[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 535
๑๔. เอกราชจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าเอกราช
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 535
๑๔. เอกราชจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าเอกราช
[๓๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชา ปรากฏพระนามว่าเอกราช ในกาลนั้น เราอธิษฐานศีลอันบริสุทธิ์ยิ่ง ปกครองแผ่นดินใหญ่ สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ประพฤติโดยไม่มีเศษ สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทในประโยชน์โลกนี้และโลกหน้าด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าโกศลพระนามว่า ทัพพเสนะ ยกกองทัพมาชิงเอาพระนครเราได้ ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบท ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม เราเห็นพระเจ้าทัพพเสนะกับหมู่อำมาตย์ ชิงเอา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 536
ราชสมบัติอันมั่งคั่งภายในพระนครของเรา เหมือนบุตรสุดที่รักฉะนั้น ผู้เสมอด้วยเมตตาของเราไม่มี นี้เป็นเมตตาบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบ เอกราชจริยาที่ ๑๔
อรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔ ดังต่อไปนี้.
บทว่า เอกราชาติ วิสฺสุโต คือปรากฏในพื้นชมพูทวีปโดยพระนามที่กำหนดไว้นี้ว่า เอกราช.
ในครั้งนั้น พระมหาสัตว์ทรงอุบัติเป็นโอรสพระเจ้ากรุงพาราณสี. ครั้นทรงเจริญวัยถึงความสำเร็จศิลปะทุกแขนง ครั้นพระบิดาสวรรคต จึงครองราชสมบัติมีพระนามประกาศว่า เอกราช เพราะทรงบำเพ็ญบารมีด้วยการประกอบคุณวิเศษอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น มีศีล อาจาระ ศรัทธาและสุตะ อันเป็นกุศลเป็นต้น และด้วยความเป็นหัวหน้าเพราะไม่มีใครเป็นที่สองในพื้นชมพูทวีป.
บทว่า ปรมํ สีลํ อธิฏฺาย คืออธิษฐานศีล อันได้แก่กุศลกรรมบถ ๑๐ อันบริสุทธิ์สูงสุด กล่าวคือสำรวมทางกาย ทางวาจาบริสุทธิ์ด้วยดี และประพฤติชอบทางใจบริสุทธิ์ด้วยดี ด้วยการสมาทานและ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 537
ด้วยการไม่ก้าวล่วง.
บทว่า ปสาสามิ มหามหึ ความว่า ปกครองแผ่นดินใหญ่ คือครองราชสมบัติในแคว้นกาสีประมาณ ๓๐๐ โยชน์.
บทว่า ทสกุสลกมฺมปเถ คือสมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ มีการเว้นจากการฆ่าสัตว์ จนถึงเห็นชอบ หรือประพฤติกุศลกรรมเหล่านั้นไม่มีส่วนเหลือ.
บทว่า จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ความว่า ในกาลเมื่อเราปรากฏชื่อว่า เอกราช สงเคราะห์มหาชนด้วยธรรมเป็นเหตุสงเคราะห์ คือ สังคหวัตถุ ๔ เหล่านี้ ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อรรถจริยา สมานัตตตา.
บทว่า เอวํ คือเมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยอาการนี้ตามที่กล่าวแล้ว คือการยังศีลคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์ การสงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔.
บทว่า อิธ โลเก ปรตฺถ จ ความว่า เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท คือมีสติในประโยชน์ปัจจุบันและโลกหน้า.
บทว่า ทพฺพเสโน ได้แก่พระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสนะ.
บทว่า อุปคนฺตฺวา ความว่า พระเจ้าโกศลเข้าไปชิงราชสมบัติของเราด้วยการยกกองทัพ ๔ เหล่ามาครอบครอง.
บทว่า อจฺฉินฺทนฺโต ปุรํ มม คือยึดกรุงพาราณสีของเราด้วยกำลัง.
ในบทนั้นมีเรื่องราวตามลำดับดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระมหาสัตว์ทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่พระทวาร ๔ ด้านของพระนคร ท่ามกลางพระนคร ๑ ที่ประตูพระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 538
นิเวศน์ ๑ ทรงให้ทานแก่คนยากจนและคนเดินทางเป็นต้น. ทรงรักษาศีล ทรงรักษาอุโบสถ ทรงถึงพร้อมด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดู ทรงยินดีสรรพสัตว์ดุจมารดาบิดายินดีบุตรที่นั่งบนตัก ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม. อำมาตย์ของพระองค์คนหนึ่งคิดขบถภายในพระนครปรากฏขึ้นในภายหลัง. พวกอำมาตย์พากันกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงคอยสังเกต ทรงรู้ชัดด้วยพระองค์ จึงตรัสให้เรียกอำมาตย์นั้นมารับสั่งว่า อ้ายคนอันธพาล เจ้าทำกรรมไม่สมควร เจ้าไม่ควรอยู่ในแว่นแคว้นของเรา จงถือเอาทรัพย์และพาลูกเมียไปอยู่ที่อื่น แล้วทรงขับไล่ออกจากแว่นแคว้น.
อำมาตย์นั้นไปโกศลชนบท เข้ารับราชการกะพระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสนะ ได้ทำความคุ้นเคยกับพระราชานั้นโดยลำดับ วันหนึ่งทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ กรุงพาราณสีเช่นกับรังผึ้งไม่มีตัวผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ พระองค์สามารถยึดราชสมบัตินั้นได้โดยง่ายทีเดียว พระราชาทัพพเสนะไม่ทรงเชื่อคำของอำมาตย์นั้น เพราะพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงอานุภาพมาก จึงทรงส่งพวกมนุษย์ให้ไปทำการปล้นมีการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น ในแคว้นกาสี ทรงสดับว่าพระโพธิสัตว์ทรงให้ทรัพย์แก่โจรเหล่านั้นแล้วทรงปล่อย ครั้นทรงทราบว่าพระราชาเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอย่างยิ่ง ทรงดำริว่า เราจักยึดราชสมบัติในกรุงพาราณสี จึงยกกองทัพเสด็จออกไป. ลำดับนั้น ทหารของพระเจ้ากรุงพาราณสีได้ข่าวว่า พระเจ้าโกศลยกกองทัพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 539
มา จึงกราบทูลแด่พระราชาของตนว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าจะจับโบยพระราชานั้นตอนยังไม่ล่วงล้ำรัฐสีมาของเรา.
พระโพธิสัตว์ทรงห้ามว่า ท่านทั้งหลาย การทำาคนอื่นให้ลำบากเพราะอาศัยเราไม่มี. ผู้ต้องการราชสมบัติ จงยึดราชสมบัติเถิด. พวกท่านอย่าไปเลย พระเจ้าโกศลเสด็จเข้าไปถึงท่ามกลางชนบท. พวกทหารทูลแด่พระราชาเหมือนอย่างนั้นอีก. พระราชาทรงห้ามโดยนัยก่อน. พระเจ้าทัพพเสนะประทับยืนอยู่นอกพระนคร ทรงส่งสาส์นถึงพระเจ้าเอกราชว่า จะมอบราชสมบัติให้หรือจะรบ. พระเจ้าเอกราชทรงส่งสาส์นตอบไปว่า เราไม่ต้องการรบ จงเอาราชสมบัติไปเถิด. พวกทหารทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ พวกข้าพระองค์จะไม่ให้พระเจ้าโกศลเข้าพระนครได้. จะช่วยกันโบยพระเจ้าโกศลนั้นนอกพระนครแล้วจับมาถวายพระเจ้าข้า. พระราชาทรงห้ามเหมือนก่อน ทรงรับสั่งไม่ให้ปิดประตูพระนคร ประทับนั่งท่ามกลางบัลลังก์บนพื้นใหญ่. พระเจ้าทัพพเสนะเสด็จเข้าพระนครด้วยกองทัพใหญ่ ไม่ทรงเห็นข้าศึกต่อต้านแม้แต่คนเดียว เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ยึดราชสมบัติทั้งหมดให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ เสด็จขึ้นสู่พื้นใหญ่ รับสั่งให้จับพระโพธิสัตว์ผู้ไม่มีความผิดฝังในหลุม. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
พระเจ้าทัพพเสนะยกกองทัพมาชิงเอาพระนครเราได้ ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 540
พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบท ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ราชูปชีเว ได้อำมาตย์ ราชบริษัท พราหมณ์ คหบดีเป็นต้น อาศัยพระราชาเลี้ยงชีพ.
บทว่า นิคเม คือนิคม.
บทว่า สพลฏฺเ ชื่อว่า พลฏฺา เพราะตั้งกองพลเนื่องด้วยเหล่าทหาร. มีเหล่าช้างเป็นต้น. พร้อมด้วยทหาร.
บทว่า สรฏฺเก คือชาวชนบท. อธิบายว่า พระเจ้าทัพพเสนะทรงทำข้าราชการ ชาวนิคมและอื่นๆ ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว.
บทว่า กาสุยา นิขณี มมํ ความว่า พระเจ้าทัพพเสนะยึดราชสมบัติของเรา พร้อมด้วยพลพาหนะจนหมดสิ้นแล้ว ยังรับสั่งให้ฝังเราในหลุมแค่คอ. แม้ในชาดกก็กล่าวว่า ฝังในหลุม มีความว่า :-
พระเจ้าเอกราชเมื่อก่อนทรงเสวยกามคุณยอดเยี่ยมบริบูรณ์ประทับอยู่ บัดนี้พระองค์ถูกฝังในหลุมนรก มิได้ทรงสละวรรณะและพละเดิม.
แต่ในอรรถกถาชาดกกล่าวไว้ว่า พระเจ้าทัพพเสนะรับสั่งให้ใส่สาแหรกแขวนเอาพระเศียรลงข้างล่างที่ธรณีประตูทางทิศเหนือ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 541
พระมหาสัตว์ทรงเจริญเมตตาปรารภพระราชาโจรแล้ว ทรงกระทำกสิณบริกรรมยังฌานและอภิญญาให้เกิด ทรงผุดขึ้นจากทรายประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
เราเห็นพระเจ้าทัพพเสนะกับหมู่อำมาตย์ ชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่งภายในพระนครของเรา เหมือนบุตรสุดที่รัก.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อมจฺจมณฺฑลํ คือผู้ที่ปฏิบัติร่วมกับพระราชาในราชกิจนั้นๆ ชื่อว่าอำมาตย์ หรือพร้อมกับหมู่อำมาตย์เหล่านั้น.
บทว่า ผีตํ คือราชสมบัติอันมั่งคั่งด้วยพลพาหนะ ด้วยชาวพระนครและชาวชนบท เป็นต้น อธิบายว่า เราเห็นพระราชาผู้เป็นศัตรูชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่ง ด้วยนางกำนัล ทาสหญิง ทาสชาย และบริวาร และด้วยของใช้มีผ้าและเครื่องประดับเป็นต้น ภายในพระนครของเรา เหมือนบุตรสุดที่รักของตน ด้วยเมตตาใด ผู้เสมอด้วยเมตตานั้นของเราไม่มีในสกลโลก เพราะฉะนั้น ที่เป็นอย่างนี้นี่เป็นเมตตาบารมีของเรา ถึงความเป็นปรมัตถบารมี.
ก็เมื่อพระมหาสัตว์ทรงแผ่เมตตาปรารภพระราชาโจรนั้น ประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ พระเจ้าทัพพเสนะจึงเกิดความเร่าร้อนในพระวรกาย. พระองค์ทรงส่งเสียงร้องว่า เราถูกไฟไหม้ เราถูกไฟไหม้ ทรงกลิ้งเกลือก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 542
ไปมาบนแผ่นดิน. ตรัสว่านี่อะไรกัน พวกราชบุรุษทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์รับสั่งให้ฝังพระราชาผู้ทรงธรรม ผู้ไม่มีความผิดไว้ในหลุม. ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านรีบไปเอาพระราชานั้นขึ้นเถิด. พวกราชบุรุษไปเห็นพระราชานั้นประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ จึงกลับมาทูลแด่พระเจ้าทัพพเสนะ. พระเจ้าทัพพเสนะรีบเสด็จไปถวายบังคมขอขมาแล้วตรัสว่า ขอพระองค์จงครองราชสมบัติของพระองค์เถิด. ข้าพระองค์จักป้องกันพวกโจรแด่พระองค์ แล้วรับสั่งให้ลงอาญาแก่อำมาตย์ชั่ว เสด็จกลับพระนคร. แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงมอบราชสมบัติให้แก่พวกอำมาตย์ แล้วทรงบวชเป็นฤาษี ยังมหาชนให้ตั้งอยู่ในคุณมีศีลเป็นต้น ครั้นสิ้นอายุแล้วก็ไปสู่พรหมโลก.
พระเจ้าทัพพเสนะในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์เถระในครั้งนี้. พระเจ้าเอกราชคือพระโลกนาถ.
พึงทราบ ทานบารมี ด้วยการสละทรัพย์ ๖๐๐,๐๐๐ ณ โรงทาน ๖ แห่ง ทุกๆ วันของพระโพธิสัตว์นั้น และด้วยการทรงบริจาคราชสมบัติทั้งสิ้นแก่พระราชาข้าศึก. ศีลบารมี ด้วยการรักษาศีลและอุโบสถเป็นนิจ และด้วยการสำรวมศีลไม่เหลือเศษของนักบวช. เนกขัมมบารมี ด้วยการออกบวชและด้วยการบรรลุฌาน. ปัญญาบารมี ด้วยการไตร่ตรองถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย และด้วยการจัดแจงทานและศีลเป็นต้น. วิริยบารมี ด้วยการขมักเขม้นสะสมบุญมีทานเป็นต้น และ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 543
ด้วยการบรรเทากามวิตกแป็นต้น. ขันติบารมี ด้วยการอดกลั้นความผิดของอำมาตย์โหดและของพระเจ้าทัพพเสนะ. สัจจบารมี ด้วยการไม่ผิดพลาดด้วยการให้เป็นต้นตามปฏิญญา. อธิษฐานบารมี ด้วยการอธิษฐานการสมาทานไม่หวั่นไหวต่อการให้เป็นต้น. เมตตาบารมี ด้วยการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ข้าศึกโดยส่วนเดียว และด้วยการยังเมตตาฌานให้เกิด. และ อุเบกขาบารมี เพราะมีพระทัยเสมอในความผิดที่อำมาตย์โหดและพระเจ้าทัพพเสนะกระทำในอุปการะที่พวกแสวงหาประโยชน์มีอำมาตย์เป็นต้น ของพระองค์ให้เกิดขึ้น ทรงวางเฉยในคราวที่ถึงความสุขในราชสมบัติ ในคราวที่ถูกพระราชาข้าศึกฝังในหลุม. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เป็นจอมชน ท่านจงบรรเทาความสุขด้วยความทุกข์ หรือจงอดกลั้นความทุกข์ด้วยความสุข. สัตบุรุษทั้งหลายย่อมวางเฉยในสุขและทุกข์ทั้งสองอย่าง เพราะเกิดขึ้นแล้ว.
ก็เพราะในจริยานี้ เมตตาบารมีเป็นบารมียอดเยี่ยมอย่างยิ่ง. ฉะนั้น เพื่อแสดงความนั้น ท่านจึงยกเมตตาบารมีนั้นเท่านั้นขึ้นสู่บาลี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 544
อนึ่ง ในจริยานี้พึงเจาะจงกล่าวถึงคุณวิเศษ มีความเป็นผู้อนุเคราะห์เสมอกันเป็นต้นในสรรพสัตว์ของพระมหาสัตว์ ดุจบุตรเกิดในอก ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔