ท่านอาจารย์ อะไรที่หนักยิ่งกว่าวิกฤตโควิด ความหวังนี่แหละหนักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คนที่ไม่รู้ก็วิตกทุกข์ร้อนมากๆ พระอรหันต์วิตกทุกข์ร้อนไหม ไม่ว่าจะโควิดหรืออะไรทั้งนั้น กระทบกระเทือนจิตพระอรหันต์ได้ไหม ทำไมไม่ได้หละ เพราะฉะนั้นอะไรที่หนักที่สุด ยิ่งกว่าร้อยเท่าพันเท่า คือ หวังเพราะไม่รู้ แต่ว่าหวังสักเท่าไหร่ จะรู้สักเท่าไหร่ จะแก้สิ่งที่เกิดแล้วได้ไหมไม่ให้เกิด ไม่ได้ แต่สามารถที่จะเข้าใจความจริงโดยไม่เดือดร้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไร ทำทุกอย่างตามเหตุ ตามผล ตามความเป็นจริง ตามที่จะเป็นไปได้โดยไม่เดือดร้อน จะดีกว่ากันไหม นี่เห็นความต่างกันแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องป่วยหนัก ร้องไห้เดือดร้อน กับการที่เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมดา ถ้าไม่มีเหตุก็จะไม่มีการป่วยไข้และความตายใครก็ยับยั้งไม่ได้สักคนเดียว แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานใครยับยั้งได้ เพราะฉะนั้นขณะจิตเดี๋ยวนี้ที่ดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดต่อ เป็นอะไรแล้วแต่ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ เรียนวิถีจิตทำไมคะ เพื่อให้รู้ว่าตลอดมาตั้งแต่เกิดจะต้องดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ตราบเท่าที่กรรมยังไม่หมดไปให้เป็นบุคคลนี้ ก็จะสิ้นกรรมความเป็นบุคคลนี้ไม่ได้ นอกจากนั้นกรรมอื่นทั้งหมดก็จะมีโอกาสที่จะให้ผลในระหว่างที่ยังไม่ตาย กรรมทำให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ทุกคนหลากหลายตามกรรม
เข้าใจถูกต้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในทุกเรื่อง จะทำให้จิตใจไม่เดือดร้อน เบา สบาย กับการเป็นทุกข์ ญาติเรากำลังป่วยหนัก คนนู้นเป็นโควิด คนนี้อยู่โรงพยาบาลไม่มีเตียง เรื่องอะไรก็ตาม แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นแล้วทำยังไงหละ ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่สามารถเข้าใจ ใจไม่หวั่นไหวเพราะรู้ความจริงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เป็นปกติของตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วใจก็ปรุงแต่ง แต่ปรุงแต่งแบบไหน แบบเป็นทุกข์ หรือปรุงแต่งแล้วเข้าใจว่าความจริงก็เป็นแบบนี้นะคะ และก็มีการสะสมมาที่จะช่วยเหลือในทางหนึ่งทางใด แม้แต่ตัวเองก็ระวัง เพื่อที่จะให้คนอื่นไม่เดือดร้อนและตัวเองก็ไม่เดือดร้อนด้วย คิดให้ถูก ทำให้เกิดการกระทำที่ถูกต้อง โดยที่ไม่เดือดร้อนหวั่นไหว แต่ทำ ไม่ใช่ไม่ทำ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนที่เห็นประโยชน์ จะทำได้ดีกว่าไหมว่าประโยชน์คืออะไร ช่วยเขา ขณะนั้นใจสบายเหมือนช่วยตัวเอง ช่วยตัวเองไม่ให้เดือดร้อนก็ไม่ทำร้ายคนอื่นให้เดือดร้อน ทุกอย่างมีเหตุ มีผล ที่จะแก้ไขสถานการณ์ ด้วยความที่เบาไม่หวั่นไหว ภาระค่อยๆ ลดลงไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นยอดกัลยาณมิตรประเสริฐสุด พระองค์ไม่ทรงนำอกุศลเพียงเล็กน้อยไปให้ใครทั้งสิ้น พระองค์จะบอกว่าถูกแล้วหละ ร้องไห้ไปเสียใจไป ไม่ใช่ ขณะนั้นเป็นอะไร ประโยชน์อยู่ไหน เป็นทุกข์ ประโยชน์อยู่ไหนกับตนเองหรือผู้อื่น ไม่มีเลย แต่มีจิตใจมั่นคง มีความเข้าใจถูกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นภัย เห็นโทษ แล้วก็มีความเมตตา กรุณา ในบุคคลที่กำลังเดือดร้อน ช่วยได้ช่วย ตามกำลังความสามารถ โดยการที่ว่าไม่ต้องมานั่งโทมนัสคร่ำครวญว่า วันนี้เป็นอย่างนี้ วันนั้นเป็นอย่างนี้แล้ว เตียงก็ไม่มี แล้วได้ประโยชน์อะไร ถ้าคุณทำไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ เป็นโทษหรือเปล่าที่จะให้ตัวเองเดือดร้อนก่อน
โควิดหนักหนาสาหัส แต่หนักหนาสาหัสคือความไม่รู้ที่ทำให้ตัวเองเดือร้อนและเพิ่มเติมคนอื่นเข้าไปอีกด้วยความรักตัว หวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้ แต่ถ้าเรารู้ความจริงแล้วทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็คือการช่วย ไม่ว่าจะพนักงานบริษัทหรือว่าอะไรๆ ทั้งสิ้น หรือว่าเรื่องโควิดหรือเรื่องที่จะช่วยเหลือทางหนึ่งทางใดก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ลืมนะคะ ช่วยเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะพ้นไปจากวิกฤตต่างๆ ในแต่ละชาติได้ ตราบใดที่เขายังมีความไม่รู้อันนั้นเป็นโทษ
จะอยู่ในโลกนี้ได้กี่วัน และจะอยู่ต่อไปได้กี่วัน แล้วจะอยู่ต่อไปอีกกี่ขณะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ วิถีจิตบอกแล้ว ความตายเกิดได้ทุกขณะ ทุกอย่างไม่มีใครรู้เหมือนเดี๋ยวนี้เลย รู้ไหมว่าขณะต่อไปอะไรจะเกิด เมื่อไม่รู้ ความตายก็เหมือนกัน เมื่อไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด ความตายก็เกิดได้ แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่เป็นอย่างนั้น มีโอกาสได้ฟัง มีโอกาสที่จะเข้าใจ ตราบใดที่ปฏิสนธิจิต (เกิด) ยังไม่เกิด แต่ จุติจิต (ตาย) รออยู่แล้วข้างหน้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อะไรจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะถ้ามีความเข้าใจถูกเป็นประโยชน์ทั้งตนและผู้อื่น