ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๓
โดย khampan.a  9 มี.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 24566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

(ภาพ ณ จ.น่าน บันทึกโดย พี่วันชัย ภู่งาม)

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๓]

คำพูดสำคัญไหม? พูดดีเป็นกุศล ประกอบด้วยเจตนาที่เป็นกุศลขณะใด ขณะนั้นก็เป็นทางที่จะนำไปสู่สุคติด้วยกุศลเอง

ใครจะตั้งจิตไว้ชอบ หรือ ใครจะตั้งจิตไว้ผิดอย่างไร ก็แล้วแต่การสะสมทั้งสิ้น ความดีของตนเอง ตนเองเท่านั้นที่จะกระทำ ไม่คำนึงถึงบุคคลอื่นว่าจะ ตอบสนองในลักษณะใด เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของเขา กิเลสของใคร ใครก็ต้องละ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นกิเลสของท่านเอง ถ้าไม่ประพฤติให้ถูกต้อง ตามที่ควรประพฤติ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต ซึ่งไม่ควรสะสม ควรประพฤติ ขัดเกลาตามข้อประพฤติปฏิบัติของคฤหัสถ์เท่าที่สามารถจะกระทำได้ เท่าที่ ปัญญาจะเห็นประโยชน์

ที่ว่าทำดีมาตลอด ทำเท่าไรก็ไม่พอ ความดีที่คิดว่าทำมามากเท่าไรก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่าอกุศลจิตยังมีโอกาสที่จะเกิดอยู่เรื่อยๆ แล้วทำไมจะคิดถึงความดี ในปัจจุบันชาติ ความไม่ดีในอดีตลืมเสียแล้วหรือ ว่าเคยมีหรือเปล่า ถ้าลืม ก็ควรจะนึกขึ้นได้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีเหตุปัจจัย จึงจะเกิดได้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ละขณะ ที่จะเกิดขึ้นประสบกับอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าพอใจ) บ้าง อนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ) บ้างต้องมีเหตุปัจจัยที่ได้กระทำแล้ว แล้วไม่ใช่คน อื่นกระทำ ตนเองเป็นผู้กระทำกรรมนั้น ถ้าจะดูแต่เฉพาะปัจจุบันชาติ ทำความดีมาโดยตลอด ก็ควรจะคิดเลยไปตลอดชีวิตด้วยว่า อกุศลกรรมก็ ย่อมได้เคยกระทำมาแล้ว มิฉะนั้น ผลอย่างนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

อย่าให้การคิดหรือคำนึงถึงบุคคลอื่นเป็นอุปสรรคในการที่จะขัดเกลากิเลส ของตนเอง และควรที่จะระลึกว่า ความดีที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมดไม่พอ ทำเท่าไร ก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ถ้าเทียบส่วนกับอกุศลจิตที่เกิดในวันหนึ่งๆ ความดีที่ได้ทำ เล็กน้อยเหลือเกิน

ถ้าท่านจะถูกใครหลอกลวงสักคนหนึ่ง แล้วก็โกรธแค้นผู้ที่หลอกลวง นั่น เป็นการเพิ่มอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงว่า เป็นกรรมของ ท่านเอง ที่ทำให้คนนั้นมาหลอกลวงท่าน ทำไมเขาไม่หลอกลวงคนอื่น ถ้าเขา เป็นนักหลอกลวง เขาก็หลอกลวงไปเรื่อยๆ แต่ทำไมจึงต้องเป็นท่าน ถ้าท่าน ไม่ได้ทำเหตุไว้ในอดีต เขาก็คงจะหลอกลวงคนอื่นไป คงไม่ถึงคราวของท่าน แต่เมื่อท่านประสบกับเหตุการณ์อย่างนั้น ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงกรรมของ ท่านเองที่ได้กระทำแล้ว ว่าท่านเองก็คงได้กระทำกรรมลักษณะอย่างนั้นมาแล้ว ในอดีต

พูด ด้วยโลภมูลจิต อยากจะได้อะไรของใครในทางหนึ่งทางใดบ้างหรือเปล่า อยากจะต้องการแม้แต่คำชม คำชื่นชมจากบุคคลอื่นหรือเปล่า สภาพของจิต เกิดดับอย่างละเอียดมาก

ถ้าในอดีตชาติได้เคยกระทำกรรม เคยสะสมอกุศลอย่างไรมา ชีวิตก็ต้องเป็น ไปอย่างนั้น ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ยังไม่ได้เข้าถึงพระธรรม ก็จะต้อง เป็นไปตามอกุศลธรรมที่มีกำลังมากกว่า

เวลาที่อกุศลจิตเกิด จะต้องกระทำลงไปด้วยการขาดเมตตาในขณะที่ล่วงศีล ทุกท่านก็คงเห็นคุณประโยชน์ของปัญญา ถึงแม้ว่าจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ถ้าปราศจากปัญญา ก็ย่อมเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเห็นคุณค่าของ ปัญญาจริงๆ ก็ย่อมจะไม่ปรารถนารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อเจริญกุศล แต่ปรารถนาจะเจริญปัญญาให้ถึงความสมบูรณ์ที่สามารถจะดับกิเลสได้เป็น สมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)

ถึงแม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะได้ทรงแสดงโทษของความโกรธไว้มากก็จริง เวลาไม่โกรธนี้รู้ทุกอย่าง โทษของความโกรธทั้งหมดที่ทรงแสดงก็เข้าใจ เห็นด้วย เห็นชัด แต่เวลาที่ความโกรธมีปัจจัยเกิดขึ้น ในขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เห็นโทษของ ความโกรธแล้ว ลืมโทษทั้งหมดของความโกรธ

ถ้าไม่เห็นว่าอกุศลธรรมก็ยังมีอยู่ เป็นอย่างอ่อน เป็นอย่างละเอียด ก็จะไม่มี ความพากเพียรที่จะขัดเกลาอกุศลธรรมนั้น ต่อเมื่อใดสามารถที่จะเห็นอกุศลธรรม ตามความเป็นจริงว่า แม้ไม่ใช่อกุศลธรรมที่ใหญ่โต แต่ก็เป็นอกุศลธรรมอย่างอ่อน อย่างเบาบาง ก็เป็นสภาพธรรมที่น่ารังเกียจ ที่ควรจะขัดเกลาให้น้อยลง เมื่อนั้น ก็จะอบรมกุศลทุกประการ

เมื่อมีปัจจัยของความโกรธอย่างแรงเกิดขึ้นเป็นปัจจัยให้กระทำกายวาจาต่างๆ ได้ในทางที่ไม่ควร

ในขณะที่วิรัติ (งดเว้นจาก) มุสาวาท นั่นเพราะหิริโอตตัปปะเกิดขึ้น ละอาย รังเกียจในการที่จะพูดสิ่งที่ไม่จริง

ขณะใดที่ไม่รู้ นั่นไม่ใช่เรา แต่เป็นอวิชชาที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความติดข้องยินดีพอใจ นั้น มีมาก รวมเรียกว่า วัตถุกาม

เพราะเป็นที่ติดข้องของโลภะซึ่งเป็นกิเลสกาม

เห็น เป็น ธรรม เพราะเห็นจริงๆ มีจริงๆ

เห็น เป็น เห็น คิด เป็น คิด ไม่ใช่เรา

ความหมายของคำว่า "คับแคบ" ไม่ได้หมายความถึงสถานที่หรือเพศ แต่ว่า หมายความถึงอกุศล ผู้ที่จิตใจกลุ้มรุมด้วยอกุศล แม้จะอยู่ในที่กว้าง ในป่า ในเขา แต่เพราะใจนี้ถูกบีบคั้นด้วยอกุศลธรรม ทำให้สภาพของจิตนั้น เป็นสภาพจิตที่ คับแคบ ไม่สามารถที่จะปลอดโปร่งได้

เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่า คับแคบนั้น หมายความถึงอกุศลธรรมกลุ้มรุมจนกระทั่งเต็มหัวใจเลยคับแคบ

ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็ชวนกันไปปฏิบัติผิด โดยสำคัญว่าเป็นการปฏิบัติถูก

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะเกื้อกูลให้ผู้ฟังผู้ ศึกษาเกิดปัญญาเป็นของตนเอง ให้เพื่อหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทน เป็นการให้จริงๆ หรือเปล่า?

คำดี ก็เป็นคำชั่ว เพราะจิตใจชั่ว ไม่เห็นประโยชน์ที่จะฟังเพื่อเข้าใจความจริง

ธรรม เป็นเรื่องจริง ตรง ไม่ว่าจะจากบทไหน ส่วนไหน ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด

โกรธใครหรือเปล่า เห็นหน้าใครแล้วเกิดความไม่สบายใจหรือเปล่าพร้อมที่จะให้ทานได้ไหม? คือ ให้อภัยทาน ให้ความไม่มีภัย ให้ความหวังดีแก่ผู้อื่น ไม่หวังร้ายต่อผู้อื่น

อกุศล ไม่มีคุณประโยชน์แก่ใครๆ เลย

จิตของคนผู้กำลังโกรธคนอื่นอยู่นั่นแหละที่ชั่ว

เพราะมีความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์จากอกุศล

ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่มีค่าประเสริฐที่สุดคือความเข้าใจถูกเห็นถูก

ทำกุศล เพราะกุศลเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้

ธรรมฝ่ายดี ก็ต้องเกิดร่วมกับธรรมฝ่ายดีเท่านั้น จะไม่เกิดร่วมกับธรรมที่เป็นอกุศลธรรมเลย

คำจริง วาจาสัจจะ ไม่มีโทษ แต่จะไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะฟัง

ไม่พึงหมดกำลังใจในการทำความดี.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๒

(ภาพ ณ สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี บันทึกโดย พี่วันชัย ภู่งาม)

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 9 มี.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่เจริญความเห็นถูก@ เพียงแค่มีเส้นในกระดาษ ก็ยึดถือว่าเป็นเรา คิดดูว่า ยึดถือแค่ไหน ซึ่ง ถ้าไม่เข้าใจ

ตั้งแต่วันนี้ จะยึดถือแค่ไหน แต่ก็ค่อยๆ อบรม ได้ทีละน้อย@ คิดมาก คิดถึงสิ่งที่ได้ฟังบ้างไหม@ คิดจะห้ามหรือเปล่า เพราะ รู้ว่าห้ามไม่ได้ คิดแล้ว เกิดแล้ว จะห้ามได้อย่างไร เพราะ

ไม่รู้ไม่เข้าใจความจริง แต่ ค่อยๆ อบรมได้ จากการฟัง วาจาสัจจะ คือ พระธรรมที่

พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นแต่เพียงธรรม และ เป็นอนัตตา@ ใครก็ตาม ที่คิดว่า ธรรม ไม่มีอะไร แค่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เพราะ ไม่รู้ ค่ะ

@ สภาพเห็นจะปรากฎกับอวิชชาได้ไหม ไม่ได้ ต้องปรากฎกับปัญญา

@ ยังมีตัวตนที่ไม่อยากจะมีอวิชชา ก็ไม่มีทางมีปัญญาได้เลย

@ เรียนเพียงเข้าใจธรรม ยังไม่สามารถรู้ตัวธรรมได้ แต่ อบรมจนถึงจุดนั้นได้

@ วินัย ที่หมายถึง กำจัดกิเลส สำหรับใคร ทุกคน ค่ะ ไม่ใช่เฉพาะบรรพชิตใช่ไหม

เพราะ ทุกคนมีกิเลส และ จะต้องเข้าใจว่า กำจัดกิเลสได้อย่างไร ดังนั้น ก็ต้อง

กำจัดกิเลสตามเพศ คือ บรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ อย่าง พระภิกษุ ก็มี วินัย คือ ประพฤติ

ตามพระวินัย เพื่อกำจัดกิเลส ตามสมควรกับเพศบรรพชิต ซึ่ง คฤหัสถ์ก็ควรรู้ ควร

เข้าใจ ข้อวินัยของบรรพชิตด้วย เพื่อประโยชน์ ในการประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องกับ

พระภิกษุ และ คฤหัสถ์ ก็สามารถประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้บางข้อ เพื่อ กำจัด

กิเลส ซึ่ง พระวินัย เป็นสิ่งที่งามมาก ค่ะ@ หมดกำลังใจ คือ เราใช่ไหม คะ แต่ ถ้าไม่หมดกำลังใจ คือ สภาพธรรม ที่ดี ที่มี

ปัญญา ที่เห็นคุณค่าของความดี จึงไม่หมดกำลังใจ และ เมื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ก็

พิจารณาถูกว่า ควรสะสมความดี หรือ ความไม่ดี และ ก็ไม่มีตัวตนที่จะห่วงว่าเราจะ

เป็นคนดี ไม่ดี เพราะ ธรรมเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ค่ะ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย เซจาน้อย  วันที่ 9 มี.ค. 2557

ไม่หมดกำลังใจเพราะไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมเกิดขึ้นทำความดีเท่านั้น ความดี

ทำเท่าไรก็ไม่พอ

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ.


ความคิดเห็น 3    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 9 มี.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอปันความสั้นๆ ที่ได้โน๊ตไว้ จากการฟังการสนทนาธรรมที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้

เมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๗ ดังนี้ครับ

- ฟังคำ วาจาจริง ของผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เท่านั้น

- ตลอดชีวิต ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ก็มีสิ่งที่มีจริง แต่...ไม่รู้...

- คำหนึ่ง คำใด ที่ได้ฟัง ขอให้ไตร่ตรอง เพื่อเข้าใจความจริง

- ฟังครั้งใด เข้าใจขึ้นครั้งนั้น

- ใช้คำว่า "เข้าใจ" ดีที่สุด อย่าไปหวังอะไรมากมาย ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเลย

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณคำปั่น อักษรวิลัย และ ทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 4    โดย เมตตา  วันที่ 10 มี.ค. 2557

ขออนุญาติแบ่งปันธรรมด้วยค่ะ

_ การอบรมเจริญปัญญา อบรมอย่างไร เจริญขึ้นอย่างไร เจริญคือ เข้าใจขึ้นใน สิ่งที่มีจริง เจริญความเห็นถูกเข้าใจถูก ไม่มีใครเจริญ

_ อยากเข้าใจธรรม อยากมีปัญญา แต่ปัญญาจะมีเพราะความอยากไม่ได้

_ ไม่ว่าพระอภิธรรม พระสูตร และพระวินัยปิฎก ก็พูดเรื่องสิ่งที่มีจริง เพื่อให้เข้า ใจสิ่งที่มีจริง

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ.คำปั่น อ.ผเดิม และ ทุกๆ ท่าน ค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย j.jim  วันที่ 10 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 10 มี.ค. 2557

growyourplant.com

ดอกไม้ประจำจังหวัดราชบุรี : ดอกกัลปพฤกษ์

กัลปพฤกษ์ เป็น ไม้ยืนต้น ขนาดกลาง สูง 5–15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดกลม หรือ รูปร่ม แผ่กว้าง ใบประกอบขนนก ใบย่อย 5–8 คู่ ใบรูปไข่แกมขอบขนาน หรือแกมใบหอก โคนใบเบี้ยว ใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ออกดอกเป็นช่อพร้อมใบอ่อนตามกิ่ง มี 5 กลีบ สีชมพู แล้วซีดจนเป็นสีขาวเมื่อใกล้โรย ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์–เมษายน ผล เป็นฝักกลมยาว มีขนนุ่ม สีเทา เมล็ด จำนวนมาก

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย jaturong  วันที่ 10 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย kinder  วันที่ 11 มี.ค. 2557
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 9    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 12 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย peem  วันที่ 13 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย เจียมจิต  วันที่ 21 ก.ย. 2562

อนุโมทนาค่ะ