[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 210
เตรสนิบาตชาดก
๑. อัมพชาดก
ว่าด้วยมนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 60]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 210
เตรสนิบาตชาดก
๑. อัมพชาดก
ว่าด้วยมนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์
[๑๗๒๕] ดูก่อนท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ก่อนท่านได้นำเอาผลมะม่วงทั้งเล็กทั้งใหญ่มาให้เรา ดูก่อนพราหมณ์ บัดนี้ ผลไม้ทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ ด้วยมนต์เหล่านั้นของท่านเลย.
[๑๗๒๖] ข้าพระบาทกำลังคำนวณคลองแห่งนักขัตฤกษ์ จนเห็นขณะและครู่ด้วยมนต์ก่อน ครั้นได้ฤกษ์และยามดีแล้ว จักนำผลมะม่วงเป็นอันมากมาถวายพระองค์เป็นแน่.
[๑๗๒๗] แต่ก่อน ท่านไม่ได้พูดถึงคลองแห่งนักขัตฤกษ์ ไม่ได้เอ่ยถึงขณะและครู่ ทันใดนั้น ท่านก็นำเอาผลมะม่วงเป็นอันมากอันประกอบด้วยสีกลิ่นและรสมาให้เราได้.
[๑๗๒๘] ดูก่อนพราหมณ์ แม้เมื่อก่อน ผลไม้ทั้งหลายย่อมปรากฏด้วยการร่ายมนต์ของท่าน วันนี้ แม้ท่านจะร่ายมนต์ก็ไม่อาจให้สำเร็จได้ วันนี้ สภาพของท่านเป็นอย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 211
[๑๗๒๙] บุตรแห่งคนจัณฑาล ได้บอกมนต์ให้แก่ข้าพระบาทโดยธรรม และได้สั่งกำชับข้าพระบาทว่า ถ้ามีใครมาถามถึงชื่อและโคตรของเราแล้ว เจ้าอย่าปกปิด มนต์ทั้งหลายก็จะไม่ละเจ้า.
[๑๗๓๐] ข้าพระบาทนั้น ครั้นพระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชนถามถึงอาจารย์ อันความลบหลู่ครอบงำแล้ว ได้กราบทูลเท็จว่า มนต์เหล่านี้เป็นของพราหมณ์ ข้าพระบาทจึงเป็นผู้เสื่อมมนต์ เป็นเหมือนคนกำพร้าร้องไห้อยู่.
[๑๗๓๑] บุรุษต้องการน้ำหวาน จะพึงได้น้ำหวานจากต้นไม้ใด จะเป็นต้นละหุ่งก็ตาม ต้นสะเดาก็ตาม ต้นทองหลางก็ตาม ต้นไม้นั้นแล เป็นต้นไม้สูงสุดของบุรุษนั้น.
[๑๗๓๒] บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมจากผู้ใด เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม เป็นแพศย์ก็ตาม เป็นศูทรก็ตาม เป็นคนจัณฑาลก็ตาม คนเทหยากเยื่อก็ตาม ผู้นั้นก็จัดเป็นคนสูงสุดของบุรุษนั้น.
[๑๗๓๓] ท่านทั้งหลายจงลงอาชญาและเฆี่ยนตีมาณพผู้นี้ แล้วจับมาณพลามกผู้นี้ไสคอออกไปเสีย มาณพใดได้ประโยชน์อย่างสูงสุดด้วยความยากเข็ญ ท่านทั้งหลายจงยังมาณพนั้นให้พินาศ เพราะความเย่อหยิ่งจองหอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 212
[๑๗๓๔] บุคคลผู้สำคัญว่าที่เสมอ พึงตกบ่อ ถ้ำ เหวหรือหลุมที่มีรากไม้ผุ ฉันใด อนึ่ง บุคคลตาบอดเมื่อสำคัญว่า เชือกพึงเหยียบงูเห่า พึงเหยียบไฟ ฉันใด ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญา ท่านทราบว่าข้าพเจ้าพลาดไปแล้ว ก็ฉันนั้น ขอจงให้มนต์แก่ข้าพเจ้า ผู้มีมนต์อันเสื่อมแล้วอีกสักครั้งหนึ่งเถิด.
[๑๗๓๕] เราได้ให้มนต์แก่ท่านโดยธรรม ฝ่ายท่านก็ได้เรียนมนต์โดยธรรม หากว่าท่านมีใจดีรักษาปกติไว้ มนต์ก็จะไม่พึงละทิ้งท่าน ผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
[๑๗๓๖] ดูก่อนคนพาล มนต์อันใดที่จะพึงได้ในมนุษยโลก มนต์อันนั้นท่านก็จะได้ในวันนี้โดยลำบาก ท่านผู้ไม่มีปัญญากล่าวคำเท็จ ทำมนต์อันมีค่าเสมอด้วยชีวิตที่ได้โดยยาก ให้เสื่อมเสียแล้ว.
[๑๗๓๗] เราจะไม่ให้มนต์เช่นนั้น แก่เจ้าผู้เป็นพาล หลงงมงาย อกตัญญู พูดเท็จ ไม่มีความสำรวม มนต์ที่ไหน ไปเสียเถิด เราไม่พอใจ.
จบอัมพชาดกที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 213
อรรถกถาเตรสนิบาต
๑. อัมพชาดก
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพระเทวทัต ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "อาหาสิ เม อมฺพผลานิ ปุพฺเพ" ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมมิใช่อาจารย์ มิใช่พระอุปัชฌาย์ของเรา เลยเสื่อมจากฌาน ทำลายสงฆ์ กำลังมาสู่กรุงสาวัตถีโดยลำดับ เมื่อแผ่นดินให้ช่องเข้าไปอเวจีมหานรก ภายนอกพระวิหารพระเชตวัน ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์เสียถึงความพินาศใหญ่ บังเกิดในอเวจีมหานรก พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตก็บอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความพินาศใหญ่แล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี ตระกูลแห่งปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้น พินาศไปด้วยอหิวาตกโรค
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 214
บุตรชายคนหนึ่งทำลายฝาเรือนหนีไปได้ เขาไปกรุงตักกศิลา เรียนไตรเพทและศิลปะที่เหลือในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ กราบลาอาจารย์ เมื่อจะออกไปคิดว่า เราต้องรู้จักขนบธรรมเนียมของประเทศ จึงเที่ยวไปถึงเมืองชายแดนเมืองหนึ่ง หมู่บ้านจัณฑาลหมู่ใหญ่ ได้อาศัยเมืองนั้นอยู่ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์อาศัยบ้านนั้นอยู่ เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด รู้มนต์ที่จะทำให้มะม่วงมีผลในเวลามิใช่ฤดูกาลได้ ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ คว้าหาบออกไปจากบ้านนั้น เข้าไปใกล้ต้นมะม่วงต้นหนึ่งในป่า หยุดยืนอยู่ในระยะที่สุด ๗ ก้าว ร่ายมนต์นั้น สาดต้นมะม่วงด้วยน้ำซองมือหนึ่ง ในขณะนั้นนั่นเอง ใบแก่ๆ ก็ร่วงหล่นลงจากต้น แตกใบอ่อน ออกดอกแล้วร่วงลง ผลมะม่วงก็มีขึ้น โดยครู่เดียวเท่านั้นก็สุก มีโอชาหวานเช่นเดียวกับมะม่วงทิพย์ แล้วก็หล่นจากต้น พระมหาสัตว์เก็บผลเหล่านั้น เคี้ยวกินจนพอความต้องการ เก็บจนเต็มหาบไปสู่เรือน ขายมะม่วงเหล่านั้นเลี้ยงลูกเมีย พราหมณ์กุมารนั้นเห็นพระมหาสัตว์ ผู้นำผลมะม่วงมาในเวลามิใช่ฤดูกาลมาขาย จึงคิดว่า ไม่ต้องสงสัยละ อันผลมะม่วงเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นด้วยกำลังของมนต์ อาศัยบุรุษนี้เราจักได้มนต์อันหาค่ามิได้นี้ คอยกำหนดจับลู่ทางที่พระมหาสัตว์นำผลมะม่วงมา ก็รู้แน่นอน เมื่อท่านยังไม่มาจากป่า ได้ไปสู่เรือนของท่าน เป็นเหมือนไม่รู้ ถามภรรยาของท่านว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ครั้นภรรยาท่านตอบว่า ไปป่า จึงยืนรอท่านอยู่ พอเห็นท่านมาก็ต้อนรับ รับหาบจากมือนำมาวางไว้ในเรือน.
พระโพธิสัตว์มองดูเขา กล่าวกะภรรยาว่า นางผู้เจริญ มาณพนี้มาเพื่อต้องการมนต์ แต่มนต์จะไม่ตั้งอยู่ในกำมือเขาได้ เพราะเขาเป็นอสัตบุรุษ ฝ่ายมาณพคิดว่า เราต้องบำเพ็ญอุปการะแก่อาจารย์จึงจะได้มนต์นี้ ตั้งแต่นั้นมา กระทำกิจทุกอย่างในเรือนของท่าน หาฟืน ซ้อมข้าว หุงข้าว ให้น้ำล้างหน้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 215
เป็นต้น ล้างเท้า วันหนึ่ง เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวว่า พ่อมาณพ เธอจงให้เครื่องหนุนเท้าเตียงเถิด เขามองไม่เห็นสิ่งอื่น ก็เลยเอาเท้าเตียงวางบนขานั่งอยู่ตลอดราตรี ครั้นกาลต่อมา ภรรยาของพระมหาสัตว์คลอดบุตร ได้กระทำบริกรรมในเวลาคลอดบุตรแก่นาง วันหนึ่ง นางจึงกล่าวแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่นาย มาณพนี้แม้จะสมบูรณ์ด้วยชาติ ก็ยังยอมกระทำการช่วยเหลือเรา ด้วยต้องการมนต์ ขอมนต์จงตั้งอยู่ในกำมือของเขาหรืออย่าตั้งอยู่ก็ตามเถิด ท่านโปรดให้มนต์แก่เขาเถิด ท่านรับคำว่า ดีละ แล้วให้มนต์แก่เขา กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย มนต์หาค่ามิได้ ลาภสักการะอันใหญ่หลวงจักมีแก่เจ้าเพราะอาศัยมนต์นี้ ในเวลาที่เจ้าถูกพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชาถามว่า ใครเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าอย่าข่มเราเสียนะ ถ้าหากเจ้าอดสูว่าคนจัณฑาลเป็นอาจารย์ของเรา เราเรียนมนต์จากสำนักของคนจัณฑาลนั้น จักกล่าวเสียว่า พราหมณ์ผู้มหาศาล เป็นอาจารย์ของเราไซร้ ผลของมนต์นี้จักไม่มีเลย เขากล่าวว่า เหตุไรผมจักต้องข่มขี่เล่า ในเวลาที่ใครๆ ถาม ผมต้องบอกอ้างท่านเท่านั้น แล้วกราบลาท่านออกไปจากบ้านคนจัณฑาล ทดลองมนต์แล้ว บรรลุถึงกรุงพาราณสีโดยลำดับ ขายมะม่วงได้ทรัพย์มาก.
ครั้นวันหนึ่งนายอุทยานบาลซื้อมะม่วงจากมือของเขาถวายแด่พระราชา พระราชาเสวยมะม่วงนั้นแล้ว ตรัสถามว่า น่าอัศจรรย์ อร่อยอย่างยิ่ง เจ้าไปได้มะม่วงชนิดนี้มาจากไหนละ เขากราบทูลว่า ขอเดชะใต้ฝ่าพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม มาณพผู้หนึ่งนำผลมะม่วงทะวายมาขาย ข้าพระพุทธเจ้าถือเอาจากมาณพนั้น พระเจ้าข้า ทรงรับสั่งว่า จงบอกเขาว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป จงนำผลมะม่วงมา ณ ที่นี้ แม้นายอุทยานบาลนั้นก็กระทำตามที่รับสั่งนั้น ตั้งแต่นั้นมา มาณพก็นำผลมะม่วงทั้งหลายไปสู่ราชสกุล เมื่อได้รับสั่งว่า เจ้าจงบำรุงเราเถิด ก็บำรุงพระราชา ได้รับทรัพย์เป็นอันมาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 216
ค่อยคุ้นเคยโดยลำดับ ครั้นวันหนึ่ง พระราชาตรัสถามเขาว่า มาณพ เจ้านำมะม่วงอันสมบูรณ์ด้วยกลิ่นและรสเห็นปานนี้ ในสมัยมิใช่ฤดูกาลมาจากไหน นาคครุฑหรือเทพเจ้าองค์ใดให้แก่เจ้า หรือไฉน หรือว่าทั้งนี้เป็นกำลังแห่งมนต์ เขากราบทูลว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ใครๆ มิได้ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า แต่มนต์อันหาค่ามิได้ของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่ นี้เป็นกำลังแห่งมนต์นั้นพระเจ้าข้า ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะขอดูกำลังมนต์ของเจ้าสักวันหนึ่ง เขากราบทูลว่า ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าจักแสดงถวายพระเจ้าข้า.
วันรุ่งขึ้นพระราชาเสด็จไปสู่พระอุทยานกับเขา ตรัสว่า เจ้าจงแสดงเถิด เขารับพระดำรัสว่า สาธุ เดินเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง ยืนในระยะ ๗ ก้าว ร่ายมนต์วักน้ำสาดต้น ทันใดนั้นเอง ต้นมะม่วงก็เผล็ดผลโดยนิยมดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ ฝน คือผลมะม่วงร่วงพรั่งพรู เป็นดังมหาเมฆหลั่งกระแสฝน มหาชนพากันให้สาธุการ แผ่นผ้าได้ถูกชูขึ้นสลอนไป พระราชาทรงเสวยผลมะม่วง ประทานทรัพย์เป็นอันมากแก่เขา แล้วตรัสถามว่า มาณพ มนต์อันเป็นอัศจรรย์ของเจ้าเช่นนี้ เจ้าเรียนในสำนักของใคร มาณพคิดว่า ถ้าเราจักทูลว่า ในสำนักคนจัณฑาล จักต้องมีความอดสู และคนทั้งหลายจักติเตียนได้ อย่ากระนั้นเลย มนต์ของเราคล่องแคล่วแม่นยำ คงไม่เสื่อมหายไปในบัดนี้ดอก เราจักอ้างอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แล้วกระทำมุสาวาท กล่าวว่า ข้าพระพุทธเจ้าเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกศิลา พระเจ้าข้า เป็นอันบอกคืนอาจารย์เสีย ทันใดนั่นเองมนต์ก็เสื่อม พระราชาทรงโสมนัส ทรงชวนเขาเข้าสู่พระนคร วันรุ่งขึ้นทรงพระดำริว่า เราจักกิน มะม่วง จึงเสด็จสู่อุทยาน ประทับนั่งเหนือแผ่นศิลาอันเป็นมงคล ตรัสว่า มาณพ เจ้าจงนำมะม่วงมาเถิด เขารับพระดำรัสว่า สาธุ แล้วเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง ยืนในระยะ ๗ ก้าว คิดว่า เราจักร่ายมนต์ ครั้นมนต์ไม่ปรากฏ ก็ทราบว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 217
เสื่อมเสียแล้ว ยืนอดสูใจอยู่ พระราชาทรงพระดำริว่า วันก่อน มาณพนี้นำผลมะม่วงมาให้เราในท่ามกลางบริษัททีเดียว ให้ฝน คือผลมะม่วงร่วงหล่นพรั่งพรูเหมือนฝนลูกเห็บตก บัดนี้ ยืนเหมือนแข็งทื่อ เหตุอะไรกันเล่าหนอ เมื่อจะทรงถามเขาจึงตรัสพระคาถาว่า.
"ดูก่อนท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อก่อนท่านได้นำผลมะม่วงทั้งเล็กทั้งใหญ่มาให้เรา ดูก่อนพราหมณ์ บัดนี้ ผลไม้ทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏด้วยมนต์เหล่านั้นของท่านเลย".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาหาสิ แปลว่า นำมาแล้ว.
บทว่า ทุมปฺผลานิ แปลว่า ผลแห่งต้นไม้.
มาณพฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า ถ้าเราจักทูลว่า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าจักถือเอาผลไม้มาถวายมิได้ พระราชาจักกริ้วเรา เราจักลวงพระองค์ด้วยมุสาวาทจึงทูลคาถาที่ ๒ ว่า.
"ข้าพระบาทกำลังคำนวณคลองแห่งนักขัตฤกษ์ จนเห็นขณะและครู่ ด้วยมนต์ก่อน ครั้นได้ฤกษ์และยามดีแล้ว จักนำผลมะม่วงเป็นอันมากมาถวายพระองค์เป็นแน่".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทฺธา หริสฺสํ อมฺพผลํ ความว่า เราจักนำผลมะม่วงมาแน่แท้.
พระราชาทรงพระดำริว่า มาณพนี้ ในเวลาอื่นไม่พูดถึงคลองแห่งนักขัตฤกษ์เลย นี้มันเรื่องอะไรกันเล่า เมื่อจะตรัสถาม ได้ทรงภาษิตคาถา ๒ คาถาว่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 218
"เมื่อก่อน ท่านไม่ได้พูดถึงคลองแห่งนักขัตฤกษ์ ได้เอ่ยถึงขณะแลครู่ ทันใดนั้น ท่านก็นำเอาผลมะม่วงเป็นอันมาก อันประกอบด้วยสี กลิ่นและรส มาให้เราได้".
"ดูก่อนพราหมณ์ แม้เมื่อก่อนผลไม้ทั้งหลาย ย่อมปรากฏด้วยร่ายมนต์ของท่าน วันนี้แม้ท่านจะร่ายมนต์ก็ไม่อาจให้สำเร็จได้ วันนี้สภาพของท่านเป็นอย่างไร".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น วาเทสิ แปลว่า ย่อมไม่อาจ.
บทว่า ชปฺปมฺปิ ความว่า ท่านจะท่องบ่นก็ดี จะร่ายมนต์ก็ดี.
บทว่า อยํ โส ความว่า สภาพของท่านนี้นั้น เป็นอย่างไรในวันนี้.
มาณพฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า เราไม่อาจจะลวงพระราชาด้วยมุสาวาท แม้ว่าเราสารภาพความจริงแล้ว พระองค์คงไม่ลงพระราชอาญา เราต้องสารภาพความจริงเสียเถอะ ดังนี้แล้ว จึงกราบทูล ๒ คาถาว่า.
"บุตรของคนจัณฑาล ได้บอกมนต์ให้ข้าพระบาทโดยธรรม และได้สั่งกำชับข้าพระบาทว่า ถ้ามีใครมาถามถึงชื่อและโคตรของเราแล้ว เจ้าอย่าปกปิด มนต์ทั้งหลายก็จะไม่ละเจ้า".
"ข้าพระบาทนั้น ครั้นพระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชนถามถึงอาจารย์ อันความลบหลู่ครอบงำแล้ว ได้กราบทูลเท็จว่า มนต์เหล่านี้เป็นของพราหมณ์ ข้าพระบาทจึงเป็นผู้เสื่อมมนต์ เป็นเหมือนกำพร้าร้องไห้อยู่".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 219
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ความว่า ได้ให้มนต์โดยธรรมสม่ำเสมอ โดยเหตุ โดยไม่ปกปิดเลย.
บทว่า ปกติญฺจ สํสิ ความว่า บุตรของคนจัณฑาลได้กำชับถึงความเสื่อมและความปกติแห่งมนต์เหล่านั้นแก่เขาว่า ถ้าใครๆ มาถามถึงนามและโคตรของเรา เจ้าอย่าปกปิด ถ้าปกปิด มนต์ของเจ้าจักเสื่อม.
บทว่า พฺราหฺมณสฺส มิจฺฉา ความว่า ข้าพระองค์ได้บอกผิดไปว่า ข้าพระองค์ได้เรียนมาจากสำนักของพราหมณ์ เพราะฉะนั้น มนต์ทั้งหลายของข้าพระองค์จึงเสื่อม ข้าพระองค์นั้น มีมนต์อันเสื่อมแล้ว บัดนี้ย่อมร้องไห้เหมือนคนกำพร้า.
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงกริ้วว่า เจ้านี่ลามกมองไม่เห็นรัตนะเห็นปานนี้ เมื่อได้รัตนะอันสูงสุดเช่นนี้แล้ว เรื่องชาติจักกระทำอะไรให้ได้ เมื่อทรงติเตียนเขา จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า.
"บุรุษต้องการน้ำหวาน จะพึงได้น้ำหวานจากต้นไม้ใด จะเป็นต้นละหุ่งก็ตาม ต้นสะเดาก็ตาม ต้นทองหลางก็ตาม ต้นไม้นั่นแล เป็นต้นไม้สูงสุดของบุรุษนั้น".
"บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมจากผู้ใด เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นแพทย์ก็ตาม เป็นศูทรก็ตาม เป็นคนจัณฑาลก็ตาม คนเทหยากเยื่อก็ตาม ผู้นั้นก็จัดเป็นคนสูงสุดของบุรุษนั้น".
"ท่านทั้งหลายจงลงอาชญาและเฆี่ยนตีมาณพผู้นี้ แล้วจับมาณพลามกผู้นี้ ไสคอออกไปเสีย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 220
มาณพใด ได้ประโยชน์อย่างสูงสุดด้วยความยากเข็ญ ท่านทั้งหลายจงยังมาณพนั้น ให้พินาศเพราะความเย่อหยิ่ง จองหอง".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มธุตฺถิโก ความว่า บุรุษผู้ต้องการด้วยน้ำหวาน ตรวจดูน้ำหวานในป่า ย่อมได้น้ำหวานของต้นไม้นั้น จากที่ใด ต้นไม้นั้นแล จัดว่าเป็นต้นไม้สูงสุดสำหรับผู้นั้น นรชนพึงรู้ธรรม คือเหตุประโยชน์ที่ควรจากบุรุษใด ในบรรดากษัตริย์เป็นต้น เหมือนอย่างนั้น บุรุษนั้นจัดว่าเป็นผู้สูงสุดของนรชนนั้น.
บทว่า อิมสฺส ทณฺฑญฺจ ความว่า ท่านทั้งหลายจงเพิกหนังหลังของบุรุษผู้มีธรรมอันลามกนี้ด้วยชิ้นไม้ไผ่ สำหรับเฆี่ยนและลงอาชญาทุกอย่าง แล้วจับคอบุรุษผู้ลามกนี้ขับไสไปเสีย ลงโทษตามอำเภอใจแล้วขับไล่ไปเสีย จะประโยชน์อะไรด้วยบุรุษนี้ผู้อยู่ในที่นี้.
พวกราชบุรุษพากันทำตามพระราชบัญชาอย่างนั้น พากันกล่าวว่า เจ้าไปเถิด เจ้าไปสู่สำนักอาจารย์ของเจ้า ทำให้อาจารย์ของเจ้าชื่นชมได้แล้ว ถ้าเจ้าจักได้มนต์อีก ค่อยมาในที่นี้ ถ้าไม่ได้ ก็อย่ามองดูทิศนี้เลย ได้กระทำเขาให้หมดอำนาจทีเดียว เขาหมดที่พึ่ง คิดว่า เว้นอาจารย์แล้ว ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี เราต้องไปหาท่าน ทำให้ท่านชื่นชม ขอเรียนมนต์นั้นอีกจนได้ ร้องไห้พลางเดินไปสู่บ้านนั้น ครั้งนั้น พระมหาสัตว์เห็นเขาเดินมา ก็เรียกภรรยามา กล่าวว่า นางผู้เจริญ เชิญดูซิ เจ้านี่ชั่วช้า มนต์เสื่อมหมดแล้ว กำลังกลับมา เขาไปหาพระมหาสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ถูกท่านถามว่า เหตุไรเล่าเจ้าจึงมา จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ผมทำมุสาวาทบอกคืนท่านอาจารย์เสีย ถึงความฉิบหายใหญ่โต เมื่อจะแสดงโทษที่ล่วงเกินแล้ว ขอเรียนมนต์ใหม่ จึงกล่าวคาถาว่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 221
"บุคคลผู้สำคัญว่าที่เสมอ พึงตกบ่อ ถ้ำ เหวหรือหลุมที่มีรากไม้ผุ ฉันใด อนึ่ง บุคคลตาบอด เมื่อสำคัญว่าเชือก พึงเหยียบงูเห่า พึงเหยียบไฟ ฉันใด ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญา ท่านทราบว่าข้าพเจ้าพลาดไปแล้ว ฉันนั้น ขอจงให้มนต์แก่ข้าพเจ้า ผู้มีมนต์อันเสื่อมแล้ว อีกสักครั้งหนึ่งเถิด".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา สมํ ความว่า บุรุษสำคัญว่า ที่นี้เป็นที่สม่ำเสมอ พึงตกไปสู่บ่อ ถ้ำ เหว กล่าวคือ ที่พลาดจากพื้นหรือรากไม้ผุ.
บทว่า ปูติปาทํ ความว่า ต้นไม้ใหญ่ในหิมวันตประเทศแห้งตาย เมื่อรากทั้งหลายของต้นไม้ใหญ่นั้นเกิดเปื่อยเน่า ในที่นั้นย่อมเป็นบ่อใหญ่ นี้เป็นสถานที่ชื่อของบ่อใหญ่นั้น.
บทว่า โชติมธิฏฺเหยฺย ความว่า พึงเหยียบไฟ.
บทว่า เอวํปิ ความว่า แม้เราก็ฉันนั้น เป็นผู้บอดเพราะไม่มีจักษุ คือปัญญา ไม่รู้คุณวิเศษของท่าน พลั้งพลาดในท่าน ท่านรู้เรานั้นว่าเป็นผู้พลั้งพลาด.
บทว่า สปญฺา ความว่า ดูก่อนท่านผู้สมบูรณ์ด้วยญาณ จงให้มนต์แก่ข้าพเจ้า ผู้เสื่อมมนต์อีก.
ลำดับนั้น อาจารย์กล่าวกะเขาว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าพูดอะไร ธรรมดาว่า คนบอด เมื่อมีผู้ให้สัญญาแล้ว ย่อมหลบหลีกบ่อเป็นต้นได้ เราเล่าก็บอกเจ้าแล้วแต่แรกทีเดียว คราวนี้เจ้าจะมาหาเราเพื่อประโยชน์อะไรเล่า แล้วกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า.
"เราได้ให้มนต์แก่ท่านโดยธรรม ฝ่ายท่านก็ได้เรียนมนต์โดยธรรม หากว่าท่านมีใจดีรักษาปกติไว้ มนต์ก็จะไม่พึงละทิ้งท่านผู้ตั้งอยู่ในธรรม".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้า 222
"ดูก่อนคนพาล มนต์อันใดที่จะพึงได้ในมนุษยโลก มนต์อันนั้นท่านก็จะได้ในวันนี้โดยลำบาก ท่านผู้ไม่มีปัญญา กล่าวคำเท็จ ทำมนต์อันมีค่าเสมอด้วยชีวิต ที่ได้มาโดยยากให้เสื่อมเสียแล้ว".
"เราจะไม่ให้มนต์เช่นนั้นแก่เจ้า ผู้เป็นพาล หลงงมงาย อกตัญญู พูดเท็จ ไม่มีความสำรวม มนต์ที่ไหน ไปเสียเถิด เราไม่พอใจ".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ความว่า แม้เราก็ไม่รับเงินหรือทองอันเป็นส่วนของอาจารย์ ยินยอมมอบให้แก่ท่านโดยธรรมแท้ทีเดียว แม้เจ้าเล่าก็มิได้ให้อะไร ย่อมรับเอาโดยธรรม โดยเสมอดุจกัน.
บทว่า ธมฺเม ฐิตํ ได้แก่ ตั้งอยู่ในธรรมของบุคคลผู้บูชาอาจารย์.
บทว่า ตาทิสเก ความว่า เราไม่ยอมให้มนต์เห็นปานนั้น คือที่จะให้มะม่วงมีผลในเวลามิใช่ฤดูกาล เจ้าจงไป เจ้าไม่ถูกใจข้าเลย เขาถูกอาจารย์ตะเพิดอย่างนี้ คิดว่า เราจะอยู่ไปทำไม ดังนี้เข้าไปสู่ป่า ตายอย่างน่าอนาถ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตก็บอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงแล้ว ดังนี้แล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า มาณพอกตัญญูในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต พระราชา ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนบุตรคนจัณฑาล คือเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาอัมพชาดก