เรื่องมีข่าวว่าตายล้วฟื้น ส่วนมากพอฟื้นกลับมาจะเล่าเรื่องได้ไปพบยมบาลบ้าง พบคนที่ตายที่เคยรู้จักบ้าง บางทีก็เล่าเรื่องไปเที่ยวนรกมาบ้าง หากผู้ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมจนเข้าใจยิ่งจะเชื่อว่าตายแล้วฟื้นจริง ซึ่งท่านผู้รู้ในพระอภิธรรมท่านอธิบายว่า การตาย ตามนัยปรมัตถ์ธรรม คือจุติจิต ผู้ที่เล่าว่าตายแล้วฟื้นถือว่าจุติจิตยังไม่เกิด ถือว่ายังไม่ตาย เป็นเพียงการสลบไปเท่านั้นเอง ก็มีผู้สงสัยต่อครับ
ทำไมส่วนมากเรื่อง ตายแล้วฟื้นจากหลายๆ แห่งมักจะฟื้นมาเล่าคล้ายๆ กันคือตายไปได้ไปพบยมบาลฯลฯ กราบเรียนท่านผู้รู้อธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ อีกเรื่องคือการระลึกชาติมีบางเรื่องบางคนถูกฆ่าตาย หรือบางคนตายจากอุบัติเหตุ ซึ่งหากวิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการตายจิตขณะนั้นต้องน่าจะเป็นอกุศลจิตก่อนจะจุติเกิด ซึ่งน่าจะนำเกิดในอบายภูมิไม่น่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ หรือหากไปเกิดในอบายภูมิแล้วมาเกิดเป็นคนก็ไม่น่าจะจำอดีตได้ กรุณาผู้รู้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยตรับ และหากเราเชื่อเช่นนั้น ถือว่าเป็นมงคลตื่นข่าวหรื่อไม่
ขอขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ตามความเป็นจริงแล้ว ตายแล้ว จะไม่ฟื้น ตามที่ท่านผู้ถามได้กล่าวไว้แล้ว เพราะตราบใดก็ตามที่จุติจิตยังไม่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ก็ยังไม่ตาย ยังไม่เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงในความเป็นจริง ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะความจริงเป็นความจริง ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในประเด็นเรื่องตายแล้วฟื้น ก็เป็นเพียงการกล่าวด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ ว่าไปเห็นอย่างนั้นอย่างนี้มา ซึ่งอาจจะมีจุดประสงค์อย่างอื่นก็ได้ จึงมีการแกล้งกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่พ้นไปจากความประพฤติเป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลเลย เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าถึงกับไปพบกับพยายม ในนรก ก็แสดงว่าผู้นั้น ก็ต้องละจากโลกนี้ไปแล้ว ไปเกิดในนรกซึ่งเป็นอบายภูมิ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ถ้ามีการเชื่อในเรื่องที่ตื่นกันไปเองในสิ่งนั้นๆ โดยไม่มีเหตุผลและยึดถือด้วยความเห็นผิด ว่า เป็นมงคล นั่นก็ไม่พ้นจากมงคลตื่นข่าวเลย เพราะไม่ใช่มงคลจริงๆ
-เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ใครจะตายเมื่อใด และ ก่อนตาย กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย เพราะเป็นธรรมที่เกิดตามเหตุปัจจัยจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
-ประเด็นเรื่องการระลึกชาติ ตามความเป็นจริงแล้ว ในภูมิมนุษย์ บุคคลผู้อบรมเจริญฌาน ได้อภิญญาก็สามารถที่จะระลึกชาติหนหลังได้ สำหรับในสวรรค์ เทวดา ก็สามารถที่จะระลึกชาติได้ ว่า ชาติก่อนไปทำอะไรมาจึงได้มาเกิดในสรรค์เพราะการเกิดเป็นเทวดา เกิดผุดขึ้นทันที (โอปปาติกะ) ช่วงระหว่างบุคคลใหม่ กับบุคคลเก่าต่อเนื่องกันทันที เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น จึงสามารถที่จะระลึกได้ ส่วนในอบายภูมิ โดยปกติ ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานไม่สามารถที่จะระลึกชาติได้ แต่ถ้าเกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรตและพวกอสุรกายจำพวกโอปปาติกกำเนิด (เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที) ก็สามารถที่จะระลึกถึงกรรมในอดีตชาติของตนเองได้ กล่าวคือ จำได้ว่าตนเองกระทำกรรมอะไรมา จึงทำให้ได้เกิดมาเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะความเข้าใจถูกเห็นถูกนี้เอง จะเป็นเครื่องป้องกันที่ดี ป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายผิด ไม่คล้อยตามความเห็นของผู้ที่ไม่ได้เข้าใจความจริงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านหัวข้อที่เกี่ยวข้องเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ครับ
ตายแล้วฟื้นมีจริงหรือไม่
อยากทราบบุพกรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นยมบาลและนายนิรยบาล
การระลึกชาติ
ระลึกชาติ
เพราะเหตุใดจิตที่มีกำลังจึงทำให้ระลึกชาติได้
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องมีข่าวว่าตายแล้วฟื้น ส่วนมากพอฟื้นกลับมาจะเล่าเรื่องได้ไปพบยมบาลบ้าง พบคนที่ตายที่เคยรู้จักบ้าง บางทีก็เล่าเรื่องไปเที่ยวนรกมาบ้าง หากผู้ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมจนเข้าใจยิ่งจะเชื่อว่าตายแล้วฟื้นจริง ซึ่งท่านผู้รู้ในพระอภิธรรมท่านอธิบายว่า การตาย ตามนัยปรมัตถ์ธรรม คือจุติจิต ผู้ที่เล่าว่าตายแล้วฟื้นถือว่าจุติจิตยังไม่เกิด ถือว่ายังไม่ตาย เป็นเพียงการสลบไปเท่านั้นเอง ก็มีผู้สงสัยต่อครับ ทำไมส่วนมากเรื่อง ตายแล้วฟื้นจากหลายๆ แห่ง มักจะฟื้นมาเล่าคล้ายๆ กัน คือตายไป ได้ไปพบยมบาล ฯลฯ กราบเรียนท่านผู้รู้อธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ
ในความละเอียดลึกซึ้งของสภาพธรรม ก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก และ ต้องไม่ลืมว่า จิต เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่สะสม อันเกิดจากการเคยจำ สัญญาเอาไว้ในเรื่องใด เรื่องหนึ่งแล้ว และ ก็ทำให้นึกคิดในเรื่องนั้น ตามที่เคยจำมา ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
การที่บุคคลจะกล่าว พูดเรื่องอะไรออกมาก็ตาม แสดงว่า ผู้นั้นเคยจำ เรื่องราวแบบนั้นมาก่อน จึงทำให้พูดเรื่องราวนั้นออกมาเป็นเรื่องนั้น ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ของจิต เจตสิก ที่สะสมเรื่องนั้นมาและจำในเรื่องนั้น แม้แต่การคิด และ พูดออกมาในเรื่องการเคยไปนรก เห็นยมบาล โดยเฉพาะที่ส่วนมากกล่าวว่า เห็นยมบาลไปนรก โดยคนส่วนมากเล่าอย่างนั้น หากเข้าใจความจริงก็จะไม่สงสัย เพราะว่า กรอบความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ โดยมาก ปลูกฝังในเรื่องของนรกว่า มียมบาล มีการพิพากษาโดยยมบาล มี ลักษณะในนรกเช่นนี้ ซึ่ง ชาวบ้าน สังคมสมัยก่อน ก็เล่าสืบต่อกันมาเช่นนี้ การได้ยิน ได้ฟังมาจากคนรุ่นก่อนๆ ต้องไม่ลืมว่า เมื่อเราได้ยินเรื่องอะไร เราก็จำเรื่องนั้นแล้ว จะรู้ หรือ ไม่รู้ก็ตามที และเมื่อจำแล้ว ก็เป็นเหตุปัจจัยให้นึกคิดในเรื่องที่จำได้ในโอกาสใดโอกาสหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่ฝันเป็นเรื่องราวต่างๆ ก็เพราะอาศัยเรื่องที่เคยจำมา เป็นเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แล้วก็เก็บเอาไปฝันได้ ฉันใด เมื่อเคยได้ยินได้ฟังมา ในเรื่องนรก ว่าเป็นอย่างนี้ ที่ปลูกฝังกันมา ว่ามียมบาล เป็นต้น ขณะที่ยังไม่ได้ตาย แต่สำคัญว่าตายเอง ก็มีจิตที่คิดนึก ก็นึกถึงว่า เจอ ยมบาล เจอนรกอย่างนี้ ที่เป็นเพียงจิตที่คิดนึก อันเกิดจากการเคยได้ยินได้ฟังมา ที่เป็นการปลูกฝังของสังคมไทยโดยมาก ทำให้ กลับมาเล่าว่า เจอ ยมบาลอย่างนี้ โดยส่วนมาก ครับ ซึ่งก็สามารถสรุปได้ว่า เพราะ อาศัยการสะสม การจำมาในสังคมไทย ที่เล่ากันมาว่ามียมบาล เมื่อ สำคัญว่าฟื้น แท้ที่จริงก็อาจเป็นขณะที่สลบ และ คิกนึกสลับก็คิดนึกในเรื่องราวที่ได้ฟังโดยส่วนมากกว่ามียมบาลได้ อันเป็นการทำหน้าที่ของ จิต เจตสิก ที่เป็นจิตที่คิดนึกเท่านั้น ครับ
อีกเรื่องคือการระลึกชาติมีบางเรื่องบางคนถูกฆ่าตาย หรือบางคนตายจากอุบัติเหตุ ซึ่งหากวิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการตายจิตขณะนั้นต้องน่าจะเป็นอกุศลจิตก่อนจะจุติเกิด ซึ่งน่าจะนำเกิดในอบายภูมิไม่น่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ หรือหากไปเกิดในอบายภูมิแล้วมาเกิดเป็นคน ก็ไม่น่าจะจำอดีตได้กรุณาผู้รู้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยตรับ และหากเราเชื่อเช่นนั้นถือว่าเป็นมงคลตื่นข่าวหรื่อไม่
ขอขอบคุณครับ
- การเห็นเพียงเหตุการณ์ภายนอก ที่เป็นเพียง สี เท่านั้น และ สมมติว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่สามารถจะรู้จิตของผู้อื่น และ สรุปได้ว่า จะต้องเป็นอกุศล ครับ เพราะ การเกิดอุบัติเหตุ บางครั้งก็ไม่ได้สิ้นชีวิตทันที เพราะเพียงเสี้ยววินาที จิตเกิดดับ นับครั้งไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ก็สามารถเกิด กุศลจิต หรือ อกุศลจิต ก่อนที่จะสิ้นชีวิตก็ได้ โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นอกุศล ครับ ส่วนการระลึกชาติได้ โดยมากจะต้องมีเหตุ คือ การเจริญสมถภาวนาได้ฌานสงสุด แต่ การสำคัญว่า ตัวเองเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ก็เป็นการคิดไปเองก็ได้ว่า ตนเองแป็นใครในอดีตชาติ ที่ไม่ใช่การระลึกชาติจริงๆ ซึ่งการเชื่อตามคนอื่น ว่า คนนี้ระลึกชาติได้ โดยที่ไม่ดูที่เหตุของการระลึกชาติว่าคืออย่างไร ก็เป็นความเข้าใจผิด ถือผิด อันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะ ขณะนั้นกำลังถือในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ เพราะ สาระจริงๆ ไม่ใช่การรู้ว่าตนเอง หรือ ผู้อื่นเป็นอะไร ในอดีตชาติ แต่สาระของชีวิต คือ การทำดี และ การเจริญขึ้นของกุศลทุกๆ ประการ และ เจริญขึ้นของปัญญา เพราะฉะนั้น จะระลึกชาติได้ หรือ ไม่ได้ แต่ ขณะปัจจุบันสำคัญที่สุด ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท ที่จะสะสมกุศลอันเป็นเสบียงไปในภพหน้า และ อบรมปัญญา เพราะ การเกิดอยู่ร่ำไป เป็นทุกข์ ครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ