ควรทราบว่าผู้ที่จะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ บุคคลนั้นต้องอบรมเจริญปัญญา
จนบรรลุเป็นพระอริยบุคคล คือโลกุตตรจิตเกิดขึ้นจึงมีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มที่ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์หมายความว่าอย่างไร
ขอเรียนถามว่า
ปุถุชน เจริญอุปสมานุสติ ได้หรือไม่
ขออนุโมทนาครับ
ปุถุชนที่มีการศึกษาพระธรรมโดยละเอียด โดยเฉพาะคุณของพระนิพพาน
เขาย่อมน้อมระลึกคุณของพระนิพพานตามที่ได้ศึกษามา การระลึกถึงคุณของพระนิพพาน เรียกว่า อุปสมานุสสติ แต่จิตสงบไม่ถึงอัปปนาสมาธิครับ
สาธุ
ขออนุญาตเรียนถามว่า
ในขณะที่ ปุถุชนที่กำลังระลึกถึงคุณของพระนิพพานอยู่
ชื่อว่า มีพระนิพพานเป็นอารมณ์หรือไม่
การระลึกถึงคุณของพระนิพพาน กับการมีพระนิพพานเป็นอารมณ์
มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
(ในเวลาที่ถามนี้ ผมเข้าใจว่า การระลึกถึงคุณของพระนิพพาน
เป็นรูปแบบหนึ่งของการมีพระนิพพานเป็นอารมณ์)
ขออนุโมทนาครับ
ขอร่วมสนทนา ไม่ใช่คำตอบนะคะคุณ suwit02
โดยส่วนตัวคิดว่า การระลึกถึงคุณของพระนิพพาน
ต่างกับการมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ด้วยเหตุผลว่า
การระลึกถึง อาจเป็นได้หลายระดับ ตั้งแต่เพียง คิดนึกเรื่องคุณของพระนิพพาน
ระลึกถึง เพราะเข้าใจในคุณจากการได้ฟังได้ศึกษาและไตร่ตรองตามด้วยเหตุผล
แต่ยังไม่ได้ประจักษ์หรือว่ามีพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ
อันนี้หมายถึงปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งรวมถึงตัวเองด้วยค่ะ
ตามความเข้าใจจึงคิดว่า การระลึกถึง การคิดถึง ไม่น่าใช่ การมีพระนิพพานเป็นอารมณ์
เพราะสติปัญญาจะต้องคมกล้าแทงตลอดจริงๆ จึงจะพ้นจากความเป็นปุถุชน
ละสักกายทิฏฐิ ประจักษ์พระนิพพานแต่ละขั้นไปตามลำดับ
ฉะนั้น ตามหลักตามเหตุผล ผู้จะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ ต้องได้มรรคจิต ผลจิต
เป็นพระอริยบุคคล นับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป (โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล)
ถ้าตนเองเข้าใจผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยอย่างมากด้วยค่ะ
ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาความเห็นที่ ๕ ครับ
การระลึกถึงคุณของพระนิพพาน กับการมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ต่างกัน
สาธุ