ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจว่าปัญญาคืออะไร การใช้ชีวิตจึงเต็มไปด้วยอวิชา นิวรณ์กลุ้มรุม วนเวียนอยู่ในโลกธรรม ๘ ช่วงแรก ชีวิตก็ง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน เพียงแต่เรียนหนังสือไปตามหลักสูตร จบแล้วก็ทำงานหาความก้าวหน้าทางโลกจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็ไม่เห็นสาระอะไร เมื่อประสบความทุกข์หนัก คือ การสูญเสียบุพพการี ทรัพย์สิน ชื่อเสียง มิได้ช่วยให้ความทุกข์ใจลดน้อยลงเลย เปรียบเสมือนการพายเรือไปตามแม่น้ำ รู้สึกสบายๆ เพลิดเพลินไป แต่เมื่อมาถึงปากแม่น้ำต้องพายเรือออกสู่มหาสมุทร การพายเรือตามลำพังอยู่กลางมหาสมุทรโดยไม่รู้ทิศทาง ไม่ทราบว่าจะไปไหน ... เพื่อจุดหมายอะไร ... ก็ตอบตัวเองไม่ได้
จนมีคำถามกับตัวเองว่า "จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม" เมื่อเริ่มเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น จากการฟัง การพิจารณาอย่างละเอียด เพราะเห็นคุณค่า และใช้เวลาไปกับการศึกษามากขึ้น ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่าศาสตร์ที่น่าเรียนรู้ที่สุดคือ "พุทธศาสตร์" เพราะวิชาอื่นๆ มีมากมาย แต่เรียนจบแล้ว ก็แก้ทุกข์ไม่ได้ถึงต้นเหตุ ตายไปก็ลืมหมด การฟังธรรมะโดยมุ่งเฉพาะความเข้าใจ และนำความเข้าใจนั้นมาพิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ จึงมีประโยชน์มาก ดังนั้น การพายเรือในมหาสมุทรไม่ใช่เรื่องน่ากลัวจนเกินไปเพราะการได้พบพระพุทธศาสตร์ก็เปรียบเสมือนได้พบเข็มทิศแล้ว แต่ก็คงจะประมาทไม่ได้ เพราะอุปสรรคยังมีอีกมากแม้มีเข็มทิศ ก็รับประกันไม่ได้ว่าเรือจะไม่ล่มเสียก่อนจะถึงฝั่ง
การเดินทางไกล นอกจากต้องอาศัยเข็มทิศ (แผนที่) แล้วยังต้องอาศัยเสบียง พระธรรมเปรียบเสมือนเข็มทิศ บารมี ๑๐ เปรียบเสมือนเสบียง ซึ่งต้องอาศัยเกื้อกูลกันไป จนกว่าจะไปถึงฝั่ง
การได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ คือ สาระสำคัญที่สุดของชีวิตจริงๆ
ขออนุญาตเพิ่มเติมตามความเห็นของผมสักเล็กน้อยนะครับ
"การพายเรือในแม่น้ำ คลื่นนั้นกระทบท้องเรือเพียงน้อย เมื่อเหนื่อยก็แวะจอดได้ตลอดสองฟากฝั่ง จึงรู้สึกว่ายังอุ่นใจได้" เปรียบเสมือนตอนที่ท่านเป็นเด็กเล็กๆ มีบุพการีคอยอบรมเลี้ยงดู ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ไม่ค่อยได้คิดว่าชีวิตนั้นเป็นทุกข์ เพราะยังมีหลายสิ่งครบครันและดูเหมือนจะได้รับการเติมเต็มอยู่ทุกวัน ยังรู้สึกเป็นสุขกับการได้เสพสิ่งที่พอใจ ไม่มีภาระในการดิ้นรนทำมาหากิน ทุกๆ วัน จึงเต็มไปด้วยความผูกพัน เรื่องราวและความทรงจำที่ดี
"แต่พอพายเรือมาถึงมหาสมุทร ก็ได้ค้นพบว่า ผืนน้ำนี้ช่างสวยงามกว่าตอนที่พายอยู่ในแม่น้ำยิ่งนัก ใจจึงหลงไหลไปกับประกายแสงระยิบระยับของผืนน้ำสีคราม แต่เมื่อพายไปยังไม่ทันไรก็เจอกับคลื่นแรงที่โถมกระหน่ำ เริ่มเรียนรู้ชีวิตว่า คลื่นแรงกลางห้วงน้ำใหญ่นี้พร้อมที่จะซัดเรือของเราให้อัปปางได้เสมอหากตนประมาท" เปรียบเสมือนกับชีวิตตอนที่ท่านค่อยๆ เจริญวัย มีโอกาสประสบกับเรื่องราวมากมายที่น่าเรียนรู้ แต่ไม่ใช่ความจริงของชีวิต จึงหลงติดไปกับโลกต่างๆ โดยไม่ระวัง ใช้ชีวิตไปกับความสุขปลอมๆ จากทรัพย์ที่หามาได้แล้วก็ยึดว่าเป็นของตน แต่เมื่อเริ่มค้นพบว่าสิ่งที่ได้มานั้น เป็นเหตุให้เกิดความคับแค้นใจ ความเศร้าโศกใจเพราะความสูญเสีย ไม่มีอะไรที่จะเป็นของๆ ตนโดยแท้จริง ความรุมเร้าแห่งทุกข์จึงโหมกระหน่ำ เมื่อนั้นจึงมองหาที่พึ่งทางใจ แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ และตนนั้นก็หมดวัยที่บุพการีจะกลับมาอบรมสั่งสอนได้เหมือนอดีตบุพการีก็มีทุกข์ ตนก็มีทุกข์ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถช่วยกันให้พ้นทุกข์ได้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว ราวกับมีชีวิตอยู่บนคลื่นทะเลกับท้องฟ้า ที่หลอกตาว่าสวยงาม แต่ใจกลับต้องเวิ้งว้าง เฝ้าถามตัวเองว่า ขอบแผ่นดินแห่งความสุขแท้จริงอยู่ที่ไหนกันหนอ
เมื่อได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ มีสหายธรรมที่คอยช่วยเหลือเปรียบเสมือนกับการได้เข็มทิศ ได้เสบียงในการเดินเรือ และได้ต้นหนเรือที่ดี แม้จะยังล้มลุกคลุกคลาน ต้องเดินเรือกลับเข้าฝั่งบ้าง แวะพักตามเกาะแก่งบ้าง เพื่อต่อเรือแห่งปัญญาให้มีกำลังพอที่จะข้ามผ่านภัยอันใหญ่หลวงที่สุด คือ สังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นห้วงน้ำวนยักษ์ที่คอยดึงไม่ให้สรรพสัตว์หลุดออกไป ด้วยศรัทธาจึงเชื่อมั่นว่า มีหนทางนี้เพียงหนทางเดียว ต่อให้อุปสรรคจะมากมายเพียงใดก็ไม่ย่อท้อ ยามที่เรือแล่นออกจากทางก็ต้องคอยประคับประคองให้กลับมาในทิศที่ถูก เมื่อส่วนใดของเรือผุพังก็ต้องยอมเสียเวลาบำรุงซ่อมแซม เพราะเชื่อว่าพระนิพพานมีจริง จึงอดทนและเพียรกลับมาเริ่มอบรมเหตุให้เกิดปัญญาและบำเพ็ญกุศลทุกประการอยู่บ่อยๆ เพราะรู้ดีว่าตนนั้นยังหนีไม่พ้นภัยแห่งการเกิดในชาตินี้แน่นอน
ขออนุโมทนาครับ
เป็นวิชาที่จำเป็นจะต้องศึกษาไปจนตลอดชีวิต และต่อไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ซึ่งไม่สามารถที่จะนับได้ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปนับ ถามว่าถ้าไม่ศึกษาธรรมแล้วจะไปศึกษาอะไรที่จะให้สาระแก่ชีวิตได้ ดังนั้นจึงนับว่าเป็นบุญเก่าจริงๆ ของผู้ที่มีการสะสมมาแล้วแต่ชาติปางก่อน จึงมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาและมีความเข้าใจ ค่อยๆ สะสมเสบียงไปจนกว่าจะถึงฝั่งอันสงบ ทุกขณะที่ผ่านไปแล้วเสมือนดั่งหนึ่งสายน้ำ ไหลไปแล้ว ไม่ไหลกลับอีกเลย ฉะนั้นจงอย่าเป็นผู้ประมาท
อนุโมทนาในความคิดเห็นของทุกท่านค่ะ
นอกจากการทำความดี เช่น พูดดี พูดอิงธรรมะ มีการให้ ให้อภัย ให้ธรรมะ และให้วัตถุสิ่งของที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับ ให้คำแนะนำ ฯลฯ เรายังต้องอาศัยการฟังธรรมเพื่อให้เกิดปัญญาค่อยๆ เพิ่มขึ้นค่ะ
เชิญคลิกอ่าน...
ธรรมที่ละด้วยกายวาจาไม่ได้ แต่ละได้ด้วยปัญญา [กายสูตร]
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ