บทว่า น นิมิตฺตคฺคาหี ความว่า ย่อมไม่ถือเอานิมิตว่า หญิงหรือชาย
หรือนิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสมีสุภนิมิต เป็นต้น ยั้งหยุดอยู่ ในอาการสักว่า
เห็นเท่านั้น บทว่า นานุพฺยญฺชนคฺคาหี ความว่าย่อมไม่ถือเอาอาการ
อันต่างโดยมือ เท้า ศีรษะ และการหัวเราะ การพูด การฉอเลาะ การแล
เหลียวเป็นต้น ซึ่งได้โวหารว่าอนุพยัญชนะเพราะเป็นอนุพยัญชนะ คือ
เป็นเครื่องทำความปรากฏแห่งกิเลสทั้งหลายสิ่งใดเด่นอยู่ในสรีระนั้น ก็ถือ
เอาสิ่งนั้น (เป็นอารมณ์) เหมือนพระมหาติสสเถระผู้อยู่ในเจติยบรรพตฉะนั้น. [ เรื่องพระมหาติสสเถระ ] มีเรื่องเล่าว่า หญิงสะใภ้แห่งตระกูลคนใดคนหนึ่ง ทะเลาะกับสามีตกแต่งและประดับกายเสียสวย ราวกะเทพกัญญา ออกจากอนุราธปุระแต่เช้าตรู่ เดินไปสู่เรือนญาติ ในระหว่างทางได้พบพระมหาติสสเถระนั้นผู้เดินจากเจติยบรรพตมาสู่อนุราธปุระ เพื่อเที่ยวบิณฑบาต เกิดมีจิตวิปลาสหัวเราะดังขึ้น ฝ่ายพระเถระแลดูว่า นี่อะไร กลับได้อสุภสัญญาในฟันของหญิงนั้น แล้วได้บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ (เป็นคาถา) ว่า พระเถระเห็นฟันของหญิงนั้นแล้ว หวนระลึกถึง สัญญาเก่า ท่านยืนอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ได้บรรลุพระอรหัต.
ข้อความบางตอน จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ "ขณะใดที่เห็นแล้ว สนใจ เพลินในนิมิต คือ รูปร่างสัณฐาน และอนุพยัญชนะ คือส่วนละเอียดของสิ่งที่ปรากฏ ให้ทราบว่าขณะนั้น เพราะสีปรากฏ จึงทำให้คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐาน และส่วนละเอียดของสิ่งต่างๆ ขึ้น เมื่อใดที่สติเกิดระลึกรู้และปัญญาเริ่มศึกษาพิจารณา ก็จะเริ่มรู้ว่านิมิตและอนุพยัญชนะทั้งหลาย ซึ่งเป็นสีต่างๆ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น นี่คือปัญญาที่เริ่มเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เมื่อสติเกิดระลึกรู้เนืองๆ บ่อยๆ ก็จะเข้าใจอรรถที่พระผู้มี-พระภาคตรัสว่า ไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะ (ด้วยการอบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง) และเริ่มละคลายอัตตสัญญา ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามขั้นของปัญญาที่เจริญขึ้น"
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ..
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ.... ที่ไม่ถือในนิมิตอนุพยัญชนะ...คืออย่างไร อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง