เมื่อล่าสุดผมได้ดูรายการ TV ช่อง lifetime เรื่อง The ghost inside my child เป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นจริงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีอาการผิดปกติ เพราะเธอคนนี้เคยตกตึกตายมาแล้ว เธอเคยไปสวรรค์หรือนรกมาแล้ว แต่วิญญาณของเธอได้กลับเข้ามาอาศัยในร่างของเด็กผู้หญิงคนเดิม เธอไม่พูดไม่จาเลย บางครั้งเธอส่งเสียงร้องโหยหวนผิดปกติเมื่อเธอต้องการบางสิ่ง เธอสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็น เธอติดต่อกับวิญญาณหรือโอปปาติกะได้ เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ของเธอเป็นกังวลมาก.
ผมจึงอยากจะทราบว่าธรรมะตามแนวพุทธศาสนาสามารถอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่ครับ เพราะความสงสัยของผมในเรื่องนี้มันทำให้ผมเกิดความกลัวขึ้นมาครับ เนื่องจากว่าปกติผมก็เป็นคนกลัวผีอยู่แล้วครับ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะมีคำอธิบายเพราะมันเป็นเรื่องของสภาพธรรมะซึ่งมีจริงๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตายแล้วเกิดทันทีสำหรับผู้ที่มีกิเลสอยู่ครับ แต่ไม่ใช่ตายแล้วฟื้น ดังนั้นถ้าฟื้นขึ้นแสดงว่าไม่ได้ตายไป เพียงอาจสลบ ไม่รู้สึกตัวก็ได้ครับ จึงสำคัญว่าตายแล้วฟื้น ซึ่งขณะนั้น ก็อาจมีการคิดนึกสลับก็ได้ คิดนึกในเรื่องราวต่างๆ ว่าเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ จึงไม่ต่างจากความฝันที่มาจากการคิดนึก และก็พอตื่นขึ้นจากความฝัน ก็เหมือนได้เห็นได้ยินเรื่องราวต่างๆ และก็สามารถมาเล่าได้ ดังนั้น เพราะวิถีจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ขณะที่สลบหรือไม่รู้สึกตัว ก็อาจจะมีการคิดนึกสลับอยางรวดเร็ว ซึ่งยังไม่ตายจากความเป็นบุคคลนั้น จึงฟื้นขึ้นได้ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าจุติจิตเกิดจริง (ตาย) ตามสภาพธรรมที่เป็นเหตุปัจจัย ที่ต้องเกิดต่อที่ยังมีกิเลส ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที แสดงว่าเมื่อตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ จึงไม่ใช่ตายแล้วฟื้นเลย ส่วนที่กำลังสลบไปและไม่รู้สึก บางครั้งก็สลับกับภวังคจิต แต่ขณะที่เป็นภวังคจิต ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้นกายและใจเลยครับ จึงไม่มีการคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ขณะที่จำเรื่องราวต่างๆ ได้ว่าไปทำอะไรมา นั่นแสดงว่าเป็นความคิดนึกสลับในขณะที่ไม่รู้สึกตัวที่คิดผิดว่าตายครับ ขณะที่คิดนึกจึงจำเรื่องราวต่างๆ และก็พอรู้สึกตัว ฟื้นก็เลยจำได้ว่าทำอะไรมา เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ใช่ตายแล้วฟื้นครับ ตามเหตุผลที่กล่าวมา ซึ่งผู้ที่จะเห็นยมบาลได้ คือ ผู้ที่ตายแล้วไปเกิดในนรกทันที ไม่ต้องไปพบพญายม หรือ ยมบาลเพราะทำบาปมากไม่ต้องวินิจฉัย แต่ผู้ที่จะได้พบพญายม คือ ผู้ที่ทำบาปเล็กน้อย จึงได้รับการวินิจฉัย แต่เมื่อไปพบพญายมก็ตายแล้วไปเกิดอีกภพภูมิหนึ่งแล้วทันทีครับ
ที่สำคัญประโยชน์ที่จะได้จริงๆ ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การจำได้ ระลึกชาติได้ หรือ เคยเห็นนรก เพราะทุกคนเคยเห็นนรกมาหมดแล้ว ซึ่งการเห็นด้วยตาเปล่าไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา แต่การศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้ปัญญาเจริญขึ้นและเข้าใจความจริงว่ามีแต่เพียงสภาพธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคลที่เกิด แต่เป็นเพียงจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเท่านั้น คือมีแต่ธรรมไม่ใช่เรา นี่คือการเห็นด้วยปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็ย่อมเห็นโทษของกิเลสมากขึ้น ประโยชน์ของการศึกษาธรรมอยู่ที่ตรงนี้ครับเพราะอกุศลกรรมเป็นเหตุให้ไปนรก จึงเห็นโทษของกิเลส ไม่ใช่การจะไปเห็นนรกครับ
"สัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตายด้วยความพยายามอันใด ความพยายามอันนั้นไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย เพราะสัตว์ทั้งหลาย มีความเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา"
[อ้างอิงจาก ... สัลลสูตร พระสุตตันตปิฎก ขุททนิกาย สุตตนิบาต]
---------------------------
แต่ละบุคคลที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกพ้นได้ขึ้นอยู่กับว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นของกรรมใดที่นำเกิด ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ โดยไม่มีใครทำให้เลย เป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้วเท่านั้นจริงๆ เมื่อเห็นคนอื่นตาย ก็ควรน้อมเข้ามาในตนว่าในที่สุดตนเองก็จะต้องตายเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคนอื่นตายแต่ตัวเองไม่ตาย เพราะแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว
ดังนั้น ในเมื่อทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเองอย่างแท้จริง การละอกุศลกรรม แล้วเจริญกุศลบ่อยๆ เนืองๆ ตามกำลังของตนและไม่ละเลยในการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตามนั้นเป็นความดีที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ครับ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณครับ แต่ผมยังสงสัยว่าลักษณะที่คล้ายกับอาการเข้าทรงหรือสามารถสื่อกับวิญญาณได้นั้น เกิดจากอะไรครับ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ซึ่งในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น จิตของแต่ละคนก็ของแต่ละคน ไม่มีใคร หรือ ไม่มีจิตของคนใดมาสิงสถิตอยู่ที่ร่างกายของคนอื่นได้เพราะ ความจริง คือ จิตเกิดขึ้นและดับไป ไม่เที่ยงเลย จิตเกิดที่ไหน ดับที่นั่น จึงไม่มีจิตที่เที่ยง ยั่งยืน จะมาอยู่สิงในร่างกายของคนอื่นได้ ครับ
อีกอย่างหนึ่ง จิตเมื่อเกิดขึ้น จะต้องมีที่เกิด ซึ่ง เรียกว่า วัตถุ ซึ่งที่เกิดของจิต มี 6 คือ จักขุ (ตา) หู จมูก ลิ้น กาย และ หทยรูป เพราะฉะนั้น การที่จิตอื่นจะมาอยู่ มาสิงในร่างกายคนอื่นจึงไม่ใช่ฐานะ เพราะ จิตของบุคคลอื่น จะมาเกิดในรูปของคนอื่นไม่ได้ต้องเกิดที่รูปของบุคคลนั้นเองเป็นสำคัญ ครับ
หมอเข้าทรงจึงไม่ได้มีอำนาจ แต่กรรมต่างหากมีอำนาจทำให้สัตว์กระเสือกกระสนไปในที่ต่างๆ ในสังสารวัฏฏ์ และพบประสบกับทุกข์ประการต่างๆ การที่เขาเดาเหตุการณ์ถูก หรือรักษาคนป่วยให้หาย จึงไม่น่าอัศจรรย์เลย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เขารักษาหายและไม่ใช่ทุกคนที่เขาเดาเหตุการณ์ถูก แต่เมื่อเราถูกอำนาจของความไม่รู้ของปุถุชนอยู่ ไม่เข้าใจในเรื่องสัจจะที่พระองค์ทรงแสดง ว่าเป็นเรื่องของกรรมของแต่ละบุคคล เราจึงเข้าใจว่าหมอเข้าทรงมีอำนาจวิเศษ ไม่เช่นนั้นหมอที่รักษาคนไข้บางคนที่หายจากอัมพาตก็มีครับ เขาก็ไม่ได้มีความวิเศษหรือเข้าทรงอะไร แต่เพราะอาศัยการรักษาที่ถูกต้อง และที่สำคัญที่สุดคือ กรรมของบุคคลนั้นที่เป็นอกุศลกรรมไม่ให้ผลอีก ก็หายจากโรคนั้นครับ จึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรม และมองตามความเป็นจริงก็จะเข้าใจตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตายแล้ว ไม่ฟื้น ถ้าฟื้น คือ ยังไม่ตาย เพราะตามความเป็นจริงแล้วชีวิต คือความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะ สำหรับในภพนี้ชาตินี้ จิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิจิต และ จิตขณะสุดท้าย คือ จุติจิต เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิต เกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีจิตอื่นคั่น ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นผลของกรรมอะไร กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผล ย่อมทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดในสวรรค์ ในทางตรงกันข้าม ถ้ากรรมชั่วให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือ สัตว์เดรัจฉาน ตามสมควรแก่อกุศลกรรม ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม สังสารวัฏฏ์ยังต้องดำเนินต่อไป มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพ
ธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป เกิดขึ้นเป็นไป
ความตาย เป็นสัจจธรรมที่ทุกคนจะต้องพบ ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว ไหนๆ ก็จะต้องตายอยู่แล้ว ชีวิตที่มีอยู่นี้ ควรจะดำเนินไปอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงาม? จะเห็นได้ว่า ความดีที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวัน นั้น ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และ จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่มีการตาย ไม่ต้องประสบกับทุกข์ใดๆ อีกเลย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ตายแล้วฟื้นไม่มี มีแต่สลบไปเป็นวันๆ ก็ได้ ถ้าตายแล้วต้องเกิดทันที และแล้วแต่กรรมที่จะทำให้เขาไปเกิดที่ไหน สำคัญที่ตอนนี้ยังไม่ตายก็ไม่ควรประมาทในกุศลทั้งหลาย ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ