บางข้อที่...
ท่านอาจารย์ ถูกเป็นถูก ดีกว่า ถูก จะเป็น ผิด ไม่ได้ แล้ว ผิด ก็เป็นผิด จะเป็น ถูก ไม่ได้ ไม่ใช่กลาง
คุณธรณ์ ไม่ถูกทั้งหมด กับ ไม่ผิดทั้งหมด
ท่านอาจารย์ ไม่ถูก ก็คือ ไม่ถูก จะทั้งหมด หรือ เมื่อไหร่ก็ตาม ทีละหนึ่ง จะเอามาปนกันได้อย่างไร?เอาหลายๆ อย่างมาปนกัน แล้วบอกว่า นี่ผิด นั่นไม่ผิดทั้งหมด ไม่ได้ ต้อง ทีละหนึ่ง ถูก หรือ ผิด ทีละหนึ่ง
คุณธรณ์ ก็หมายถึงว่า สรุปยอดเลย ว่าถูก หรือ ผิด คือ หมายถึงว่า ผลที่ออกมาทั้งหมดเลย
ท่านอาจารย์ จะพูดว่า "เป็นกลาง" น่ะ หมายความว่าอย่างไร?
คุณธรณ์ ที่เขาอ้างว่าเป็นกลาง ก็คือว่า เขาจะเลือกข้อที่มีข้อความเห็น ที่เขาถูก อะไรอย่างนี้ บางส่วนถูก บางส่วนผิด
ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ เขารู้ไหม ว่า ถูก คือ ถูก ผิด คือ ผิด จะบอกว่า ถูกเป็นผิด ไม่ได้ หรือว่า ผิดเป็นถูก ไม่ได้ จะมารวมๆ กัน แล้วมาบวก ลบ คูณ หาร เป็นถูก เป็นผิด ก็ไม่ได้ ถูกหนึ่ง ต้องเป็นถูก ผิดหนึ่ง ต้องเป็นผิด
คุณธรณ์ ก็คือ ผลออกมา ก็ต้องถูก หรือ ผลออกมาผิด
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนไม่ได้ค่ะ เปลี่ยนถูก ให้เป็นผิด ไม่ได้ แล้วเปลี่ยนผิด ให้เป็นถูก ไม่ได้
คุณธรณ์ ถ้าอย่างนั้น ที่เขาเข้าใจว่า เขาเป็นกลาง ก็ไม่ถูกสิครับ? เพราะว่า...
ท่านอาจารย์ กำลังเป็นกุศล หรือ อกุศล ที่พูดอย่างนั้น?
คุณธรณ์ ไม่ถูก ก็เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ คิดว่าเป็นกลาง แต่ กำลังพูดน่ะ เป็นอะไร?
คุณธรณ์ เป็น....เป็นอะไร? (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ เป็นผิด หรือ เป็นถูก ไงคะ
คุณธรณ์ เป็นผิด ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นผิด แล้วจะบอกว่า เป็นกลาง ได้อย่างไร?
คุณธรณ์ ครับ ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีคำว่า เป็นกลาง
ท่านอาจารย์ มีกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม ใคร "คิดเอง" บ้างว่า อะไร เป็นอัพยากตธรรม?คิดเอง คือ คิดเอง
แต่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้ความจริง ธรรมะ ที่เป็นอัพยากต ไม่เป็น ทั้งกุศล และ อกุศล ได้แก่อะไรบ้าง? ไม่ใช่เอาอกุศล มาเป็น อัพยากต หรือ ไม่ใช่เอา กุศล มาเป็น อัพยากต กุศล ต้องเป็น กุศล อกุศล ก็เป็น อกุศล ส่วนธรรมะ ที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมะเท่านั้น ที่เป็นอัพยากต ไม่ใช่ธรรมะอื่น จะเอากุศล มาเป็น อัพยากต ไม่ได้ กุศล ต้องเป็นส่วนกุศล จะเอาอกุศล มาเป็น อัพยากต ไม่ได้ อกุศล ต้องเป็น อกุศล แล้วธรรมะที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ก็จะให้เป็นกุศล หรือ อกุศล ไม่ได้แล้วได้แก่ธรรมะอะไร? ถ้าใครอยากจะคิดเอง นะคะ ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง จะมี หรือ ไม่มี? พระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง?
ต้องมีพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง ใช่ไหม?
คุณธรณ์ ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร?
คุณธรณ์ เพราะเป็นหนทางที่ถูก ครับ
ท่านอาจารย์ ใครรู้ เกินกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ไหม?
คุณธรณ์ ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้
คุณธรณ์ ถ้าอย่างนั้น คนที่เขาบอกว่า เป็นกลาง นี่ ก็แสดงว่า เขาต้องอยู่ฝ่ายผิด ใช่ไหมครับ?
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ก็ถามเขาก่อน เรารู้ใจเขาได้อย่างไรค? เราไม่ได้ไปเดา ความจริงต้องเป็นความจริง เมื่อไม่รู้ใจของคนอื่น จะไปบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้ เป็นอย่างนั้น ได้ไหม? ถ้าไม่มีพฤติกรรม ทางกาย ทางวาจา ที่บ่งบอกถึง ว่าสภาพจิตขณะนั้น เป็นอะไร?
ถ้าเขาพูด คำไม่จริง เราบอกว่า เขาเป็นกุศล ได้ไหม?
คุณธรณ์ ไม่ได้ ครับ
ท่านอาจารย์ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าไม่ใช่กุศล ก็ต่อเมื่อ เขาพูด หรือ เขาทำ ซึ่งมีหลักฐาน มีพฤติกรรม ทำให้รู้ว่า ขณะนั้น เป็นอกุศล ไม่ใช่ไปเดา แต่รู้ว่า กาย วาจา ที่เป็นกุศล มี จากกุศลจิตกาย วาจา ที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ขณะนั้น เป็น อกุศลจิต
คุณธรณ์ ก็คนที่เป็นกลาง เขาจะดูเฉยๆ ไม่ไปฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน!!! นั่นแหละ "คิดเอง" มีพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง หรือเปล่า?
คุณธรณ์ ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี ก็ ตามสบาย จะคิดอย่างไร ถูก ผิด ก็แล้วแต่จะคิดไปเรื่อยๆ แต่ คนที่จะมีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง จะไม่เป็นอย่างนั้น ต้องเป็นผู้ที่ "ตรง" แล้วก็ "วาจาสัจจะ" พูดคำที่ จริง ถ้าคนอื่นสงสัย ก็สนทนา เพื่อที่จะรู้ว่า อะไรจริง ไม่ใช่ปล่อยให้ "คิดเอง" ไปเรื่อยๆ ถ้า คิดเอง ไปเรื่อยๆ ไม่มี พระธรรม เป็นที่พึ่ง
อาจารย์อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นกลางจริงๆ ก็คือ เป็นกุศล เพราะว่า กุศล หรือว่า ธรรมะฝ่ายดี ที่เป็น โสภณธรรม ต้องประกอบด้วย ตัตรมัชฌัตตตา ซึ่งเป็นกลาง
ท่านอาจารย์ ต้องรู้ด้วยนะคะ คุณอรรณพ ว่า ที่ใช้คำว่า "กุศลเป็นกลาง" หมายความว่าอย่างไร? ไม่อย่างนั้น จะเอากุศล ไปเป็นกลาง พอบอกว่า "ฉันเป็นกลาง" ก็คือ เป็นกุศล
อาจารย์อรรณพ ยิ่งไปรับรองว่า เขาเป็นกุศล ใช่ไหมครับ?
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ทางของกุศล ใช้คำว่า มัชฌิมาปฏิปทา "กลาง" คือ ไม่ตกไป ในทางฝ่ายอกุศล คือ ไม่ตกไป ในโลภะ หรือ โทสะ ละ อภิชฌาคือโลภะ และ โทมนัสคือโทสะ ซึ่งเป็นอกุศล หมายความว่า เป็น หนทาง ที่ละอกุศล แต่ "ตัวธรรมะ" นั้น เป็นกุศล ถึงจะละได้ ไม่ใช่เป็นกลางเป็นกลาง คือ อัพยากต แสดงไว้ชัด นะคะ ไม่ใช้คำว่า เป็นกลาง ด้วย ใช้คำว่า ไม่ใช่กุศล และ ไม่ใช่อกุศล
อาจารย์อรรณพ ก็เลยคิดว่า จริงๆ แล้ว ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ชวนะ ก็มีอยู่ ๒ ถ้าไม่เป็นกุศล ก็เป็น อกุศล ถ้าเป็นกุศล ก็....
ท่านอาจารย์ ค่ะ และ ถ้าไม่กุศล อกุศล ก็เป็น อัพยากต ได้แก่ วิบากจิต กิริยาจิต
อาจารย์อรรณพ พูดถึงเฉพาะ ชวนะ
ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตาม ใช้คำว่า วิบาก ผลของกรรม และ กิริยาจิต คือ โสภณเจตสิก โสภณธรรม ที่ไม่เป็นเหตุ ให้เกิดผล หรือ อัพยากต ก็คือว่า ประเภทวิบาก และ กิริยา แม้ว่าจะไม่มี โสภณเจตสิก เกิดร่วมด้วย เช่น อเหตุกกิริยา สรุปว่า สภาพธรรมะ ที่ไม่ใช่กุศล และ อกุศล จะกล่าวว่า เป็นกุศล ไม่ได้ จะกล่าวว่า เป็นอกุศล ไม่ได้ นั่นคือ ความหมายของ อัพยากต " จะกล่าวว่า เป็นกุศล ไม่ได้ จะกล่าวว่า เป็นอกุศล ไม่ได้ "
อาจารย์อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ถ้าเป็นเพียงแต่ ได้ยินคำ ฟังธรรมะ แล้วก็บอกว่า กุศล เป็นกลาง เพราะว่ามีสภาพเจตสิก ที่ปรุงแต่งให้เป็นกลาง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนค่ะ คิดเอง หรือเปล่าคะ?
อาจารย์อรรณพ เขาก็พูดไปตามข้อความ ในพระไตรปิฎก
ท่านอาจารย์ ข้อความในพระไตรปิฎกแสดงว่า....
อาจารย์อรรณพ เวลาที่จิตที่ดีงามเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ไม่มีอกุศลเจตสิก เกิดร่วมด้วย
อาจารย์อรรณพ ไม่มีอกุศลเจตสิก เกิดร่วมด้วยนะครับ ก็อาจจะมีโสภณเจตสิก...
ท่านอาจารย์ ค่ะ ได้แก่ ตัตรมัชฌัตตตา ซึ่งเป็นธรรมะ ซึ่งไม่เป็นไป ในอกุศล คือ โลภะ หรือ โทสะ นั่นเอง ต้องตรงตัว ต้องมีคำอธิบาย ถึงจะเป็นกุศลได้ เพราะเหตุว่า ขณะใด ที่เป็นไปในอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง ไม่มี ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก เกิดร่วมด้วย แน่นอน เพราะฉะนั้น แม้แต่ตัตรมัชฌัตตตาก็เป็นเจตสิก ซึ่งทำให้ ไม่ตกไปในทางฝ่ายกุศลและอกุศล จึงใช้คำว่า ตัตรมัชฌัตตตา
อาจารย์อรรณพ แต่ถ้า เป็นผู้ที่ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ก็เอาอกุศล มาเป็น กุศลได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่า เป็นกลาง คือ เขาเป็น ตัตรมัชฌัตตตา หรือคะ?
อาจารย์อรรณพ ถ้าสมมติว่า เขาคิดว่า เป็นกุศล
ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป เขาถึงได้บอกว่า เขาเป็นกลาง
อาจารย์อรรณพ เขาเป็นกลาง แต่เขาน่ะ คิดว่าเขาเป็นกลาง คือ เขาเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังพูดว่าเป็นกลางน่ะ เป็นอะไร?
อาจารย์อรรณพ ก็แล้วแต่จิตเขา ครับ
ท่านอาจารย์ ยังไงคะ?
อาจารย์อรรณพ ถ้าจิตเป็นอกุศล ก็ไม่กลาง
ท่านอาจารย์ แล้วจิตที่เป็นกุศลล่ะ?
อาจารย์อรรณพ ก็ต้องกลางสิครับ
ท่านอาจารย์ กลางยังไง?
อาจารย์อรรณพ กลาง เพราะ ไม่เอนเอียง ไม่หวั่นไหว
ท่านอาจารย์ ในกุศล และ อกุศล เพราะฉะนั้น ขณะใด ที่มีอกุศล ขณะนั้น จะไม่ใช่กุศลจิต เพราะ เป็นอกุศล ด้วยเหตุนี้ จึงชัดเจนว่า เพราะเป็นอกุศล จึงไม่ใช่กุศล
อาจารย์อรรณพ เพราะฉะนั้น ประเด็น ก็คือ รู้ว่ากุศลเป็นกุศล และ อกุศลเป็นอกุศล ตามความเป็นจริง หรือเปล่า?
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม พูดคำที่ไม่รู้จัก ทุกคำเลย ลองพูดสักคำหนึ่งก็ได้ ไม่ว่าคำไหน
อาจารย์อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ตรงนี้ผมว่า เป็นประโยชน์ เลยอยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์ สนทนาต่ออีกหน่อยนะครับ ว่า สำหรับผู้ที่ ยังไม่ได้ฟังธรรมะโดยละเอียด ที่เป็นอภิธรรมะ หรือ ธรรมะที่ตรง ความเข้าใจถูก ในขั้นเริ่มต้น ในชีวิตประจำวัน ในเรื่องราว จะมีการเกื้อกูล สนทนา ได้แค่ไหน?
ท่านอาจารย์ เป็นตัวตน หรือเปล่า?
อาจารย์อรรณพ ถ้าท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ ก็ถามต่อไม่ได้ (ทุกคนหัวเราะ)
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ "ตรง" จริงๆ พระธรรม เป็น พระธรรม ธรรมะ เป็น ธรรมะ "ลึกซึ้ง" ลืมคำนี้ไม่ได้เลย
อาจารย์อรรณพ คือ บางคน เขาไม่ได้ศึกษาธรรมะโดยละเอียด แต่ผมก็ไม่ทราบว่า อาจจะสะสมความเข้าใจอะไร....
ท่านอาจารย์ คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ นะคะ เขาบอกว่า เขาเป็นคนดี แล้ว คนที่ศึกษาธรรมะ เขาเป็นคนดี หรือเปล่า? คนนั้น น่ะ เขาคิด ว่า เขาดี เขาเห็น แล้วเขาไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร แต่ เขาไม่รู้ ว่าเป็นอกุศล
พอ "เห็น" แล้ว "ไม่รู้" แล้วก็ "ยึดถือ" สภาพธรรมะนั้น มีความยินดี เป็นไป กับสิ่งที่ปรากฏ เพราะ ความไม่รู้ กามาสวะ ทิฏฐาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ผู้ทรงตรัสรู้ความจริง จึงทรงแสดงให้ผู้ที่คิดว่า "เป็นคนดี" น่ะ รู้จักหรือเปล่า? ว่าเป็นธรรมะ และ ธรรมะอะไร? ในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น พูดคำที่ไม่รู้จัก ไงคะ? "เขาเป็นคนดี" รู้จักธรรมะหรือเปล่า? คะ? "เขา" น่ะ ไม่ใช่ธรรมะ เลย ก็ไม่รู้จัก และ แท้ที่จริง ไม่มีคน นะคะ ถ้าไม่มีธรรมะ ที่เกิดดับ สืบต่อ สมมติเรียกแต่ละหนึ่งๆ จนกระทั่ง มีชื่อเรียกให้เข้าใจกันได้ว่า หมายความถึงธรรมะอะไร? เพราะ ขณะนี้ เป็นธรรมะ ทั้งหมด
แล้วถ้าไม่มีชื่อเรียกเลยนี่ ธรรมะอะไรล่ะคะ? ธรรมะอย่างนี้หรือ? หรือว่า เรียกเสียว่า คุณนพดล ก็แล้วกัน ใช่ไหม? แต่ก็เป็นธรรมะ นั่นแหละ ถ้าไม่ใช่ชื่อ นพดล ยากนะคะ อธิบายอย่างไรดี? ถึงจะรู้ว่า หมายความถึงธรรมะนี้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องมี คำที่ต้องเป็นที่รู้กัน ด้วยการใช้คำนั้น ให้เข้าใจว่า หมายความถึงอะไร? แต่ "ตัวธรรมะ" จริงๆ ไม่มีชื่อ แล้วต้องเป็น "ปัญญา" ที่รู้จริงๆ ว่า ธรรมะใด เป็นกุศล เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นกุศล ธรรมะใด ที่เป็นอกุศล ก็เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นอกุศล และ ธรรมะ ที่ไม่ใช่กุศล จะบอกว่าเป็นกุศล ก็ไม่ได้ อย่าง "เขาดี" อย่างนี้ แล้วรู้ได้ยังไง? ว่าขณะนั้น กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หลังจากที่เห็นแล้ว
อาจารย์อรรณพ นี่ก็เป็นประโยชน์มาก แล้วก็คือ คิดกันไป ว่าตามกันไป...
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ศึกษาพระธรรมเลยค่ะ แล้วใครจะรู้ได้?
อาจารย์อรรณพ ว่าเขาเป็นคนดี ก็ว่ากันไป
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า "ธรรมะ" แต่ก็ไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร?
อาจารย์อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็คือ ประโยชน์ จากพระธรรม คำสอน ที่จะ ค่อยๆ ให้เข้าใจ ความจริง
ท่านอาจารย์ ทุกคำ ทำให้รู้ ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน และ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง จึงเป็น "สาวก" ค่ะ
...ถ้าสามารถที่จะช่วยได้ ในความถูกต้อง จะช่วยไหม?...ไม่ใช่บังคับ ให้เกิดกุศลจิต บังคับไม่ได้ ไม่ใช่บังคับ ให้เกิดอกุศลจิต ก็บังคับไม่ได้ แต่ สิ่งใดเกิดแล้ว "ปัญญา" สามารถที่จะ "รู้" ความเป็น "สิ่งนั้น" นี่คือ ประโยชน์สูงสุด
เพราะฉะนั้น เราขาดการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ได้เลย เพราะว่า ตราบใดที่ ใครทำดี ทำชั่ว แต่ไม่รู้ความจริง ขณะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ถึงที่สุดว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย นอกจาก "จิตที่คิด" ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ แต่ละหนึ่ง ซึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็มีทั้ง กุศลจิต และ อกุศลจิต
เพราะฉะนั้น พฤติกรรม ก็มีทั้ง ฝ่ายที่เป็นกุศลบ้าง เกิดจากกุศลบ้าง เกิดจากอกุศลบ้าง เป็นของธรรมดา แต่ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ก็หมดไป ทุกขณะ เพราะฉะนั้น คนที่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่เดือดร้อน หมายความว่า ไม่ต้องไปให้อกุศลจิตเกิด ถูกไหม? หรือว่า มีอะไรเกิดขึ้น ก็ให้เป็นอกุศลไปเลย เดี๋ยวก็เป็นโลภะ เดี๋ยวก็เป็นโทสะ นั่นคือ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้โทษ กับคนที่ฟังฟังอย่างไร? ไปให้อกุศลจิตประเภทนั้น ประเภทนี้ เกิด
แต่ว่า ฟังแล้ว มีความเข้าใจว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิด ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ สิ่งที่ถูกต้อง มี สิ่งที่ไม่ถูกต้อง มี และถ้าจะช่วย ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม เพราะรู้ว่า คนเห็นผิด คนเข้าใจผิด คนไม่เข้าใจธรรมะ ตามความเป็นจริง จึงทรงพระมหากรุณา ไม่ว่าวันหนึ่งวันใด เดี๋ยวนี้ หรือ ต่อไป ใครจะตกทุกข์ ได้ยาก ใครจะลำบาก เดือดร้อน เหตุการณ์ข้างหน้า อีกสิบปี ยี่สิบปี มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น
เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของโลก ไม่มีใครบันดาลได้ แต่ มีความเห็นที่ถูกต้อง ว่า ทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งซึ่งเกิด เพราะเหตุปัจจัย บังคับไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ ไม่ให้จิตเกิดเลย ดีไหม? เกิดมาทำไม? วุ่นวาย ก็บังคับไม่ได้ คิดอย่างนี้ไปเถอะ แต่ว่ามีปัจจัย ที่จะทำให้จิตเกิด เพราะเหตุว่า จิต เป็นธรรมะ มีปัจจัยให้กุศลจิตเกิด มีปัจจัยให้อกุศลจิตเกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
เพราะฉะนั้น ต้องรู้ความจริง ว่า เมื่อกุศลจิดเกิดแล้ว มีทาง ของกุศลจิต อกุศลจิตเกิด ก็มีทางของอกุศลจิต ไม่ได้ปนกันเลย คนละทาง
เพราะฉะนั้น เมื่อกุศลจิตเกิดแล้ว พอไหม? เพียงเท่านั้น หรือว่า กุศล ควรจะมีมากกว่านี้อีกได้? เมื่อสามารถที่จะเป็นไปได้ เพื่อขัดเกลาความติดข้อง ในความเป็นเรา เพราะว่า ถ้าไม่มีการกระทำใดๆ ซึ่งเป็นการขัดเกลา แค่กุศลเพียง เราดี แล้วก็ไม่ทำอะไร ที่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ไม่พอเลย
เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตาม ประโยชน์ ที่เกิดกับคนอื่น เป็นเพราะกุศลจิตของเรา ถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ อย่างนี้ จะดูดายไหม?
.........ณ กาลครั้งหนึ่ง.........
สาธุ สาธุ สาธุ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของนายแพทย์ทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
...ต้องรู้ความจริง ว่า
เมื่อกุศลจิดเกิดแล้ว มีทาง ของกุศลจิต
อกุศลจิตเกิด ก็มีทางของอกุศลจิต
ไม่ได้ปนกันเลย
คนละทาง...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของนายแพทย์ทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุญาตแบ่งปันธรรมที่ได้ฟังจากบ้านคุณหมอทวีป ครับ
- ที่พูดว่าเป็นกลาง ขณะที่พูดเป็นกลางหรือเปล่า เพราะ มี แต่ กุศล เป็นกุศล
อกุศล เป็นอกุศล ถูก เป็นถูก ผิด เป็นผิด
ผู้ถาม...แต่ เราไม่รู้ว่า อะไรผิด อะไรถูก มีการสร้างภาพ ต่างๆ ก็หลงผิดไป
ท่านอาจารย์...แม้เดี๋ยวนี้ใช่ไหม? นั่นอย่างหยาบนะคะ อย่างละเอียด อย่างเมื่อกี้
จิตเกิดดับ มีเจตสิกเกิดขึ้น เกิดดับ จนเหมือนว่า ขณะที่เห็นยึดว่าเป็นตัวตน เป็นเรา
ถ้ายึดถือนี่ คิดเอง หรือเปล่า? เห็นไหมคะ ความซับซ้อน ความลึกซึ้ง จนไม่รู้ว่า อะไร
จริง อะไรไม่จริง เพราะฉะนั้น เรื่องทุกเรื่อง ต้องเป็นแต่ละหนึ่ง เรื่องไม่จริง มีพฤติกรรม
ที่รู้ได้ ว่าไม่จริง เรื่องจริง ก็ต้องมีพฤติกรรมว่า จริง เพราะฉะนั้น จะต้องมีหลักฐาน มีสิ่ง
ที่ปรากฎ แต่ ละอย่าง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ แต่ละสิ่งมารวมกัน หรือเหมารวมกันแล้วรวมกัน
ว่าถูก หรือ ผิด ต้องแต่ละอย่าง แต่ละหนึ่ง
- พระธรรมเป็นที่พึ่งตลอดกาล ที่จะเข้าใจว่า เป็นกุศล หรือ อกุศล เพราะฉะนั้น
ประโยชน์ของการเข้าใจธรรมจริง ไม่ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ใด คือ เข้าใจว่าเป็นแต่
เพียงธรรม
ผู้ถาม...ท่านอาจารย์คะ สถานการณ์ตอนนี้ หนูเข้าใจว่า รักษาจิตของตน ดีที่สุด
ท่านอาจารย์...ขอโทษนะคะ รักษาจิต ด้วยตัวตน ระดับหนึ่ง แต่ รักษาจิต ด้วยปัญญา
ไม่ใช่เรา ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
รักษาจิตของตนดีไหมคะ? ก็ยังมีความเป็นตน เพราะฉะนั้น ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่
ก็เพื่อตน อาจจะคิดว่า เสียสละ ใหญ่หลวงมากมาย แต่ ที่แท้ ก็เพื่อตน แต่ ไม่ใช่
ปัญญา ที่เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไป กว่าจะหมดความเป็นตัวตน
นานมากเลยค่ะ แค่เพียงเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นอะไร?
ท่านอาจารย์...การช่วยเหลือคนอื่นเป็นความดีไหม? แต่อย่าลืมนะคะ แต่ ต้องเป็น
ไปในทางที่ถูก สูงที่สุด คือ ให้เขาเป็นคนดี เท่าที่ทำได้ แต่ก็แล้วแต่การสะสมของ
แต่ละคน ถ้าหวังดีจริงๆ ก็ช่วยให้เป็นคนดี แต่ ถ้าสุดความสามารถ ก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้
ในทางที่ถูก ไม่ส่งเสริมในทางที่ผิด ถ้านิ่งดูดาย เป็นกุศล หรือ อกุศล?
อ.อรรณพ...ละเอียด ลึกซึ้ง ยากมากเลย ครับ
ท่านอ.สุจินต์...ตั้งใจรักษาจิตได้ไหม? ไม่ได้เลยค่ะ แต่ เป็นอนัตตา ต้องเริ่มจากการ
ฟังพระธรรม เพราะ ขณะนั้น ก็เป็นเพียงแค่คิด ต้องมีพระธรรมเป็นที่พึ่งจริงๆ วาจา
สัจจะ ทุกคนอยากเป็นคนดี แต่เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญา แต่ เมื่อปัญญาเกิด จะนำ
ไปสู่ สิ่งที่ถูก และ ปัญญาจะมาจากไหน ก็ด้วยการฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้น รักษาจิต คือ เป็นกุศลหรือเปล่า? หรือ ไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ คือ ไม่
ทำกุศล ก็ต้องเป็นอกุศล และ อยู่เฉยๆ เป็นอะไร?
เพราะฉะนั้น รักษาจิต ไม่ใช่เรารักษา แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูก
ท่านอาจารย์...การช่วยเหลือ คนที่ลำบาก เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า?
เป็น เพราะฉะนั้น สนับสนุนในสิ่งที่ดี
ผู้ถาม...ก็ไม่ได้สนับสนุน อยู่เฉยๆ ฟังธรรมดีกว่า ค่ะ
ท่านอาจารย์ ...ปลอดภัยหรือคะ? ถ้ามีเหตุที่จะช่วยได้บ้าง และ เป็นกุศลธรรม ควร
ช่วยไหมคะ?
ผู้ถาม...ก็ควรเอาตัวรอดจากอกุศล ไม่ใช่หรือคะ?
ท่านอาจารย์....เอาตัวรอดอย่างไรคะ? ด้วยการเจริญกุศล อบรมปัญญา ค่ะ ถ้าผู้ถาม
มีโอกาสที่จะช่วยให้คนอื่นเป็นคนดี หรือ พ้นจากความทุกข์ยาก แต่ ไม่ได้ทำ อาจ
จะเสียใจภายหลังได้ไหมคะ? ถ้าอย่างนั้นก็ควรช่วย ไม่รอโอกาส ทำสิ่งที่ดี เป็นโทษ
หรือเปล่า?
ผู้ถาม...จะออกไปชุมนุม หนูก็ไม่ไปค่ะ (หัวเราะกันทั้งห้อง)
ท่านอาจารย์...หมายความว่า ความถูกต้อง มี แต่สิ่งใดที่มีความถูกต้อง และ ช่วยใน
ทางที่มีประโยชน์ ไมได้หมายความว่า จะออกไปร่วมด้วย แต่ ตามสมควร ที่จะช่วยได้
ช่วยอะไรอย่างอื่นได้ไหม?
ทุกคนก็รู้สึกว่า มีความเข้าใจ ในความถูกต้อง แต่ ก็ขึ้นอยู่กับความถูกต้อง ทำเท่าที่
จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็เดือดร้อน
การช่วยเหลือคนที่ลำบาก แต่ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ก็ช่วยไมได้ แต่ ก็มีกุศลจิต ที่จะช่วย
ได้ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่จะต้องรู้ก่อนว่า อะไรผิด อะไรถูก
อ.วีระ...คุยกับนักเรียนนอก นอกห้อง คุยเรื่อง ดูดาย ความหมาย คือ อย่างไร? ครับ
ท่านอาจารย์...ผู้ที่ควรเคารพสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์
ดูดายหรือเปล่า?
ถ้าพระองค์ทรงดูดาย เราจะไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมเลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่มีกิเลส
ดูดายหรือเปล่า? ผู้ที่มีกิเลส มีกุศลหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ความดีพอไหม?
ที่จะดับกิเลส ซึ่งความดีที่จะทำให้เบาบางจากกิเลสได้ คือ ปัญญา ถ้าจิตที่เป็นอกุศล
เกิดขึ้น จะดูดาย อย่างเช่น พระพุทธเจ้า เห็นสัตว์โลก เกิดอกุศล ดูดายหรือเปล่า?
ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องเข้าใจถูกก่อน เพราะฉะนั้น เราก็เช่นกัน เราไม่เห็นชั่วเป็นดี
ไม่เห็นผิด เป็นถูก ต้องเป็นความตรง จะรู้ได้อย่างไร? ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ทุกอย่างก็
เป็นไปตามอำนาจของจิต
- ทุกวันนี้ ทุกคนเดือดร้อนเพราะอะไร? เพราะความไม่รู้
- ความดีเกิดจากจิตที่ดี กายวาจาที่ดีเกิดจากจิตที่ดี กายวาจาที่ไม่ดี เกิดจากจิตที่ไม่ดี
ถ้าเราเห็นความชั่ว แล้วทำให้คนอื่นเข้าใจว่า เป็นความชั่ว ว่าไม่ดี อย่างนี้ คือ ไม่ดูดาย
อ.วีระ....อย่างเราเห็นคนไหนดี ไม่ดีจริง เราจะต้องมีข้อมูลตรงนั้นด้วย
ท่านอาจารย์...เพราะฉะนั้น เราจะต้องพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งจะต้องกิดจากจิต
ถ้ากายวาจาดี ก็ต้องเกิดจากจิตที่ดี ถ้ากายวาจาไม่ดี ก็เกิดจากจิตไม่ดี ซึ่ง ถ้าเรารู้ว่า
สิ่งไม่ดี เราจะเพิกเฉย หรือ ว่าถ้าเราจะช่วยเพื่อประโยชน์กับโลก ดีกว่าไหม?
พระพุทธเจ้า เมื่อมีผู้อื่นทำผิด ก็กล่าวโทษ เพื่อให้เข้าใจถูก เห็นโทษของอกุศล
- การกลบเกลี่อน การพูดให้คนอื่นเข้าใจผิด เป็นสิ่งที่ถูก หรือ เป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งเราจะ
ไม่เชื่อลอยๆ แต่ต้องมีเหตุการณ์ให้พิจารณา ตามเหตุผล
ซึ่ง ถ้าเราสละ และ ช่วยเหลือ พอที่จะช่วยได้ ดีไหม? ไม่ใช่การดูดาย แต่ไม่ใช่การ
บังคับให้เกิด กุศล หรือ อกุศล บังคับไม่ได้ แต่ สิ่งใดเกิดแล้ว ต้องรู้ความจริงของ
สิ่งนั้น ซึ่งที่ถูก คือ อย่าให้เกิด อกุศล หรือ ให้เกิด กุศลใช่ไหม? ไม่ถูกต้อง แต่ให้
เข้าใจสิ่งที่ถูกต้องว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก็เป็นธรรม แต่ ให้รู้ความจริงว่า กุศล เป็น
กุศล อกุศล เป็น อกุศล ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพราะรู้ว่า สัตว์โลกเข้าใจผิด
จึงทรงแสดงธรรม
- การดูดาย หรือ ไม่ดูดาย ไม่ใช่เรานะคะ ทั้งหมดเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทั้งหมด
ทุกคนในขณะนี้ ก็ประพฤติ ตามที่เป็นไป
- คิดว่าเราจะบังคับได้ ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เป็นธรรมทั้งหมด ขึ้นอยู่
กับว่า เราจะเข้าใจแค่ไหน? ไม่ใช่เชื่อโดยคิดเอง หรือ ลอยๆ ทุกอย่างที่เกิดวันนี้ ไม่ใช่
เกิดเฉพาะวันนี้ แต่เกิดมานานแล้ว ทีละเล็กละน้อย จนถึงวันนี้ ที่เป็นการสะสมมา
แต่ละชาติ เพราะฉะนั้น ควรเข้าใจว่า สิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ควรไหม? ไม่ใช่บังคับ แต่ตาม
การสะสมค่ะ ถ้าเราทำความดีขึ้น ทีละน้อย ทีละน้อย ควรทำไหม? ขณะที่เป็นกุศล
ก็ไม่เป็นอกุศล
ผู้ถาม...ช่วงนี้รู้สึกวุ่นวายเหลือเกิน อยากจะดับกิเลสเร็วๆ
ท่านอาจารย์...ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ว่าเป็นแต่เพียงธรรม จะเพิ่มกุศล หรือ
อกุศล คะ? เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรา แต่เป็นการแสดงว่า อะไรมาก อะไรน้อย กุศล หรือ
อกุศล?
อ.วีระ... อย่างในสถานการณ์ ที่เป็นอกุศลทั้งนั้น ก็ไม่ยุ่งเกี่ยว
ท่านอาจารย์...สามารถบังคับอกุศลได้ไหม? ปัญญาสามารถเกิดได้ไหม? ขณะที่เป็น
อกุศล ซึ่ง ขณะที่เข้าใจขึ้น ก็ไม่ใช่เรา
ผู้ถาม...พอผลของสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันออกมา วันนี้ก็รู้สึกเดือดร้อนใจ ที่ไม่ได้
ไปช่วย
ท่านอาจารย์...เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลาย ทำให้เกิด กุกกุจจะ ความเดือดร้อนใจ
ในกุศลที่ไม่ได้ทำ และ ในอกุศลที่ทำแล้ว เพราะฉะนั้น ที่สำคัญ แค่ ให้เข้าใจว่า
อะไรถูก อะไรผิด ก็เป็นประโยชน์ แต่ไม่ใช่คิดเอง
- แต่ละคน มีอกุศลทั้งนั้น รับรองได้ ทุกคนเคยทำทุจริตกรรมมาด้วย แต่ ณ วันนี้ ทำ
อะไร? เพื่ออะไร? ณ วันนี้ สำคัญที่สุด
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของนายแพทย์ทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และกราบอนุโทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตาม ประโยชน์ ที่เกิดกับคนอื่น
เป็นเพราะกุศลจิตของเรา
ถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ อย่างนี้
จะดูดายไหม?
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของนายแพทย์ทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุโมทนาครับ
แม้แต่คำพูดแต่ละประโยค ของท่านอาจารย์สุจินต์ ก็ยากต่อการทำความเข้าใจ เพราะลึกซึ้งเกินกว่า ใช้เวลาสั้นๆ ในการฟังพระธรรม แล้วกล่าวว่า เข้าใจ
ขอกราบอนุโมทนา ในกุศลจิตของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ