ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะวินเทจ โฮเทล เขาใหญ่ ๙-๑๑ มกราคม ๒๕๖๑
โดย วันชัย๒๕๐๔  17 เม.ย. 2561
หัวข้อหมายเลข 29655

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันอังคารที่ ๙ มกราคม ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณจริยา ตระกูลวิไล สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๒๓๑ และ คุณแสงมณี ชิงดวง สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๑๔๓๗ เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรมที่ เดอะวินเทจ โฮเทล เขาใหญ่

เป็นอีกสถานที่หนึ่งของการสนทนาธรรมที่ข้าพเจ้ามีโอกาสพา คุณแอน มาแชล (Ann Marshall) สหายธรรมชาวแคนาดาซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางมาพักผ่อนและสนทนาธรรมที่ประเทศไทยในช่วงเวลานี้ปีละครั้ง คุณแอนกล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากจะเดินทางไปร่วมฟังการสนทนาธรรมทุกที่ที่ท่านอาจารย์เดินทางไป ซึ่งก็เป็นความกรุณาของคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ที่เชิญคุณแอน พร้อมข้าพเจ้าและคุณภรรยาไปพักที่บ้านพักตากอากาศที่เขาใหญ่ และเข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมที่คุณจริยาและคุณแสงมณีจัดขึ้นที่เดอะวินเทจ โฮเทล เขาใหญ่ ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ปีนี้เป็นปีที่สองแล้วที่ทั้งสองท่านมีกุศลศรัทธากราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาพักผ่อนและสนทนาธรรมที่นี่ จึงขออนุญาตนำภาพที่ได้บันทึกไว้ทั้งสามวันและความการสนทนาธรรมบางตอนมาบันทึกไว้ เพื่อประโยชน์สำหรับทุกท่านที่สนใจจะอ่านและพิจารณานะครับ

คุณแสงมณี กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านอาจารย์วิทยากรและเพื่อนสหายธรรมทุกท่าน ประเด็นคือ อยากจะพูดให้เพื่อนๆ ในที่ทำงาน เพื่อนที่รู้จักกันมาสมัยเด็กๆ อยากให้เขาเห็นเราเป็นตัวอย่าง เพราะว่าการที่จะไปบอกให้เขาฟังการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ เป็นการยากมากที่จะไปโน้มน้าวหรือว่า ให้เขามาฟังธรรมบ้าง เพราะว่าชีวิตก็ล่วงเลยเข้าสู่วัยหลังเกษียณอายุราชการกันหมดแล้ว

เท่าที่ประสบ เขาก็มักจะบอกว่า เขาก็เป็นคนดีแล้ว ทำไมเขาต้องฟังธรรมะ เขาก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เขาก็มีความสุขดี แต่เราก็อยากให้เขารู้ว่า เราคิดว่าจากที่เราคิดว่าเรามีชีวิตมาจนถึงป่านนี้เราก็ทำความดีมาเพียงพอแล้ว แต่การมาฟังธรรมะ เราได้ประโยชน์จากสิ่งที่ไม่เคยรู้ ท่านอาจารย์ได้กล่าวให้เรารู้ และความแตกต่างนั้น มันเป็นพลังมหาศาล ที่เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา เท่ากับตัวเราได้รู้เอง รู้ด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือมีอะไรที่เราควรจะรู้

ชีวิตในแต่ละย่างก้าวหรือในชีวิตประจำวัน (ความเข้าใจธรรมะ) มีผลต่อเราอย่างไร มีผลต่อผู้อื่นอย่างไร จากที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ท่านอาจารย์บอกว่า จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราจะระลึกถึง เรารู้สึกอย่างนั้นเพราะอะไร และจะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าเราไม่ได้ฟังธรรมะ

แต่ก่อนก็ไม่รู้เลย ได้แต่กราบพระพุทธรูป เรากราบแล้วเรารู้สึกอย่างไร? มีความรู้อะไรในสิ่งที่พระองค์สอนบ้าง? ไม่เคยรู้เลย นอกจากสิ่งที่เป็นพุทธประวัติของพระองค์เท่านั้น จากประสบการณ์ ก็เลยอยากจะได้เทป ที่จะให้เพื่อนฟัง เพราะคำพูดของเราที่จะไปบอกเขาซึ่งๆ หน้า เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากเราจะกลมกลืนไปกับเขาด้วยซ้ำ ในสิ่งที่เขาไปนั่งสมาธิหรือไปปฏิบัติธรรมในสถานที่ต่างๆ

อย่างที่ท่านอาจารย์บอกว่า อย่าเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนพาล แม้แต่ตัวเราเองซึ่งฟังธรรมะอยู่ ยังมีโอกาสที่จะ ... .เขาบอกว่าเขานั่งแล้วเขาหายจากโรคโน้นโรคนี้ อะไรอย่างนี้ ซึ่งถ้าไม่ฟังธรรมะ โอกาสของอวิชชา ความไม่รู้ จะเข้ามาง่ายมาก เพราะในชีวิตประจำวันเราก็หลั่งไหลไปในทางอวิชชา ความไม่รู้ เยอะอยู่แล้ว ก็อยากจะกราบเรียนให้ท่านอาจารย์ทราบว่า โน้มน้าวเพื่อนๆ ได้ยากมากค่ะ

ท่านอาจารย์ แล้วเป็นทุกข์ไหม? เวลาที่เขาไม่มาฟังหรือเขาไม่สนใจ คุณแสงมณีเป็นทุกข์ไหม?
คุณแสงมณี ไม่ทุกข์ค่ะ อย่างที่ท่านอาจารย์บอก ว่ายากที่จะไปโน้มน้าว
ท่านอาจารย์ แล้วบ่นไหม?
คุณแสงมณี ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ แล้วบอกไหม? ว่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง
คุณแสงมณี บอกแล้วแต่ว่า..
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ ไม่ทุกข์ ไม่บ่น แล้วบอกหรือเปล่า? พูดหรือเปล่า? ว่าเสียดายที่เขาไม่ฟัง
คุณแสงมณี บอกแม้กระทั่งว่า การที่มาฟังธรรม..

ท่านอาจารย์ แล้ว "ประโยชน์" อยู่ตรงไหน? เห็นไหม? ทุกคนต้องเป็นคนที่ ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ใครก็ตาม ที่เขาไม่สนใจธรรมะ เราจะไปฝืนด้วยประการทั้งปวง ให้เขาเข้าใจ เขาไม่สนใจ กลับทำความเดือดร้อนใจให้เขา และอาจจะเดือดร้อนใจบ่อยๆ ถ้าเราพูดถึงบ่อยๆ ใช่ไหม?

แค่ถามว่า สนใจจะฟังไหม? ถ้าสนใจ ก็มีอะไรที่จะให้ฟัง ให้อ่าน แต่ถ้าไม่สนใจ เอาไปให้เขา เขาก็ไม่ฟัง!! เขาก็ไม่อ่าน!! แล้วเราก็มานั่งเสียดาย ว่าเราเอาไปให้แล้วก็ไม่สนใจ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่ใช่สำหรับทุกคน!! แต่ต้องสำหรับคนที่เห็นคุณค่า!!! มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เพราะทุกคนที่ได้ยินได้ฟังวันนี้ ไม่ใช่บังเอิญ!! ไม่มีการที่จะบังเอิญได้ฟัง แม้แต่คนกลางถนน ในรถ หรือที่ไหนก็ตามแต่ มีโอกาสได้ฟังธรรมะ ไม่ใช่บังเอิญ!! แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ต้องมั่นคงจริงๆ ว่า ธรรมะไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร และ เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เท่านั้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย เกิดไม่ได้!! ใครลองทำให้ไฟเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้สิ ได้ไหม? ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรทั้งหมด เราไม่เคยรู้เลยว่า ไม่มีใครทำอะไรได้เลย แต่..มีปัจจัยที่จะทำให้ "สิ่งใด" เกิดขึ้น "สิ่งนั้น" จึง "เกิด" ได้ แค่นี้เอง!!

"ทุกคำ" ที่ได้ฟัง ต้อง "มั่นคง" ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่กำลังมี ให้รู้ว่า "สิ่งที่มี" เกิดเพราะอะไร เพื่อที่จะได้ละคลาย "ความเป็นเรา" เขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเรา โน่นก็เป็นโน่น นี่ก็เป็นนี่ ก็ล้วนแต่เป็น "สิ่งที่เกิดขึ้น" ตามเหตุตามปัจจัย ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่เข้าใจ กลายเป็นเดือดร้อนไปหมด ไม่ว่าใครจะทำอะไร แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมะ ไม่เดือดร้อนเลย!! ใครจะคิดอย่างไร ใครจะว่าอย่างไร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด!!

สำหรับเรา ซึ่งมีโอกาสได้สะสม การได้เข้าใจธรรมะมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟัง และรู้ด้วยว่า "ฟังแค่นี้ไม่พอ" ใครคิดว่าพอแล้วบ้าง? ไม่พอ!! แล้วจะฟังต่อไปอีกไหม? เห็นไหม? บังคับได้ไหม?

เพราะว่าบางคนตอนเด็กได้ฟัง แต่พอโตขึ้น หายไปสักพักหนึ่งก็กลับมา หายไปอีกก็ได้!! ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่า สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ มีการเกิดขึ้นเป็นไป สืบต่อมา นานแสนนาน ... กว่าจะถึงวันนี้!! และ เดี๋ยวนี้!!

เพราะฉะนั้น วันนี้และเดี๋ยวนี้ ก็หมดไปอีก!! หมดไปอีก!! หมดไปอีก!! จนข้างหน้าก็แสนโกฏิกัปป์ ก็ยังคงเป็นอย่างนี้!! จนกว่าจะมีการได้ยิน ได้ฟัง "คำ" ที่สามารถจะทำให้เข้าใจว่า "ธรรมะ" ในภาษาบาลี คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้!!

เพราะฉะนั้น ใครจะไปสำนักไหน ไปปฏิบัติอะไร ก็ตามแต่ เขาเข้าใจ "สิ่งที่กำลังปรากฏ" หรือเปล่า? ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะเข้าใจอะไร? เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น น้อยมาก สั้นมาก สุดที่จะประมาณได้ แค่ "เห็น" จะเป็นคนหลายคนนั่งอยู่เต็มห้องได้ไหม? ไม่ได้!! "เห็น" ขณะเดียว!!

เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็น แต่ละหนึ่งคน แต่ละหนึ่งอย่าง ต่างกันไปเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเสา เป็นอะไร จิตเกิดดับ นับไม่ถ้วน!! เพราะว่า "ธาตุรู้" มี ถ้าธาตุรู้ไม่มีเดี๋ยวนี้ จะไม่มีใครในห้องนี้เลย มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีดอกไม้ มีกระดาน มีไฟฟ้า มีอะไร ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ไม่มีคน เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นนามธรรม เป็นนามธาตุ ซึ่งใครก็ไปบันดาลให้เกิดไม่ได้เลย และขณะเดียวกันก็ห้ามไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ นี่คือความหมายของธรรมะ

กว่า "จิต" ของคนที่ฟังธรรมะจะค่อยๆ น้อมไปว่า ธรรมะไม่ใช่อื่นไกลเลย เดี๋ยวนี้!! แต่ว่าถูกปกปิดไว้ด้วย "ความไม่รู้" แสนนาน ประมาณไม่ได้เลย!! จนแม้แต่พูดคำว่า "เดี๋ยวนี้" ก็ไม่รู้ว่าอะไร? จนกว่าจะได้ฟังธรรมะ จึงจะเข้าใจว่า ที่เราฟังทั้งหมด คือ ฟังให้เข้าใจ "สิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้" ไม่ต้องไปทำอะไรเลย "มีแล้วเดี๋ยวนี้" แต่ไม่เคยเข้าใจ!!!

เพราะฉะนั้น ก็ฟัง เพื่อที่จะให้เข้าใจ "สิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้" ยาก ... เพราะเหตุว่า ดับแล้ว!! ที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ แสนสั้น หมดแล้ว!! มีใหม่อีกแล้ว!! "ได้ยิน" ดับไปแล้ว เมื่อกี้ได้ยิน ... ไม่รู้..ดับแล้ว..เดี๋ยวนี้!!ได้ยิน..ไม่รู้!!..ดับแล้ว..."เห็น" เมื่อกี้นี้ เห็นแล้ว..ดับแล้ว ... ไม่รู้!! "คิด" เมื่อกี้นี้ คิดแล้ว..ดับแล้ว ... ไม่รู้!!! เป็นอย่างนี้มานาน!! จนกระทั่งเข้าใจความเป็นธรรมะว่า ไม่ใช่เรา!!

ทุกคำ ไม่ใช่ให้เชื่อเลย ใครจะไปสำนักปฏิบัติ ใครจะไม่ฟังธรรมะ ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นอย่างนั้นเพราะเหตุปัจจัยที่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น การสะสมของแต่ละคน หลากหลายมาก แม้แต่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจแค่ไหน? คิดอะไร? กว่าจะมาได้ยินได้ฟังอีกคำหนึ่ง เมื่อกี้นี้คิดเรื่องอื่นไปแล้ว ใช่ไหม? นี่ก็คือความจริงทั้งหมด!! เพื่อให้รู้ว่า "เป็นธรรมะ" คำเดียว ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดคือเป็นพระอรหันต์ เพราะรู้ว่า "เป็นธรรมะ" ทุกอย่าง!!!

เพราะฉะนั้น การฟัง ไม่ต้องไปห่วงกังวล ตราบใดที่ แหม!! ตั้งยี่สิบปีแล้ว ไม่เห็นรู้อะไร ห้าสิบปี ก็ไม่รู้อะไร ใครล่ะ? ที่ไม่รู้!!! มัวแต่ "จิตคิดถึงความเป็นเรา" ด้วยความไม่รู้!!!

เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียด ลึกซึ้ง อย่างยิ่ง!! ถ้าจะสนทนาก็คือว่า บูชาคุณ ว่า "แต่ละคำ" ถ้าไม่มีโอกาส ไม่ได้ยินได้ฟังเลย ในสังสารวัฏฏ์จะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น!! กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้!! อะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้ "เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด" ซึ่งถือ ยึดมั่น มานานแสนนาน ด้วยความไม่รู้!! เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ด้วยความเคารพ คือ "แต่ละคำ" ฟัง-เพื่อ-เข้าใจ ไม่ต้องกังวล!! ใครจะได้ฟัง ไม่ได้ฟัง อย่างไรก็ตามแต่ ถ้าเขาสนใจ เราพร้อม!!

แม้แต่เวลานี้ ประเทศไทยเอง ก็มีทั้งฝ่ายที่ฟังธรรมะและไม่ฟังธรรมะ!! ฟัง "คนอื่น" ไม่ใช่ฟัง "พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เพราะฉะนั้น "ความคิดต่าง" ก็มีมาก!! ก็เป็นเรื่องที่เป็นธรรมะทั้งหมด!! ก็ไม่ต้องสนใจที่เราจะไปแก้ไขอะไร!! ขอให้เข้าใจธรรมะ!!!

เพราะฉะนั้น "ทุกคำ" ที่เรามีความหวังดีกับใคร เราก็จะพูด เพื่อที่จะให้เขา "เข้าใจธรรมะ" เพราะว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่ได้รู้จักธรรมะเลย แค่ได้ยินธรรมะ ก็ไปหาธรรมะ!! ทำไมไม่ฟัง!! ว่า "คำนี้" คือ อะไร? แต่ไปหาอะไรก็ไม่รู้!!!

เพราะฉะนั้น ก็สำหรับผู้ที่ได้ฟังธรรมะแล้ว เคารพอย่างยิ่ง ในพระรัตนตรัย ไม่มี "กิจอื่น" ที่จะต้องไปสนใจคำของคนที่เขาไม่เข้าใจธรรมะ!! เขาไม่สนใจที่จะเข้าใจธรรมะด้วย!! เพราะเหตุว่า ถ้าสนใจที่จะเข้าใจ ก็พุทธบริษัท ร่วมแรงร่วมใจกัน ดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย "วิธีเดียว" เข้าใจธรมะ!!!

ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะ ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!! ไม่มีทางที่จะ มีความอดทน ที่จะให้คนอื่นเขาได้สามารถได้เข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะว่า แต่ละชาติที่เกิดมา จะสั้นจะยาวแค่ไหน ไม่มีใครรู้ได้ แต่ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมา ก็คือว่า ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี!!!

ทุกคนก็ "เห็น" อยู่ทุกวัน ไม่มีใครปฏิเสธ เกิดแล้วต้องตาย มีใครปฏิเสธไหม? เกิดแล้ว "ก่อนตายทำอะไรบ้าง?" มีใครปฏิเสธบ้าง? "เห็น" เดี๋ยวนี้ "ได้ยิน" เดี๋ยวนี้ "คิด" เดี๋ยวนี้ "จำ" เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้หมด แล้วก็หายไป!! หมดไป!! โดย ... ไม่รู้!!!!

กับ โอกาสที่ ในสังสารวัฏฏ์ ชาติไหนก็ไม่สำคัญ เลือกไม่ได้!! แต่ว่า เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกคนพูดคำที่ไม่รู้จักสักคำ!! แล้วก็ตายจากโลกนี้ไป อะไรก็เอาไปไม่ได้ทั้งหมด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พอเกิดก็เป็นเรา พอตาย เราอยู่ตรงนั้น!! ซากศพนั้นแหละ ของเราหรือของใคร?

เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งซึ่ง ถ้าไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกแสนโกฏิกัปป์ ออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้!! เหมือนหลับแล้วตื่นไหม? ถ้ามีโอกาสได้ฟัง แต่ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟัง เหมือนหลับ แต่ยังไม่ตื่น!!

ใครตื่นแล้วบ้าง? หรือกำลังหลับ เพราะอะไร? ตอนหลับ ฝัน ตื่นมา ไม่มีสิ่งที่ฝัน!! เพราะฉะนั้น ตอนนี้ "หลับ" มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีทุกอย่าง!! พอ "ตื่น" ไม่มี!! จะมีเหลือได้อย่างไร? ทุกอย่าง หมดไปทุกขณะ!!

เพราะฉะนั้น การที่เราจะ ได้พิจารณา ไตร่ตรอง จากการได้รับฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ขอให้เข้าใจ!! ไม่ใช่เพียง "จำ" แล้วคิด ว่า กำลังศึกษาธรรมะ!! จิตมีเท่าไหร่ เจตสิกมีเท่าไหร่ ขันธ์เท่าไหร่ อายตนเท่าไหร่ ธาตุเท่าไหร่ นั่นไม่ได้เข้าใจ "สิ่งที่กำลังมี" แต่ละคำที่พูด แต่ ถ้ามีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี จะเข้าใจแต่ละคำได้!!!

เพราะฉะนั้น "การเข้าใจ" ต่างหาก ที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์!!! คุณความดีทั้งหลาย ก็ทำไป!! ไม่ให้โทษ แต่ว่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีได้!!

ด้วยเหตุนี้ ก็เทียบกันได้ว่า แม้ว่าจะ ละชั่ว ทำความดี ยังไม่พอ!! ... ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ... กำลังฟัง...เข้าใจเมื่อไหร่ ... ชำระจิต ... ที่หนาแน่นด้วยกิเลส!!! มากมาย ในขณะนั้น!!! เพราะฉะนั้น ฟัง แล้วเข้าใจเท่าไหร่ ก็ชำระจิตได้เท่านั้น!!! ไม่มากกว่านั้นเลย!!!

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคำนึงถึงอย่างอื่นเลย!! ตรงนั้นยังไม่รู้ ตรงนี้ยังไม่เข้าใจ ก็ "ฟังแล้วไตร่ตรอง" ความจริงกำลังปรากฏ!! "ต้องตรงตามความเป็นจริง" จึงจะถูกต้อง!! และเข้าใจได้!!

เพราะฉะนั้น ก็ไม่กังวลเลย เป็นปกติ!!!

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณแสงมณี ชิงดวง และ คุณจริยา ตระกูลวิไล
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมบันทึกวีดีโอการสนทนาธรรมทั้งหมด ได้ที่นี่ ...



ความคิดเห็น 1    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 17 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย Pattanan  วันที่ 17 เม.ย. 2561

กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย chvj  วันที่ 4 พ.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ