[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 599
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
โกกาลิกสูตรที่ ๑๐
ว่าด้วยกรรมที่ให้เกิดในนรก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 599
โกกาลิกสูตรที่ ๑๐
ว่าด้วยกรรมที่ให้เกิดในนรก
[๓๘๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ตกอยู่ใน อำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระเจ้าข้า.
[๓๘๕] เมื่อโกกาลิกภิกษุกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกะโกกาลิกภิกษุว่า โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ เธอจงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะมีศีลเป็นที่รัก.
แม้ครั้งที่ ๒ โกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชักนำข้าพระองค์ให้จงใจเชื่อ ให้เลื่อมใสก็จริง แต่พระสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีความปรารถนาลามก แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสกะโกกาลิกภิกษุว่า โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย เธอจงยังจิตให้ เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะมีศีลเป็นที่รัก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 600
แม้ครั้งที่ ๓...
ลำดับนั้นแล โกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นานนัก ได้มีต่อมประมาณเมล็ดพันธุ์ผักกาดเกิดขึ้นทั่วกาย ครั้นแล้ว เป็นต่อมประมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว เท่าเมล็ดถั่วดำ เท่าเมล็ดพุดทรา เท่าผลพุดทรา เท่าผลมะขามป้อม เท่าผลมะตูมอ่อน เท่าผลขนุนอ่อน แตกหัวแล้ว หนองและเลือดไหลออก ลำดับนั้น โกกาลิกภิกษุมรณภาพเพราะอาพาธนั้นเอง ครั้นโกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้ว ก็ย่อมอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ. ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่ง ทำพระเชตวันสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้ว ครั้นแล้วอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ท้าวสหัมบดีพรหมครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว กระทำประทักษิณแล้ว ได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.
ครั้นพอล่วงราตรีนั้น ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหม มีรัศมีอันงามยิ่ง ทำวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาท แล้วยืนอยู่ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้วอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในพระสารีบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 601
และพระโมคคัลลานะ ท้าวสหัมบดีพรหม ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว กระทำประทักษิณแล้ว ได้อันตรธานหายไปในที่นั้นเอง.
[๓๘๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ประมาณอายุในปทุมนรกนานเพียงใด พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ประมาณอายุในปทุมนรกนานนัก การนับประมาณอายุในปทุมนรกนั้นว่า เท่านี้ปี เท่านี้ร้อยปี เท่านี้พันปี หรือว่าเท่านี้แสนปี ไม่ใช่ทำได้ง่าย.
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์สามารถจะทรงกระทำการเปรียบเทียบได้หรือไม่ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับว่า สามารถ ภิกษุ ดังนี้แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกงาหนัก ๒๐ หาบของชาวโกศล เมื่อล่วงไปได้ร้อยปี พันปี แสนปี บุรุษพึงหยิบเมล็ดงาขึ้นจากเกวียนนั้นออก ทิ้งเมล็ดหนึ่งๆ ดูก่อนภิกษุ เกวียนที่บรรทุกงาหนัก ๒๐ หาบของชาวโกศลนั้น จะพึงถึงความสิ้นไปโดยลำดับนี้เร็วเสียกว่า แต่อัพพุทนรกหนึ่งจะไม่พึงถึงความสิ้นไปได้เลย ดูก่อนภิกษุ ๒๐ อัพพุทนรกเป็นหนึ่งนิรัพพุทนรก ๒๐ นิรัพพุทนรกเป็นหนึ่งอัพพนรก ๒๐ อัพพนรกเป็นหนึ่งอหหนรก ๒๐ อหหนรกเป็นหนึ่งอฎฏนรก ๒๐ อฏฏนรกเป็นหนึ่งกุมุทนรก ๒๐ กุมุทนรกเป็นหนึ่งโสคันธิกนรก ๒๐ โสคันธิกนรกเป็นหนึ่งอุปลกนรก ๒๐ อุปลกนรก เป็นหนึ่งปุณฑรีกนรก ๒๐ ปุณฑรีกนรกเป็นหนึ่งปทุมนรก อย่างนี้ ก็โกกาลิกภิกษุอุบัติในปทุมนรกเพราะจิตคิดอาฆาตในสารีบุตรและโมคคัลลานะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 602
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
[๓๘๗] วาจาหยาบเช่นกับขวานเกิดในปากของบุรุษแล้ว เป็นเหตุตัดรอนตนเองของบุรุษผู้เป็นพาล ผู้กล่าวคำทุภาษิต ผู้ใดสรรเสริญคนที่ควรนินทา หรือนินทาคนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้นย่อมก่อโทษเพราะปาก ย่อมไม่ได้ความสุขเพราะโทษนั้น การแพ้ด้วยทรัพย์เพราะเล่นการพนันเป็นโทษเพียงเล็กน้อย โทษของผู้ที่ยังใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีนี้แล เป็นโทษมากกว่า.
บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้แล้ว เป็นผู้ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรกตลอดกาลประมาณด้วยการนับปี ๑๐๐,๐๐๐ นิรัพพุทะและ ๔๐ อัพพุทะ.
ผู้กล่าวคำเท็จย่อมเข้าถึงนรก อนึ่งผู้ทำกรรมอันลามกแล้ว กล่าวว่าไม่ได้ทำ ก็ย่อมเข้าถึงนรกอย่างเดียวกัน แม้คนทั้งสองนั้นเป็นมนุษย์มีกรรมอันเลวทราม ละไปแล้วย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกเบื้องหน้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 603
ผู้ใดประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้เป็นบุรุษหมดจด ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน บาปย่อมกลับมาถึงผู้เป็นพาลนั้นเอง เหมือนธุลีละเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลม ฉะนั้น.
ผู้ที่ประกอบเนืองๆ ในคุณคือความโลภ ไม่มีศรัทธา กระด้าง ไม่รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความตระหนี่ ประกอบเนืองๆ ในคำส่อเสียด ย่อมบริภาษผู้อื่นด้วยวาจา.
แน่ะคนผู้มีปากเป็นหล่ม กล่าวคำอันไม่จริง ผู้ไม่ประเสริฐ ผู้กำจัดความเจริญ ผุ้ลามก ผู้กระทำความชั่ว ผู้เป็นบุรุษในที่สุด มีโทษ เป็นอวชาต ท่านอย่าได้พูดมากในที่นี้ อย่าเป็นสัตว์นรก.
ท่านย่อมเกลี่ยธุลี คือ กิเลสลงในตน เพื่อกรรมมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ท่านผู้ทำกรรมหยาบ ยังติเตียนสัตบุรุษ ท่านประพฤติทุจริตเป็นอันมากแล้วย่อมไปสู่มหานรกสิ้นกาลนาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 604
กรรมของใครๆ ย่อมฉิบหายไปไม่ได้เลย บุคคลมาได้รับกรรมนั้นแล เป็นเจ้าของแห่งกรรมนั้น (เพราะ) คนเขลาผู้ทำกรรมหยาบ ย่อมเห็นความทุกข์ในตน ในปรโลก.
ผู้ทำกรรมหยาบย่อมเข้าถึงสถานที่ อันนายนิรยบาลนำขอเหล็กมา ย่อมเข้าถึงหลาวเหล็กอันคมกริบและย่อมเข้าถึงก้อนเหล็กแดงโชติช่วง เป็นอาหารอันสมควรแก่กรรมที่ตนทำไว้อย่างนั้น.
นายนิรยบาลทั้งหลายเมื่อพูดก็พูดไม่เพราะสัตว์นรกจะวิ่งหนีก็ไม่ได้ ไม่ได้ที่ต้านทานเลย นายนิรยบาลลากขึ้นภูเขาถ่านเพลิง สัตว์นรกนั้นนอนอยู่บนถ่านเพลิงอันลาดไว้ ย่อมเข้าไปสู่กองไฟอันลุกโพลง.
พวกนายนิรยบาลเอาข่ายเหล็กพัน ตีด้วยค้อนเหล็กในที่นั้น สัตว์นรกทั้งหลาย ย่อมไปสู่โรรุวนรกที่มืดทึบ ความมืดทึบนั้น แผ่ไปเหมือนกลุ่มหมอกฉะนั้น.
ก็ลำดับนั้น สัตว์นรกทั้งหลาย ย่อมเข้าไปสู่หม้อเหล็กอันไฟลุกโพลง ลอยฟ่อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 605
อยู่ ไหม้อยู่ในหม้อเหล็กนั้น อันไฟลุกโพลงสิ้นกาลนาน.
ก็ผู้ทำกรรมหยาบจะไปสู่ทิศใดๆ ก็หมกไหม้อยู่ในหม้อเหล็กอันเปื้อนด้วยหนอง และเลือดในทิศนั้นๆ ลำบากอยู่ในหม้อเหล็กนั้น.
ผู้ทำกรรมหยาบหมกไหม้อยู่ในน้ำ อันเป็นที่อยู่ของหมู่หนอน ในหม้อเหล็กนั้นๆ แม้ฝั่งเพื่อจะไปก็ไม่มีเลย เพราะกะทะครอบอยู่โดยรอบมิดชิดในทิศทั้งปวง.
และยังมีป่าไม้มีใบเป็นดาบคม สัตว์นรกทั้งหลายย่อมเข้าไปสู่ป่าไม้ ถูกดาบใบไม้ตัดหัวขาด พวกนายนิรยบาล เอาเบ็ดเกี่ยวลิ้นออกแล้ว ย่อมเบียดเบียนด้วยการดึงออกมาๆ
ก็ลำดับนั้น สัตว์นรกทั้งหลายย่อมเข้าถึงแม่น้ำด่างอันเป็นหล่ม ย่อมเข้าถึงคมมีดโกนอันคมกริบ สัตว์นรกทั้งหลายผู้กระทำบาป เป็นผู้เขลา ย่อมตกลงไปบนคมมีดโกนนั้น เพราะได้กระทำบาปไว้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 606
ก็สุนัขดำ สุนัขด่าง และสุนัขจิ้งจอก ย่อมรุมกัดกินสัตว์นรกทั้งหลาย ผู้ร้องไห้อยู่ในที่นั้น ฝูงกาดำ แร้ง นกตะกรุม และกาไม่ดำ ย่อมรุมกันจิกกิน.
คนผู้ทำกรรมหยาบ ย่อมเห็นความเป็นไปในนรกนี้ยากหนอ เพราะฉะนั้น นรชนพึงเป็นผู้ทำกิจที่ควรทำในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ และไม่พึงประมาท เกวียนบรรทุกงา ผู้รู้ทั้งหลายนับแล้วนำเข้าไปเปรียบในปทุมนรก เป็น ๕๑,๒๐๐ โกฏิ.
นรกเป็นทุกข์ เรากล่าวแล้วในพระสูตรนี้ เพียงใด สัตว์ทั้งหลายผู้ทำกรรมหยาบ พึงอยู่ในนรกแม้นั้น ตลอดกาลนานเพียงนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลพึงกำหนด รักษาวาจา ใจ ให้เป็นปกติในผู้สะอาด มีศีลเป็นที่รักและมีคุณดีงามทั้งหลาย.
จบโกกาลิกสูตรที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 607
อรรถกถาโกกาลิกสูตรที่ ๑๐
โกกาลิกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดอย่างไร?
การเกิดขึ้นแห่งสูตรนี้ จักมีแจ้งในอรรถกถาแห่งสูตรนั่นแล. บทมี อาทิว่า เอวมฺเม สุตํ แห่งสูตรนี้ มีนัยดังได้กล่าวแล้วในอรรถกถานั่นแล
ก็ในบทว่า อถโข โกกาลิโก นี้ โกกาลิกะนี้เป็นใคร เหตุไรจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านกล่าวไว้ดังต่อไปนี้.
มีเรื่องเล่ามาว่า โกกาลิกะนี้ เป็นบุตรของโกกาลิกเศรษฐี ในเมืองโกกาลิกะแคว้นโกกาลิกะ ออกบวชแล้วอาศัยอยู่ในวิหารที่บิดาสร้างไว้นั่นเอง มีชื่อว่าจูฬโกกาลิกะ มิใช่เป็นศิษย์ของพระเทวทัต. เพราะโกกาลิกะศิษย์พระเทวทัตนั้นเป็นบุตรพราหมณ์ ชื่อว่ามหาโกกาลิกะ. ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี พระอัครสาวกสองรูปพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ จาริกไปยังชนบท เมื่อจวนใกล้เข้าพรรษาส่งภิกษุเหล่านั้นกลับไป ตนเองถือบาตรและจีวรไปถึงนครในชนบทนั้น ได้ไปยังวิหารนั้น ณ ที่นั้น พระอัครสาวกทั้งสองรูปสนทนาอยู่กับโกกาลิกภิกษุนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส เราจักอยู่ ณ ที่นี้สัก ๓ เดือน ท่านอย่าบอกใครๆ นะ โกกาลิกภิกษุรับคำ ครั้นล่วงไป ๓ เดือน วันหนึ่งโกกาลิกภิกษุรีบเข้าไปยังนครกล่าวว่า ท่านทั้ง หลายไม่รู้หรือว่าพระอัครสาวกทั้งสองมาอยู่ ณ ที่นี้จึงไม่มีใครนิมนต์ถวายปัจจัย ชาวนครถามว่า ทำไมพระคุณเจ้าไม่บอกพวกผมเล่า. โกกาลิกภิกษุตอบว่า จะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 608
บอกไปทำไม พวกท่านไม่เห็นภิกษุสองรูปอาศัยอยู่ดอกหรือ ทั้งสองรูปนั้นเป็นพระอัครสาวกมิใช่หรือ. ชาวนครพากันประชุมด่วน นำเนยใส น้ำอ้อยงบ และ ผ้าเป็นต้นมาวางไว้ข้างโกกาลิกภิกษุ. โกกาลิกภิกษุคิดว่า พระอัครสาวกทั้งสองเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง ครั้นรู้ว่า ลาภเกิดขึ้นเพราะพูดชักชวนจักไม่ยินดีรับ เมื่อไม่ยินดีรับ จักพูดว่า ท่านทั้งหลายจงถวายแก่ภิกษุเจ้าอาวาสเถิดเป็นแน่ เอาเถิดเราจักให้พระอัครสาวกทั้งสองรับลาภนี้ไป. โกกาลิกภิกษุได้ทำอย่างนั้น พระเถระทั้งสองเห็นแล้วก็รู้ว่าลาภเกิดขึ้นเพราะพูดชักชวนจึงคิดว่าปัจจัยเหล่านี้ ไม่ควรแก่เราทั้งสองเลย และไม่ควรแก่โกกาลิกภิกษุด้วย. จึงไม่พูดว่า ท่านทั้งหลายจงถวายแก่เจ้าอาวาสเถิด ปฏิเสธแล้วก็หลีกไป. ด้วยเหตุนั้น โกกาลิกภิกษุเกิดเสียใจว่า นี่อะไรกัน พระอัครสาวกทั้งสองได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงปวารณาแล้ว หากไม่เสด็จจาริกไปยังชนบทด้วยพระองค์เอง ก็ทรงสั่งอัครสาวกทั้งสองไปตรัสว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากเถิด ดังนี้เป็นต้น. นี้เป็นประเพณีของพระตถาคตทั้งหลาย.
แต่สมัยนั้น พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะเสด็จไปด้วยพระองค์เอง. จึงทรงส่งพระอัครสาวกทั้งสองไปด้วยพระดำรัสว่า คจฺฉถ ภิกฺขเว จรถ จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไป จงเที่ยวจาริกไปเถิด ดังนี้. พระอัครสาวกทั้งสองพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป เที่ยวจาริกไป ได้ไปถึงนครนั้นใน แคว้นนั้นๆ โดยลำดับ. ชาวนครจำพระเถระทั้งสองได้ จึงเตรียมทานพร้อมด้วยบริขาร สร้างมณฑปกลางนครพากันถวายทาน พร้อมบริขารเข้าไปถวายแด่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 609
พระเถระทั้งสอง. พระเถระทั้งสองรับแล้วได้ให้แก่ภิกษุสงฆ์. โกกาลิกภิกษุ เห็นดังนั้นจึงคิดว่า เมื่อก่อนพระอัครสาวกทั้งสองรูปนี้เป็นผู้มักน้อย บัดนี้ถูก ความโลภครอบงำ เกิดเป็นผู้มีความปรารถนาลามกเสียแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งสองนี้คล้ายกับมีความมักน้อย สันโดษ สงัด บัดนี้เห็นจะมีความปรารถนา ลามก เป็นภิกษุลามก แสดงคุณของอสัตบุรุษเสียแล้ว. โกกาลิกภิกษุจึงเข้าไปหาพระเถระทั้งสองกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านทั้งสอง เมื่อก่อนได้เป็นดุจ ผู้มักน้อย สันโดษ สงัด แต่บัดนี้ท่านทั้งสองกลับเป็นภิกษุลามกไปเสียแล้ว แล้วถือบาตรและจีวรรีบออกไปทันทีทันใด คิดว่าจักกราบทูลความนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมุ่งหน้าไปกรุงสาวัตถีเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยลำดับ. ในสูตรนี้โกกาลิกภิกษุนี้ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเหตุนี้. ดังที่พระสังคีติกาจารย์กล่าวคำเป็นอาทิว่า อถ โข โกกาลิโก ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ครั้งนั้นแลโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นโกกาลิภิกษุนั้นรีบร้อนมาทรง รำพึงดู ได้ทรงทราบว่า โกกาลิกภิกษุมาประสงค์จะด่าพระอัครสาวกทั้งสอง. ทรงรำพึงต่อไปว่า สามารถจะทรงห้ามได้หรือไม่หนอ ได้ทรงเห็นว่าไม่สามารถจะห้ามได้ โกกาลิกภิกษุนั้นมาเพื่อจะทำร้ายในอัครสาวกทั้งสอง จักเกิดในปทุมนรกโดยแน่นอน. พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงปลดเปลื้องคำติเตียนของคนอื่นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงเห็นอย่างนี้ ทรงสดับคำติเตียนพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะแล้วก็มิได้ทรงห้าม และเพื่อแสดงความมีโทษมากของผู้ติเตียนพระอริยะจึงตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง โดยนัยมีอาทิว่า มาเหวํ โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 610
ในบทเหล่านั้น บทว่า มาเหวํ ความว่า เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น. บทว่า เปสลา แปลว่า มีศีลเป็นที่รัก. บทว่า สทฺธายิโก คือชักนำให้น้อมใจเชื่อ อธิบายว่า ให้นำมาซึ่งความเชื่อ. บทว่า ปจฺจยิโก ให้เลื่อมใส อธิบายว่า ให้นำมาซึ่งความปลงใจว่านี้เป็นอย่างนั้น ดังนี้.
บทว่า อจิรปกฺกนฺตสฺส คือ เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปไม่นานนัก. บทว่า สพฺโพ กาโย ผุฏฺโ อโหสิ ได้มีต่อมเกิดขึ้นในกาย ความว่า ทั่วร่างกายไม่เว้นช่องว่างแม้เพียงปลายผมได้มีต่อมทำลายกระดูกเกิดขึ้นเต็มไปหมด เพราะด้วยพุทธานุภาพกรรมเห็นปานนั้นยังมิให้ผลในเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าแต่ให้ผลเมื่อพ้นสายตาไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปไม่นานต่อมจึงผุดขึ้น. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวว่า อจิรปกฺกนฺตสฺส โกกาลิกสฺส เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปไม่นาน. เมื่อหากจะมีคำถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร โกกาลิกภิกษุจึงไม่อยู่ ณ ที่นั้นเล่า. ตอบว่า ด้วยอานุภาพของกรรม. เพราะกรรมรอโอกาสให้ผลแน่นอน ฉะนั้น กรรมจึงไม่ให้โกกาลิกภิกษุอยู่ ณ ที่นั้น. โกกาลิกภิกษุนั้นถูกเตือนด้วยอานุภาพของกรรมจึงลุกจากที่นั่งหลีกไป. บทว่า กฬายมตฺติโย เท่าเมล็ดถั่วดำ คือ เท่าเมล็ดลูกเดือย. บทว่า เวฬุวสลาฏุกมตฺติโย คือเท่าผลมะตูมอ่อน. บทว่า ปริภิชฺชึสุ คือ แตกแล้ว. เมื่อต่อมทั้งหลายแตกแล้วทั้งตัวได้เป็นเหมือนขนุนสุก. โกกาลิกภิกษุนั้นมีตัวเปื่อยเน่าถึงความลำบาก ถูกทุกข์ครอบงำ นอนที่ซุ้มประตูพระเชตวันมหาวิหาร. ลำดับนั้น มนุษย์ทั้งหลายต่างพากันมาเพื่อจะฟังธรรม ครั้นเห็นโกกาลิกภิกษุนั้นต่างก็พูดตำหนิว่า โธ่ โกกาลิกะ โธ่ โกกาลิกะ ทำกรรม ไม่สมควรเลย ท่านอาศัยปากของตนเองแท้ๆ จึงถึงความลำบาก. บรรดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 611
อารักขเทวดาได้สดับคำของมนุษย์เหล่านั้น ก็ได้ติเตียนเป็นเสียงเดียวกัน. บรรดาอากาศเทวดาได้ฟังเสียงของอารักขเทวดา ก็ติเตียนเป็นเสียงเดียวกัน ด้วยอุบายนี้ จนถึงอกนิฏฐภพ.
ครั้งนั้น ภิกษุชื่อจตุที (๑) อุปัชฌาย์ของโกกาลิกภิกษุบรรลุอนาคามิผล บังเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส. พรหมนั้นออกจากสมาบัติได้สดับคำติเตียนนั้น จึงมาให้โอวาทโกกาลิกภิกษุ เพื่อให้เกิดจิตเลื่อมใสในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ. โกกาลิกภิกษุนั้นไม่เธอคำของพรหมนั้นได้ถึงมรณภาพทั้งๆ ที่ไม่เลื่อมใสนั่นเองไปบังเกิดในปทุมนรก. ด้วยเหตุนั้นพระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า อถโข โกกาลิโก ภิกฺขุ เตเนว ปาเปน ฯเปฯ อาฆาเตตฺวา เป็นต้น ความว่า ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุมรณภาพเพราะบาปนั้นเอง ครั้นโกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ.
บทว่า อถ โข พฺรหฺมา สหมฺปติ ครั้งนั้นแลสหัมบดีพรหม ความว่า พรหมนี้เป็นใคร ก็และเพราะเหตุไรจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กล่าวคำนี้. สหัมบดีพรหมนี้ ครั้งศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปะ เป็นภิกษุชื่อว่าสหกะ เป็นพระอนาคามีบังเกิดใน สุทธาวาสมหาพรหม. ที่สุทธาวาสนั้น พรหมทั้งหลายเรียกท่านว่า สหัมบดีพรหม. สหัมบดีพรหมนั้นดำริว่า เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามถึงปทุมนรก แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจักตรัสบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย ทีนั้นภิกษุทั้งหลายผู้ฉลาดในการลำดับเรื่องจักทูลถามกำหนดอายุในปทุมนรกนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ
๑. บางแห่งเป็น ตุทุพรหม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 612
จะตรัสบอกกำหนดอายุนั้นจักทรงประกาศโทษในการติเตียนพระอริยะ ด้วยเหตุนี้ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลเรื่องนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง กระทำอย่างนั้น. แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ได้ทูลถามขึ้น. ครั้นภิกษุรูปนั้นทูลถามแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัสคำมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขุ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วีสติขาริโก ๒๐ ขาริ คือ ๔ ปัตถะ โดยปัตถะของชาวมคธ เป็น ๑ ปัตถะในแคว้นโกศล, โดยปัตถะนั้น ๔ ปัตถะเป็น ๑ อาฬหกะ, ๔ อาฬหกะเป็น ๑ โทณะ, ๔ โทณะเป็น ๑ มาณิกะ, ๔ มาณิกะ เป็น ๑ ขาริ, เป็น ๒๐ ขาริ ด้วยขารินั้น (ขาริหนึ่งเท่ากับ ๑,๒๕๖ ทะนาน ๒๐ ขาริ เท่ากับ ๒๕,๑๒๐ ทะนาน). บทว่า ติลวาโห ได้แก่ เกวียนบรรทุกงา. บทว่า อพฺพุโท นิรโย อัพพุทนรก คือ ชื่อว่าอัพพุทนรก ไม่มีนรกจัดไว้ เฉพาะไรๆ แต่โอกาสที่ได้รับความเร่าร้อน ด้วยการนับอัพพุทะ (๑๐๐ ล้านปี) ในอเวจีนั่นแหละท่านกล่าวว่า อัพพุทนรก. ในนิรัพพุทนรกเป็นต้นก็มีนัยนี้. ในนิรัพพุทนรกนั้น พึงทราบการนับปีอย่างนี้, ๑๐๐ แสนเป็น ๑ โกฏิ, ๑๐๐ แสนโกฏิ เป็น ๑ ปโกฏิ, ๑๐๐ แสนปโกฏิ เป็น ๑ โกฏิปโกฏิ, ๑๐๐ แสนโกฏิปโกฏิ เป็น ๑ นหุต, ๑๐๐ แสนนหุต เป็น ๑ นินนหุต, ๑๐๐ แสนนินนหุต เป็น ๑ อัพพุทะ, เอา ๒๐ คูณอัพพุทะ เป็น ๑ นิรัพพุทะ. ในนรกทั้งปวงก็มีนัยนี้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ในนรกนั้นๆ ได้ชื่อโดยความต่างแห่งการเสวยทุกข์บ้าง โดยความต่างแห่งกรรมกรณ์บ้าง. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า นรกเหล่านี้เป็นสีตนรก. บทว่า อถาปรํ ท่านกล่าวหมายถึงคาถาประพันธ์แสดงความให้พิเศษไปจากความนั้น. ใน ๒๐ คาถา คาถาหนึ่งนี้ว่า สตํ สหสฺสานิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 613
๑๐๐ พัน คือ หนึ่งแสน แสดงความดังที่กล่าวแล้วโดยปาฐะนั้นเอง. คาถาที่เหลือแสดงความต่างกันออกไป. แต่สองคาถาสุดท้ายไม่มีในปาฐะที่วินิจฉัยไว้ แล้วในมหาอรรถกถา ด้วยเหตุนั้นจะได้กล่าวใน ๒๐ คาถา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กุารี ได้แก่ วาจาหยาบเช่นกับขวานเพราะเฉือนตัวเอง. บทว่า ฉินฺทติ ตัด คือตัดรอนรากเหง้าของตนคือกุศลมูล. บท ว่า นินฺทิยํ แปลว่า ควรนินทา. บทว่า ตํ วา นินฺทติ โย ปสํสิโย ผู้ใดนินทาคนที่ควรสรรเสริญ ความว่า บุคคลใดควรสรรเสริญด้วยอรรถว่า เป็นผู้สงสุด กลับยกโทษติเตียนบุคคลนั้น ว่าเป็นผู้มีความปรารถนาลามกเป็นต้น. บทว่า วิจินาติ แปลว่า ย่อมก่อ. บทว่า กลึ แปลว่า โทษ. บทว่า อยํ กลิ ได้แก่ โทษนี้. บทว่า อกฺเขสุ เพราะเล่นการพนัน. บทว่า สพฺพสฺสาปิ สหาปิ อตฺตนา คือ กับทรัพย์ของตนทั้งหมดบ้าง กับตนเองบ้าง. บทว่า สุคเตสุ ในพระสุคตทั้งหลาย ได้แก่ ในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและ พระสาวกมีชื่อว่าสุคต เพราะไปด้วยดีและเพราะไปสู่ฐานะดี. บทว่า มนํ ปทูสเย ยังใจให้ประทุษร้าย ท่านอธิบายว่า ใจของผู้ประทุษร้ายในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวก มีโทษมากกว่า. เพราะเหตุไร. เพราะบุคคล ตั้งวาจาและใจอันลามกไว้แล้ว เป็นผู้ติเตียนพระอริยเจ้าย่อมเข้าถึงนรกตลอดกาล ประมาณด้วยการนับปี ๑๐๐,๐๐๐ นิรัพพุทะ และ ๑๖๐ อัพพุทะ ท่านอธิบายว่า เพราะบุคคลตั้งวาจาและใจอันลามก เป็นผู้ติเตียนพระอริยเจ้าย่อมเข้าถึงนรก คือหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นตลอดกาลประมาณตัวการนับปี. นี้เป็นประมาณอายุในปทุมนรกโดยสังเขป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 614
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงชี้แจงความนี้ให้แจ่มแจ้งโดยอีกนัยหนึ่งว่า ผู้ที่ยังใจให้ประทุษร้ายในพระสุคตทั้งหลาย มีโทษมากกว่านัก จึงตรัสคำมีอาทิว่า อภูตวาที คนพูดเท็จ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อภูตวาที ได้แก่ คนพูดเหลาะแหละเพราะติเตียนพระอริยเจ้า. บทว่า นิรยํ ได้แก่ ปทุมนรกเป็นต้น. บทว่า เปจฺจ สมา ภวนฺติ ได้แก่ ละจากโลกนี้ไปแล้วย่อมเสมอกันในการเข้าถึงนรก. บทว่า ปรตฺถ คือในโลกอื่น. ยิ่งกว่านั้นมีอะไรอีก ในบทว่า โย อปฺปทุฏฺสฺส นี้พึงทราบว่า ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะไม่มีโทษ ชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่มีมลทินคืออวิชชา, ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน เพราะไม่มีความปรารถนาลามก. ในบทนี้พึงประกอบอย่างนี้ว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเป็นผู้ไม่ประทุษร้าย และเป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงชี้ถึงผู้ที่มีใจประทุษร้ายในพระสุคตทั้งหลายมีโทษมากกว่าอย่างนี้แล้ว จึงตรัสคาถาที่ ๑๔ ชื่อว่า ธาริตวัตถุคาถา (คาถาเรื่องที่พระองค์ทรงตั้งไว้).
นัยว่า คาถาเหล่านั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวสอนโกกาลิกภิกษุผู้กำลังจะตายนั่นเอง. อาจารย์บางคนกล่าวว่า มหาพรหมกล่าวสอน. เพื่อ สงเคราะห์คาถาเหล่านั้นให้เป็นอันเดียวกันกับสูตรนี้ จึงอ้างถึงบทนี้มีอาทิว่า โย โลภคุเณ อนุยุตฺโต ผู้ที่ประกอบเนืองๆ ในคุณคือความโลภ ดังนี้.
ในคาถานั้นพึงทราบวินิจฉัยในคาถาต้นก่อน ความโลภเท่านั้นชื่อว่า คุณคือความโลภ เพราะ อ้าง ถึงบทว่า คุโณ หรือเพราะเป็นไปหลายๆ ครั้ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 615
บทว่า โลภคุโณ นี้เป็นชื่อของตัณหา. บทว่า อวทญฺญู ไม่รู้ความประสงค์ของผู้ขอ. คือ ชื่อว่าไม่รู้คำพูด เพราะไม่ถือโอวาทแม้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. บทว่า มจฺฉรี มีความตระหนี่ คือด้วยความตระหนี่ห้าอย่าง. ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ในคำส่อเสียด เพราะประสงค์จะให้อัครสาวกทั้งสองแตกกัน. บทที่เหลือปรากฏชัดแล้ว บทนี้ท่านอธิบายว่า ดูก่อนโกกาลิกะผู้มีอายุ ผู้ใดเป็นเช่นท่าน ประกอบเนืองๆ ในคุณคือความโลภ ไม่มีศรัทธา กระด้าง ไม่รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ตระหนี่ ประกอบเนืองๆ ในคำพูดส่อเสียด ผู้นั้นย่อมบริภาษผู้อื่นคือบุคคลที่แม้ไม่ควรพูดถึงด้วยวาจา ด้วยเหตุนั้นเราจึงกล่าวคาถาที่สามว่า มุขทุคฺค แน่ะคนผู้มีปากเป็นหล่ม. ต่อไปนี้เป็นอธิบายบทที่ยากของบทว่า มุขทุคฺค นั้น แน่ะคนผู้มีปากเป็นหล่ม คือมีปากไม่เรียบร้อย กล่าวคำไม่จริง คือปราศจากความจริง พูดจาเหลาะแหละ ผู้ไม่ประเสริฐ คือ เป็นอสัตบุรุษ ผู้กำจัดความเจริญ คือกำจัดความสมบูรณ์ ทำความสมบูรณ์ให้พินาศ ผู้เป็นที่สุดคน คือ อาพับ ผู้มีโทษ คือ เป็นผู้เคราะห์ร้าย ผู้เป็น อวชาต คือเป็นอวชาตบุตร (บุตรที่เลว) ของพระพุทธเจ้า ท่านเกลี่ยธุลี คือ กิเลสลงในตน. บทว่า ปปตํ ได้แก่ มหานรก. ปาฐะว่า ปปฏํ ก็มี. ความอย่างเดียวกัน. ปาฐะว่า ปปตฺตํ คือมหานรก. บทว่า ห ในบทว่า เอติ ห ตํ นี้เป็นนิบาต. บทว่า ตํ ได้แก่ กุศลกรรมและอกุศลกรรมนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หตํ ได้แก่ไปแล้วคือถึงแล้ว. อธิบายว่า สะสมแล้ว. บทว่า สุวามิ คือ เป็นเจ้าของกรรมนั้น เพราะได้ทำไว้. ท่านอธิบายว่า เพราะเขาได้กรรมนั้นไว้ กรรมนั้นของเขาจึงไม่หายไป. ก็เพราะเขาได้ (กรรม) ไว้ ฉะนั้น คนเขลาผู้ทำกรรมหยาบ ย่อมเห็นความทุกข์ของตนในปรโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 616
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศถึงทุกข์ที่คนเขลาเห็นจึงตรัสคำมีอาทิว่า อโย สงฺกุสมาหฏํ านํ ย่อมเข้าถึงหลาวเหล็กอันคมกริบ.
ในบทนั้น พึงทราบความในกึ่งคาถาต้นก่อน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงฐานะอันนำมาซึ่งหลาวเหล็กอันใด ตรัสว่า ตเมนํ ภิกฺขเว นิรฺยปาลา ปญฺจวิธพนฺธนํ นาม กมฺมกรณํ กาเรนฺติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายนิริยบาล ให้ลงกรรมกรณ์ เครื่องจองจำ ๕ อย่างนั้น ดังนี้ ผู้ทำกรรมหยาบย่อมเข้าถึง ฐานะนั้น เมื่อเข้าถึง นายนิริยบาลให้นอนเหนือแผ่นดินอันร้อนจัดบนหลาวเหล็กนั้น แล้วเข้าถึงหลาวเหล็กอันคมกริบ แข็ง ร้อน ถูกนายนิริยบาลโบยในที่ ๕ แห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงหลาวเหล็ก จึงตรัสว่า ตตฺตํ อโยขิลํ หตฺเถ คเมนฺติ นายนิริยบาลถือกอันเหล็กร้อนมา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถากึ่งหนึ่งต่อจากนั้น ทรงหมายถึงคำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า นายนิริยบาลยัดก้อนเหล็กร้อนลงในปากของสัตว์นรกผู้เผาไหม้ อยู่ในนรกนั้นหลายพันปี แล้วไปยังฝั่งแม่น้ำแสบ ตามลำดับเพื่อเสวยผลกรรมที่เหลือจากการถูกเผาไหม้ นายนิริยบาลกรอกน้ำทองแดงร้อนลงในปาก.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อโย คือ โลหะ. บทว่า คุฬสนฺนิภํ ก้อนเหล็กแดงโชติช่วง คือมีสัณฐานเหมือน ผลมะตูม. ในบทว่า อโย นี้ พึงทราบโลหะทองแดงด้วย อย ศัพท์ นอกนั้น พึงทราบว่าเป็นก้อนเหล็ก. บทว่า ปฏิรูปํ คือ สมควรแก่กรรมที่ทำไว้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาอื่นจากนั้นดังต่อไปนี้ บทว่า น หิ วคฺคุ ความว่า นายนิรบาลพูดว่า จงจับ จงประหาร ดังนี้เป็นต้น ไม่พูดคำไพเราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 617
เลย. บทว่า นาภิชวนฺติ จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ คือจะทำเป็นหน้าเบิกบานก็ไม่ได้ จะทำหน้ายิ้มเข้าไปหาก็ไม่ได้. ท่านอธิบายว่า จะเข้าไปหาเพราะนำความพินาศมาให้ก็ไม่ได้. บทว่า น ตาณมุเปนฺติ ไม่ได้ที่ต้านทานเลย คือ จะเข้าไปขอความต้านทาน ที่ซ่อนเร้น ที่อาศัยก็ไม่ได้. ท่านอธิบายว่า นายนิริยบาลเข้าไปจับฆ่าอย่างเดียว. บทว่า องฺคาเร สนฺถเต เสนฺติ สัตว์นรกนอนอยู่บนถ่านเพลิงอันลาดไว้ คือ สัตว์นรกถูกลากขึ้นภูเขาถ่านเพลิง นอนอยู่บนถ่านเพลิงที่ลาดไว้หลายพันปี. บทว่า อคฺคินิสมํ ปชฺชลิตํ คือเข้าไปสู่กองไฟ อันลุกโพลงโดยรอบ และโชติช่วงในทิศทั้งปวง. บทว่า ปวิสนฺติ คือนายนิริยบาลจับยัดใส่ลงในมหานรก. มหานรกนั้นท่านกล่าวว่ามีอยู่ ๔ มุม ผู้ที่ยืนดูอยู่ห่างประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ตาย่อมแตกได้. บทว่า ชาเลน จ โอนหิยานา นายนิริยบาลเอาข่ายเหล็กพันคือ นายนิริยบาลเอาข่ายเหล็กพัน แล้วประหารเหมือนพรานเนื้อฆ่าเนื้อ ฉะนั้น นี้เป็นกรรมกรณ์ซึ่งมิได้กล่าวไว้ในเทวทูตสูตร. บทว่า อนฺธํว ติมิสมายนฺติ สัตว์นรกทั้งหลายย่อมไปสู่โรรุวนรกที่มืดทึบ ความว่า สัตว์นรกย่อมไปสู่โรรุวนรกอันมืดทึบที่รู้ว่ามืด เพราะทำความมืด ที่รู้ว่าทึบเพราะมืดจัด. นัยว่า ที่โรรุวนรกนั้นตาแตก เพราะสูดควันกรดของหมอกเหล่านั้นเข้าไป. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อนฺธํว ดุจความมืดทึบ. บทว่า ตํ วิตตํ ยถา มหิกาโย ความว่า ความมืดทึบนั้นแผ่ไปเหมือนกลุ่มหมอก เกิดเป็นรูปร่างขึ้นมาอีก แม้ข้อนี้ ก็เป็นกรรมกรณ์ที่ท่านมิได้กล่าวไว้ในเทวทูตสูตรเหมือนกัน.
บทว่า อถ โลหมยํ ความว่า ก็โลหกุมภี (หม้อเหล็ก) นี้อยู่สุดแผ่นดิน มีความลึก ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ เต็มไปด้วยโลหะร้อนเต็มเปี่ยม. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 618
ปจฺจนฺติ หิ ตาสุ จิรรตฺตํ ได้แก่ ไหม้อยู่ในหม้อเหล็กนั้นสิ้นกาลนาน. บทว่า อคฺคินิสมาสุ คืออันไฟลุกโพลง. บทว่า สมุปฺปิลวาสา ได้แก่ ลอยฟ่องอยู่ ท่านอธิบายว่า สัตว์นรกขึ้นไปข้างบนคราวหนึ่ง ลงข้างล่างคราวหนึ่ง ผุดขึ้นแล้วจมลง เพราะแรงของฟองน้ำ. พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในเทวทูตสูตร นั่นแล.
บทว่า ปุพฺพโลหิตมิสฺเส คือเปื้อนด้วยหนองและเลือด. บทว่า ตตฺถ กึ คือในทิศนั้นๆ. บทว่า ทิสตํ คือทิศ. บทว่า อธิเสติ คือ ไป ปาฐะว่า อภิเสติ ก็มี. อธิบายว่า อาศัยอยู่ในทิศที่ติดอยู่. บทว่า กิลิสฺสติ คือ ลำบาก. ปาฐะว่า กิเลชฺชติ บ้าง. อธิบายว่า เปื่อยเน่า. บทว่า สมฺผุสฺสมาโน คือ หนองและเลือดแปดเปื้อน. แม้ข้อนี้ก็เป็นกรรมกรณ์ที่ท่านมิได้กล่าวไว้ในเทวทูตสูตร. บทว่า ปุฬวาวสเถ ได้แก่ เป็นที่อยู่ของหมู่หนอน. โลหกุมภี นี้ท่านกล่าวไว้ในเทวทูตสูตรว่า เป็นคูถนรก. ผู้ที่ตกลงไปในคูถนรกนั้น สัตว์ปากเข็มกัดผิวหนังเป็นต้น แล้วเคี้ยวกินเยื่อในกระดูก. บทว่า คนฺตุํ น หิ ตีรมปตฺถิ คือ ในคูถนรกนั้น แม้ฝั่งที่จะไปก็ไม่มีเลย. ปาฐะว่า ตีรวมตฺถิ ดังนี้บ้าง. ความเหมือนกัน. ฝั่งนั่นแหละท่านกล่าวว่า ตีรวํ ในบทนี้. บทว่า สพฺพสฺมา หิ สมนฺตกปลฺลา เพราะกะทะครอบอยู่มิดชิดในที่ทั้งปวง ความว่า เพราะโลหกุมภีนั้นกะทะครอบอยู่มิดชิดแม้ในส่วนบน ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ไม่มีฝั่งจะข้ามไป. ป่าไม้มีใบเป็นดาบคม มีนัยดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วในเทวทูตสูตรนั่นแล. ก็ป่านั้นปรากฏแต่ไกลเหมือนป่ามะม่วงน่ารื่นรมย์. เมื่อเป็นเช่นนั้น สัตว์นรกทั้งหลายพากันเข้าไปด้วยความโลภ. แต่นั้นใบของต้นไม้เหล่านั้นถูกลมพัดก็ตกแล้วตัดอวัยวะน้อยใหญ่. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 619
ตํ ปวิสนฺติ สมุจฺฉินฺนคตฺตา คือ สัตว์นรกเข้าไปสู่ป่าไม้นั้น ถูกดาบใบไม้ตัดตัวขาด. บทว่า ชิวฺหํ พลิเสน คเหตฺวา อารจยารจยา วิหนนฺติ พวกนายนิริยบาล เอาเบ็ดเกี่ยวลิ้นออกมาแล้วเบียดเบียนด้วยการดึงออกมาๆ ความว่า พวกนายนิริยบาลเอาเบ็ดดึงลิ้นของสัตว์นรกผู้พูดปดรีบวิ่งไปล้มลงในป่าที่มีใบไม้เป็นดาบคมแล้วทุบ เหมือนพวกมนุษย์ลาดหนังสดไว้บนแผ่นดิน แล้วทุบด้วยเสาเหล็กฉะนั้น แล้วเอาขวานชำแหละออกๆ เชือดปลายข้างหนึ่งๆ ทำให้ลำบาก ปลายที่เชือดออกๆ ก็ตั้งอยู่อย่างเดิมอีก. ปาฐะว่า อารชยารชยา ดังนี้บ้าง. ความว่า ดึงออกมา ดึงออกมา ดังนี้. แม้ข้อนี้ก็เป็นกรรมกรณ์ ที่ท่านมิได้กล่าวไว้ในเทวทูตสูตร.
บทว่า เวตฺตรณึ ได้แก่ แม่น้ำที่ท่านกล่าวไว้ในเทวทูตสูตรว่าเป็น แม่น้ำด่างใหญ่. ได้ยินว่า แม่น้ำนั้นปรากฎมีน้ำเต็มดุจแม่น้ำคงคา. เมื่อเป็นเช่นนั้น สัตว์นรกทั้งหลายคิดว่า จักอาบ จักดื่ม ย่อมตกไปในแม่น้ำนี้. บทว่า ติณฺหธารํ ขุรธารํ คมมีดโกนอันคมกริบ ท่านอธิบายว่า สัตว์นรกทั้งหลาย ย่อมตกไปบนคมมีดโกนอันคมกริบ. ได้ยินว่า ที่ฝั่งทั้งสองทั้งข้างบนข้างล่างของแม่น้ำนั้นปรากฏดุจคมมีดโกนอันคมกริบตั้งอยู่ตามลำดับ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม่น้ำนั้นมีคมมีดโกนอันคมกริบ. อธิบายว่า สัตว์นรกทั้งหลายย่อมเข้าถึง คือ ติดอยู่กับคมมีดโกนอันคมกริบเพราะกระหายน้ำ. ก็เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายเข้าถึงอย่างนี้ ถูกบาปกรรมเตือนแล้ว, คนโง่ คือคนพาล ย่อมตกไปบนคมมีดโกนนั้น. พึงประกอบบทนี้ว่า สามา สวลา ด้วยบทว่า โสณา ข้างหน้า. เป็น สามวณฺณา กมฺมาสวณฺณา จ โสณา ขาทนฺติ ความว่า สุนัขดำและสุนัขด่าง ย่อมรุมกันกัดกิน. บทว่า กาโกลคณา ได้แก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 620
ฝูงกาดำ. บทว่า ปฏิคิชฺฌา ได้แก่สัตว์ที่เกิดความอยากด้วยดี อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า มหาคิชฺฌา พญาแร้ง. บทว่า กุลลา ได้แก่ นกตะกรุม. อาจารย์บางคนกล่าวว่า บทว่า กุลลา นี้เป็นชื่อของเหยี่ยว. คำนี้ เป็นชื่อ ของเสนา. บทว่า วายสา ได้แก่ กาไม่ดำ. แม้ข้อนี้ก็เป็นกรรมกรณ์ที่ท่าน มิได้กล่าวไว้ในเทวทูตสูตร. ก็แม้บทเหล่านี้จะได้กล่าวไว้ในเทวทูตสูตร ไม่ได้กล่าวไว้ในสูตรนี้ ก็พึงทราบว่าบทเหล่านั้นเป็นอันกล่าวแล้ว เป็นส่วนเบื้องต้น และเบื้องหลังของบทเหล่านั้นนั่นเอง.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความเป็นไปของนรกนี้ทั้งหมดแล้ว เมื่อจะทรงสั่งสอนจึงตรัสคาถาว่า กิจฺฉา วตายํ ความเป็นไปยากหนอ ดังนี้.
บทนั้นมีความว่า ชนผู้ทำกรรมหยาบย่อมเห็นความเป็นไปอันมีกรรมกรณ์ต่างๆ ในนรกนี้ยากหนอ เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีชีวิตเหลืออยู่ ยังอยู่ในโลกนี้ต่อไป พึงเป็นผู้ทำกิจในชีวิตที่เหลือนี้ ด้วยการตั้งใจทำกุศลธรรมมีการถึงพระไตรสรณคมน์เป็นต้น คือ แม้เป็นผู้ทำกิจในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ ก็ไม่พึง ประมาท คือ ไม่ถึงความประมาทแม้เพียงครู่เดียว ด้วยการทำความเพียรติดต่อกันไปนั่นเอง. นี้เป็นการพรรณนารวบยอดในสูตรนี้. ก็เพราะบททั้งหลาย ที่เหลือได้กล่าวไว้แล้วทั้งเข้าใจได้ง่าย เพราะมีนัยดังได้กล่าวไว้แล้วในก่อนและเพราะมีความง่าย ฉะนั้น จึงไม่ต้องพรรณนาไปตามลำดับบท ด้วยประการ ฉะนี้.
จบอรรถกถาโกกาลิกสูตรที่ ๑๐ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา