เหมือนโดนบังคับให้ช่วยทำ เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ครับ พูดกับใครก็ไม่ได้ แบบนี้จะมีผลกรรมอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การพิจารณาธรรมก็ต้องเป็นไปทีละขณะจิต ขณะที่ไม่อยากทำ ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง แต่ ขณะใดที่ทำกรรมไม่ดี ก็ต้องเป็นอีกขณะหนึ่ง ซึ่ง กรรมไม่ดี เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมจึงเป็นเรื่องตรงตั้งแต่ต้น หากมีเหตุปัจจัยให้กรรมไม่ดีให้ผล ก็ต้องได้รับผลของกรรม ตามประเภทของกรรมที่ทำไว้ สัตว์โลกจึงเป็นไปตามกรรม ครับ สมดังที่พระพทธเจ้าตรัสไว้ว่า
[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ 168
คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี ส่วนคนทำเหตุชั่วย่อมได้ผลชั่ว
กรรม ย่อมยุติธรรมเสมอ เมื่อบุคคลหว่านพืช ชนิดใด ก็ย่อมได้พืช ต้นไม้ ชนิดนั้นเมื่อปลูกอ้อย ผลที่ได้ ก็ต้องเป็นอ้อย ไม่ใช่ข้าว ดังนั้น ผู้ที่ทำเหตุที่ดี คือ กุศลกรรมผลที่ได้ คือ วิบากที่ดี คือ กุศลวิบาก มีการเกิดในภพภูมิที่ดี เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี เป็นต้น จะไม่ให้ผลเป็นวิบากไม่ดี ไม่ได้เลย หว่านพืชเช่นไร ย่อมให้ผลเช่นนั้น และเมื่อบุคคล ทำอกุศลกรรม ทำเหตุที่ไมดี่ ผลที่ไม่ดี ก็ย่อมเกิดขึ้น คือ เกิดในภพภูมิที่ไม่ดี มี นรก เป็นต้น และทำให้เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี เพราะ อกุศลกรรม คือ เหตุที่ไม่ดีเป็นปัจจัย อกุศลกรรม จะให้ผลเป็นความสุข สิ่งที่ดีไม่ได้เลย เพราะหว่านพืชเช่นไร ย่อมให้ผลเช่นนั้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การกระทำกรรมดี และ กรรมชั่ว นั้น เป็นการสร้างเหตุใหม่ เมื่อกรรมถึงคราวที่จะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้น (เหตุ ย่อมสมควรแก่ผล) ถ้าเป็นผลของกรรมดี ย่อมทำให้ได้รับในสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของกรรมชั่ว ย่อมทำให้ได้รับในสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ดังนั้น กรรมดี เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้ ส่วนกรรมชั่ว พึ่งไม่ได้เลยทีเดียว มีแต่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัย เท่านั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไปแล้ว สิ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ ต้องยืนหยัด มั่นคงที่จะไม่ทำในสิ่งที่ผิด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม และ การช่วยคนอื่น ต้องไม่ใช่ด้วยการทำชั่ว แต่ต้องเป็นการทำดี ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ