ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณปริญญา สีดาโสม
คุณหมอทวีป ถูกจิตร และ คณะฯ เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรม
ที่ ชะอำ ลองบีช คอนโดมีเนียม อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้รับความกรุณาจากท่านเจ้าภาพ เชิญให้ไปพักผ่อน
และอยู่ร่วมการสนทนาด้วย โดยพี่หมอทวีป ได้จองบ้านพักที่ยูเรเซีย ชะอำ ไว้ให้หลังหนึ่ง
แต่เมื่อถึงเวลา มีเพียงข้าพเจ้าคนเดียวที่เดินทางไปได้ คนอื่นๆ ในครอบครัว
ต่างติดภารกิจคือการเรียน และ การงานกันหมด แม้จะพยายาม
ที่จะพิจารณากันแล้วหลายหน แต่ก็จนด้วยหลักฐาน คือ ติดเรียน ติดสอบ และ ติดงาน
ทำให้ได้คิดพิจารณา และ มั่นคงขึ้นอีก ในความเป็นอนัตตา
ว่าแม้เหตุอื่นๆ ที่จะให้ได้ไป มีอยู่บริบูรณ์
ทั้งรู้ว่า การได้ไปร่วมการสนทนา ย่อมเป็นประโยชน์ ก็ไม่สามารถไปได้
เมื่อเข้าใจขึ้น จึงไม่เป็นผู้ที่เดือดร้อน ด้วยความติดข้อง ต้องการ
เพราะหากจะได้ไป ก็จะได้เห็นเอง เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ว่าการไปหรือการไม่ได้ไป
หากเป็นผู้ที่มั่นคงขึ้น จากความเข้าใจพระธรรมแล้ว
ปัญญาและกุศลธรรมประการต่างๆ ย่อมเกิดได้ มีได้ ไม่จำกัดว่า เป็นสถานที่ไหน เวลาใด
ก่อนวันเดินทางวันหนึ่ง พี่หมอทวีป โทรศัพท์มาขอให้ข้าพเจ้า แวะไปช่วยขนสัมภาระ
ตอนเช้าเมื่อไปถึงบ้านพี่หมอ ก็พบกับเครื่องครัว กองมหึมา ที่พี่หมอเตรียมไปเด็มพิกัด
ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องปรุงต่างๆ ไม่มีขาดตกบกพร่อง พี่หมอเตรียมไปหมด
เตาแก๊ส จานชามถึงสามตะกร้า แม้กระทั่งผ้าเช็ดจาน ชาม และ แม้ผ้าเช็ดโต๊ะด้วย
ข้าพเจ้าและพี่หมอขับตามๆ กันไป แต่แรก พี่หมอชวนไปรับประทานอาหารกลางวัน
ที่ร้านอาหารทะเลแถวแม่กลอง สมุทรสงคราม แต่เปลี่ยนใจ อยากแวะไปชิมอาหาร
ที่ร้านคาวบอย คาเฟ่ ราชบุรี ของคุณเอ๋ สุภัทรา ใจชาญสุขกิจ ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี
เมื่อเดินทางถึงที่ร้าน คุณเอ๋ตกใจเล็กน้อย ที่จู่ๆ ก็ได้พบหน้ากันอีก (แล้ว) เพราะคุณเอ๋
เพิ่งเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรม เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ตามกระทู้ที่ลงไว้นี้ครับ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้านอาหาร Cowboy Cafe ราชบุรี ๕ ก.พ. ๒๕๕๖
หลังรับประทานอาหารเสร็จ พี่หมอบอกให้เด็กเช็คบิล เด็กๆ หายไปพักหนึ่ง เดินยิ้มกลับมา
บอกว่า ทั้งหมด หนึ่งร้อยบาท ทุกคนถึงกับหัวเราะ ไม่เท่านั้น คุณเอ๋เธอยังฝากอาหาร
อีกหลายถุง และ ส้มโอรสดีอีกสองลูกใหญ่ ไปให้ผู้ร่วมสนทนาธรรมได้รับประทานด้วย
ทั้งนี้ พี่หมอทวีป ก็ได้ชวนให้คุณเอ๋ไปร่วมฟังการสนทนาธรรม ซึ่งคุณเอ๋ก็ไปในวันรุ่งขึ้น
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลศรัทธาของคุณเอ๋ด้วยนะครับ
ถ้าใครรู้จักกับพี่หมอทวีป จะรู้ว่าพี่หมอเป็นคนละเอียด ไม่ใช่แค่ชอบทำอาหาร
แต่ทำอย่างพิถีพิถัน และที่สำคัญอร่อยมากด้วย และ อาหารจานเด็ดๆ ทั้งหลายที่พี่หมอทำ
เช่นหอยทอด ข้าวต้มปลา แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เมี่ยงคำ ฯลฯ
ไม่สามารถหาที่ไหนเหมือนได้เลยแน่นอน เพราะข้าวต้มปลาที่พี่หมอทำ มีแต่ปลาชิ้นโตๆ
สดมาก เพราะพี่หมอรู้ว่า ต้องเลือกปลาตัวใหญ่ขนาดกว่า ๑๐ กิโลกรัม
จึงจะมีเนื้อแน่น หวาน ข้าวที่ใช้ก็ต้องเป็นข้าวหอมมะลิใหม่ และ แท้ๆ
รวมถึงวิธีการต้มข้าว และขั้นตอนต่างๆ ที่ไม่ทำให้ปลามีกลิ่นคาวเลย
แม้หอยแมลงภู่ พี่หมอก็ต้องโทรศัพท์ไปสั่งไว้ล่วงหน้า
และ ปริมาณหอยต่อจาน ก็ไม่มีใครกล้าใส่แบบพี่หมอเป็นแน่
ทุกท่านที่ได้ศึกษาธรรม ย่อมสังเกตุเห็นความหลากหลายของการสะสม
ในศิษย์ของท่านอาจารย์ ที่มีต่างๆ กัน ไม่เหมือนกันเลยสักคนเดียว
แต่ประการที่สำคัญที่สุด คือ ทั้งหลายทั้งมวล ความสามารถในด้านต่างๆ เหล่านั้น
เป็นไปพร้อมๆ กับ การเจริญขึ้น ของกุศลธรรมประการต่างๆ
ที่เป็นที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง
ทำให้รู้สึกได้ถึงกุศลจิต แม้ของเราเอง ที่เกิดขึ้นจากการอนุโมทนา
ในกุศลจิตที่เป็นไปกับการให้ของทุกๆ ท่าน โดยแท้จริง
เราเดินทางถึง ชะอำ ลองบีช คอนโดมีเนียม ในตอนบ่าย
โดยยังไม่ได้แวะเข้าที่พัก ที่ยูเรเซีย ชะอำ เพราะทราบว่าท่านอาจารย์เดินทางมาถึงแล้ว
โดยมีคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ที่ข้าพเจ้าทราบว่าได้เดินทางมาก่อนตั้งแต่เมื่อวาน
เพื่อมาเตรียมอาหารกลางวันอย่างพิถีพิถันมาก ไว้รอรับท่านอาจารย์
ข้าพเจ้าไปถึงทีหลัง ก็ยังได้ชิมน้ำพริกแสนอร่อย มีเครื่องเคียงมากมาย
และ ยังได้รับประทานข้าวเหนียวมะม่วงแสนอร่อย (อีกแล้ว) อร่อยจริงๆ ครับ
ก่อนทานก็บ่นว่าเยอะไป ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า ค่อยๆ ทานเดี๋ยวก็หมด หมดจริงๆ ครับ
นอกจากนั้นในแต่ละวัน คุณแอ๊วยังชงโกโก้เย็น กาแฟเย็น ไว้บริการตลอดสามวันด้วย
คอนโดที่ท่านอาจารย์พัก และ ใช้เป็นที่สนทนาธรรมนี้
เป็นของพี่สาวของพี่ปริญญา สีดาโสม สหายธรรมที่เคยทำงานอยู่ที่อเมริกาหลายสิบปี
เมื่อกลับมาเมืองไทย ท่านมีความสนใจที่จะศึกษาพระศาสนา
และ เป็นเพราะบุญที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้ท่านได้พบกับพระภิกษุท่านหนึ่ง
ที่วัดบวรนิเวศน์ฯ เมื่อราวสองปีก่อน และ ท่านได้ให้เทปการบรรยายธรรม
ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไปฟัง ท่านรู้สึกสนใจมากในทันที
ได้ติดตามสอบถามหาจนพบมูลนิธิฯ และ ได้เดินทางไปพบท่านอาจารย์เป็นครั้งแรก
ที่บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เมื่อคราวน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปลายปี ๒๕๕๔
ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้พบและรู้จักท่านที่นั่นเป็นครั้งแรก ด้วยเช่นกัน
อนึ่ง เนื่องจากครั้งนี้ กลุ่มท่านเจ้าภาพ ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อน
และแน่นอนว่า ทุกที่ๆ ท่านอาจารย์ไป ท่านย่อมไม่ขาดเลยซึ่งความเมตตา
ที่จะเกื้อกูล ให้ความรู้ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ในพระธรรม แก่ทุกๆ คน
รวมถึง ท่านเจ้าภาพท่านหนึ่ง คือ พี่หมอทวีป ท่านมีอุปนิสสัยที่ชอบทำอาหาร
และมีความตั้งใจอย่างยิ่ง ที่จะให้ทุกท่านที่ไป ได้รับประทานอาหารดีๆ
กระทู้นี้ จึงอาจมีภาพของอาหารมากหน่อยนะครับ เพราะไม่มีภาพอื่นๆ นอกจากที่คอนโดฯ
และ ที่ ยูเรเซีย ชะอำ ลากูน เพื่อให้สมดุลย์กับเนื้อความธรรมะ ที่มีความไพเราะ
ที่ข้าพเจ้าอยากแบ่งปันให้ทุกๆ ท่านได้อ่านและพิจารณาด้วย ดังนี้นะครับ
คุณอนุทิน อย่างตอนนี้ครับท่านอาจารย์ ผมไม่สบาย ปวดสะโพกมาก
เวลาผมขับรถ ผมก็ฟังธรรมไปบ้าง แต่พอนึกขึ้นได้ ผมก็คิดเอาเองครับ ว่า
ระลึกเวทนาว่า มันปวด มันอะไรอย่างนี้ พอตรงอื่นมันเกิด ก็คิดๆ ไป
พอเสร็จแล้ว ก็ระลึกว่า มันปวด แต่ว่า เดี๋ยวมันก็ดับ เดี๋ยวมันก็เกิด ตามที่พระพุทธองค์
ทรงแสดง แต่ว่า ส่วนที่มันเกิด มันดับ มันระลึกไม่ได้ เพราะว่ามันปวดอยู่ตลอดเวลา
มันเป็นการเพ่งจ้อง ไหมครับ?
ท่านอาจารย์ ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะอะไรคะ?
เพราะว่าจริงๆ ธรรมะ เป็น ธรรมะ อยู่แล้ว
แล้วเราคิดว่า เราจะมีสติเกิด โดยไปเพ่งจ้องทันที เป็นไปไม่ได้
เพราะว่า สะสมความเป็นเรามานาน ความเป็นเรา จะค่อยๆ ปรากฏ
แต่อย่างที่คุณอนุทินถาม ก็ถามเพื่อหายสงสัย ว่าใช่หรือไม่ใช่
แต่ว่า ต้องมีความเข้าใจชัดเจน
ส่วนใหญ่ คนข้าม คิดว่าเราจะไปหมดกิเลส ตอนที่สิ่งนั้น สิ่งนี้ ปรากฏ
อย่างเราไปมีความรู้สึกเจ็บเกิดขึ้น
เราก็คิดว่า จะต้องไปรู้ตรงนั้น จะต้องไปรู้ตรงนั้น
หรือว่า ฟังมาว่า ควรรู้ ก็อยากจะรู้ตรงนั้น
หรือ ฟังมาว่า เป็นสิ่งที่เป็นธรรมะ ก็รู้ตรงนั้น
แต่ "ความเป็นเรา" มันอยู่เต็มที่
เพราะอะไรคะ? เพราะว่าใจของแต่ละคน แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว
ไม่มีใครมองเห็น สะสมความไม่รู้มานานเท่าไหร่?
วิธีที่จะเข้าใจจริงๆ ก็คือว่า
ฟังธรรมะ มีความเข้าใจในความไม่ใช่ตัวตน หรือ ไม่ใช่เรา แค่ไหน?
แทนที่ว่า เราอยากจะให้รู้เร็วๆ ว่าเราจะต้องมาดูตรงนี้ เราจะต้องมาดูตรงนั้น
แต่ให้คิดถึงสภาพจิตคุณอนุทิน แสนกัปป์มาแล้ว
มีทั้งความไม่รู้ มีทั้งความเป็นตัวตน มีทั้งความสำคัญตน มีทุกอย่าง ที่ไม่ดี
ถ้าไม่เกิดปรากฏ เราจะไม่รู้ ว่าระดับไหนของโทสะ ระดับไหนของโลภะ
ระดับไหนของความสำคัญตน นี่ตัวใหญ่ๆ นะคะ ระดับไหนของมัจฉริยะ
เพราะว่า เรามองดู เราเหมือนกับว่า ช่วยเหลือคน ทำอะไรให้คนก็จริง
แต่เราหวงตัวเราแค่ไหน? ไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ได้
มันมากมาย จนกระทั่งว่า ถ้าไม่มีปัจจัย ไม่เกิด ไม่รู้ว่ามี
แต่ว่า ความเป็นปุถุชน และ การที่เราได้มีโอกาสฟังธรรมะ
แล้วก็นานแสนนานมาแล้ว ที่ "เห็น" เขาเห็น แล้วอกุศลเกิดสืบต่อ
เหมือนได้ยินกับเห็นเวลานี้พร้อมกัน
เพราะฉะนั้น อกุศลที่ต่อ ตอนที่รูปยังไม่ดับ มันเร็วกว่านี้แค่ไหน?
เพราะฉะนั้น การสะสมของความไม่รู้ กับ ความติดข้อง มันมหาศาล
มหาศาลจนกระทั่ง คนที่ไม่ได้ฟังอย่างละเอียด
คิดจะละอกุศล ด้วยความไม่รู้
และคิดว่า เดี๋ยวมันคงน้อยลงไป น้อยลงไป
แต่ไม่รู้เลยว่า
นี่แค่ฟัง
แล้วฟังแล้ว เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แค่ไหน?
กำลังปรากฏแท้ๆ ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ แล้วมีความเข้าใจเห็น ในฐานะที่ไม่ใช่เราเลย
มีปัจจัยเกิดแล้วดับ เกิดขึ้นเห็น เป็นอุปัตติ
ทรงแสดงทุกพยัญชนะ เพื่อที่ให้เห็นความต่าง
ว่าแม้แต่จิต ก็หลากหลาย มากมาย
แสดงให้เห็นว่าชัดๆ ว่า อันนี้ ต้องต่างกับอันอื่น สิบดวงนี้
เพื่ออะไร?
สะสมให้เป็นความเข้าใจ
เพื่อล้างสิ่งที่มีอยู่ในจิตแต่ละคน ที่สะสมมา แสนโกฏิกัปป์
ให้ค่อยๆ ล้างความไม่รู้ออกไป แล้วก็เป็นปรกติด้วย
แล้วก็มีความเข้าใจถูกต้อง
ว่ากำลังฟัง แล้วก็เข้าใจ
แต่ความเข้าใจระดับนี้ ถึงฐานะที่จะเป็นปัจจัย ให้มีสติเกิด
ไม่ใช่เราจะรู้ เราจะดูเวทนา เพราะตอนนี้มันปวด
แต่ว่า สติของเขา เกิด ไม่มีใครไปสั่ง
ไม่มีใครไปบอกว่า ให้รู้เห็น หรือ ให้รู้เจ็บ หรือ ให้รู้แข็ง หรือ ให้รู้คิด
นั่นถึงจะเข้าใจ ความเป็นอนัตตา ว่าทุกอย่าง เกิดตามเหตุตามปัจจัย
แต่นี่ มีตัวเราเจ็บ แล้วมีตัวเราจะดู มันก็เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ถึงได้ว่า ความละเอียดจริงๆ เป็นเรื่องรู้ว่า
จิตของเราสกปรก เป็นแผลเหวอะหวะ เน่าเหม็นสักแค่ไหน?
กว่าจะมียา จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาช่วยทำให้รู้จักว่า
จะกินยาอย่างไร? ถึงจะค่อยๆ บรเทาลงไป
ไม่ใช่ ไม่มียาเลย มีแต่ความเป็นตัวตน ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ
มีแต่ตัวตนเข้ามา
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก
ด้วยเหตุนี้ อริยสัจจสี่ รวมมรรคมีองค์ ๘ ลึกซึ้งด้วย
ไม่ใช่แต่เฉพาะ อริยสัจจที่ ๑ หรือที่ ๒ ที่ ๓ แม้ที่ ๔
กว่าคนที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเรื่อง "ปัญญา" เป็นเรื่องความเห็น
ซึ่งเริ่มรู้ว่า "ไม่ใช่เรา"
ซึ่ง "เริ่ม" นะคะ ไม่ใช่เรา
แต่กำลังทำอย่างนั้น มันเราทั้งตัว แล้วก็ไปส่งเสริมกันให้ "ทำ"
ก็ "ผิดทาง"
แล้วก็ทำลายคำสอน
อันตรธานเร็วมาก
เพราะความไม่ละเอียด รอบคอบ
คือ ไม่ใช่เรื่อง "ละ"
แต่ "ธรรมะ" เป็นเรื่อง "ละ"
"ละ" เพราะว่า แม้สติ เกิดแล้ว เห็นชัดในความเป็นอนัตตา
ระลึกแล้ว
นี่ "เราจะดู" เวทนา ความรู้สึกเจ็บ นี่มันก็ไม่ใช่
เพราะฉะนั้น
ฟังอย่างเดียว เพื่อเข้าใจ
แล้วเห็นความเป็นอนัตตาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เพิ่มความเข้าใจ ที่จะละความเป็นตัวตน
คุณน้อย ท่านอาจารย์คะ เพราะว่าบางครั้ง ในคำพูด ถ้าเราไม่เข้าใจ
เราก็จะทำ อย่าง "ตามดู" "ตามระลึก"
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถึงต้องฟัง จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจของตัวเอง สำคัญที่สุด
จะมาก จะน้อย
ชาตินี้ ขอให้เป็น "ความเข้าใจ" จริงๆ
เป็นพระธรรมที่แท้จริง
ไม่ใช่เรียกว่า ธรรมะ แต่มีตัวตนเข้าไปเต็มที่เลย
แล้วก็ไปเรียกธรรมะนั้น ธรรมะนี้
คุณหมอธงชัย อาจารย์ครับ อย่างในขั้นฟัง อย่างโลภะ
ในขั้นฟัง รู้ได้อย่างไร ว่าเป็นสมุทัย
ท่านอาจารย์ อ๋อ ไม่ต้องไป ไม่ต้องไปรู้สมุทัย
ปัญญาแค่ฟัง
จะไปรู้สมุทัย ยังไงๆ ก็มองไม่เห็น
คุณหมอธงชัย ขั้นฟัง
ท่านอาจารย์ ก็นั่นน่ะสิคะ ปัญญาขั้นฟัง จะไปรู้ความเป็นสมุทัย
มองยังไง ฟังยังไง ก็ไม่เห็น เพราะเป็นปัญญาขั้นฟัง
คุณน้อย แต่อาจารย์คะ ถ้าลักษณะของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ
แล้วทำความเข้าใจ เขาเริ่มศึกษาที่ว่า ขณะที่โลภะกำลังเกิดเนี่ย
เริ่มจะเห็นความเป็นสมุทัย
ท่านอาจารย์ คิด คิดในความเป็นสมุทัย
แต่ตัวธรรมะจริงๆ
ต้องไม่ใช่เรา
(พี่ปริญญาและคุณสันติ นำข้าวต้มปลาสำหรับท่านอาจารย์และท่านอื่นๆ ไปส่งที่คอนโดฯ)
เพื่อละ เห็นไม๊คะ?
ฟัง เพื่อ ละ
ถ้าเราไม่สนทนาธรรม เราไม่มีละ เราก็ "ติด" อยู่นั่น
ก็ยังเป็นเรา
คุณอนุทินก็จะดูไปเรื่อยๆ ก็ยังคงเป็นเรา ไม่ใช่ละความไม่รู้
ประโยชน์สูงสุด คือ ละความไม่รู้
ไม่ต้องไปเอาว่า เรากำลังจะดูเวทนา ไม่ใช่
ด้วยความเข้าใจ
เพราะว่า เขาดับแล้ว เร็วมาก
สะสมความเข้าใจ ไปล้างจิตที่มันสกปรก
ลืมข้อนี้กันใช่ไหม?
มุ่งแต่จะไปเอา ไปเอา ไปเอา มันก็ไม่ได้อะไร
"ฟัง" เพื่อ "เข้าใจ"
จบ
"เรายังไม่รู้ตรงนั้น ตรงนี้" ก็มาอีกแล้ว (หัวเราะ)
ยังไม่รู้อะไรเลยไหม? ก็อยู่นี่ไง
ยังไม่รู้ทั้งนั้นแหละ
ที่กำลังปรากฏ
ไม่ต้องไปหาไกล
ทั้งตา ทั้งหู ทั้งคิด ทั้งนึก ทั้งหมดนี้แหละ
ไม่รู้ทั้งนั้น
ไม่รู้ "ตัวจริง"
กำลังฟังให้เข้าใจ จนกว่าจะรู้
ทีละเล็ก ทีละน้อย
พอไปเจอคำอะไร ก็อยากรู้ทั้งนั้นเลย
แล้ว "เดี๋ยวนี้" ล่ะ?
ฟังธรรมะ เราต้องรู้ว่า เพื่ออะไร?
เราฟังเพื่อ "เข้าใจ" หรือ เราจะไปรู้ หมดทุกคำ ในพระไตรปิฎก?
ไม่ว่าเขียนอะไร เราต้องรู้ว่านี่อะไร? เขียนว่าอะไร เราต้องรู้ว่านี่อะไร?
หรือว่า เท่าที่เราจะเข้าใจได้? แค่ไหน?
ที่ประโยชน์ที่สุดในชีวิต ซึ่งสั้นมากเลย
ทุกคน ตายพรุ่งนี้ได้หมด เย็นนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้
แล้วประโยชน์ คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น ธรรมะ ก็คือ พูดถึงสิ่งที่มี เดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจ
ไม่ต้องไปหาที่ไหน
ทุกคำ คำเดียว ถ้ารู้จริงๆ ถึงความเป็นพระอรหันต์
มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ?
อย่างถ้าพูดถึงโลภะ มีแน่ๆ รู้แค่ไหน?
ไม่ใช่ตัวตน
ถ้ารู้โลภะจริงๆ ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้
เพราะไม่ใช่เรา
พอไม่ใช่เรานี่ ขั้นแรก คือ เป็นพระโสดาบัน
แต่ไม่ใช่พอได้ยินปุ๊บ ไม่ใช่เรา ก็เป็นพระโสดาบัน
คุณจิราภรณ์ ท่านอาจารย์คะ แล้วอยากรู้คำ หรือ เข้าใจคำเนี่ย
ก็เป็นการปิดกั้นความเจริญขึ้น ของการเข้าใจ หรือปิดกั้นความเข้าใจไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ อย่างน้อยที่สุด นะคะ ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม
เราสำนึกรู้ตามความเป็นจริงว่า "ไม่รู้"
นี่ ประโยชน์สูงสุด ของการที่จะฟัง
ไม่ใช่ว่า "เรารู้แล้ว" เราเก่งแล้ว เราเรียนโน่นก็ได้ เราจบนี่ก็ได้
เรามาฟัง เพราะว่า เราง่ายมาก ที่จะเข้าใจพระพุทธพจน์
ไม่ใช่ !!!
มาด้วยความที่ มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ว่า
ไม่รู้จริงๆ จึงฟัง
พอทุกคนเสมอกันหมด จากความไม่รู้ คือ ฟัง
เราจะเก็บ สิ่งที่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้
ไม่มีความเป็นเรา มาเป็นเครื่องกั้น ว่าเราอยากรู้ตรงนี้ เราอยากรู้ตรงนั้น
ก็ทำไมไปอยากรู้ตรงนี้ ตรงนั้น?
ถ้าฟังอะไร "เข้าใจ" คำที่ได้ยินไม่ดีหรือ?
แทนที่เราจะไปอยากรู้
แต่ต้อง "เข้าใจ"
ไม่ใช่ชื่อ
แต่เข้าใจถึง "ตัวจริง" ของธรรมะ
เดี๋ยวนี้
เพราะทุกคำ แสดงถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้
ไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีจริง
พูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ว่าคนไม่เคยเข้าใจ
ต้องบำเพ็ญบารมีแค่ไหน? ความดี ประมาณไม่ได้เลย
กว่าจะรู้ว่า ถ้าไม่ดี ก็คือ อกุศล แล้ววันหนึ่ง แค่ไหน?
เพราะฉะนั้น ความดีทุกวันนี้ ก็ยังไม่พอ
จนกว่าจะดีสูงสุด ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ได้ตรัสรู้
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เราก็ต้องรู้ว่า เราไม่รู้
ใครอย่าคิด ว่าเรารู้
พอฟังไป คนโน้นเก่ง คนนี้รู้
ไม่ใช่ ไม่ต้อง
ขณะนั้น จิตกำลังคิด ไม่ใช่หรือ?
ถ้าจะฟังธรรมะจริงๆ ก็คือ รู้จักธรรมะขึ้น
เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ได้มีเขา คนโน้น คนนี้
เป็นธรรมะทั้งหมด
เป็นธรรมะ ทั้งหมด เป็นธาตุ ทั้งหมด
เพื่อละความไม่รู้ ที่ยึดถือไว้ ว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้
แล้วก็นานมาก แสนนาน ที่เราไม่รู้มา
อย่าไปคิดว่า มันจะออกไปได้เร็ว
แค่เข้าใจขึ้น
ถูกต้องที่สุด!!!
แล้วก็ เป็นความเข้าใจล้วนๆ จริงๆ
เพื่อละ
ขณะนี้ เมื่อเข้าใจ ก็ละ ความไม่เข้าใจ
ละกิเลสอื่น ไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะมันมาก มันเต็ม
เพียงแต่ว่า มันโผล่มาแค่ไหน?
ถ้าไม่มีปัจจัย ก็ไม่เกิด
แต่ของเขามีแน่ อยู่ในนั้น ทุกชาติๆ สืบต่อ
ประโยชน์ของการฟัง ก็คือ "เข้าใจ" สิ่งที่กำลังฟัง
ทีนี้ เราไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังฟัง ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริง
เราก็อยากรู้ไปหมดทุกคำ
"พระราชาบรรทม" เป็นอะไรนะ? เป็นจิตดวงไหนนะ?
"มหาดเล็กนวดฟั้น" เอาอีกแล้ว (หัวเราะ)
เราต้องไปหาว่า มหาดเล็กเป็นใคร? (หัวเราะ)
"มีเสียงเคาะประตู ถือบรรณาการมาอีก" เอ้า ตัวไหน?
ก็พอดีไม่ต้องเข้าใจธรรมะกัน
ต้องเป็นคนละเอียด แล้วก็เป็นคนตรง ที่ว่าไม่รู้
เริ่มต้นจากไม่รู้
เราจะไปรู้ โดยที่ไม่ได้ฟังพระพุทธเจ้า ไม่ได้
และ ฟังนิดหน่อย แล้วคิดว่าเรารู้ เราก็ประมาทอีก
เราเป็นคนไม่รู้ ดีที่สุด
แล้วฟังแล้ว เข้าใจไหม?
ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
นั่นคือประโยชน์จริงๆ ที่ได้
ไม่ต้องไปปล่อย
ไม่ต้องไปทำอะไรให้เหนื่อย
ไม่ต้องทำอะไรเลย
เพียงแต่เข้าใจ สิ่งที่ได้อ่าน หรือได้ฟัง เท่านั้น เพิ่มขึ้น
ให้ถูกต้อง แล้วก็ ตรงขึ้น
เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
สติจะเกิดหรือไม่เกิด ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย
ไม่อย่างนั้น ความหวัง ก็ไปหาสติมาอีก ต้องการสติอีก
ทิ้งหวังโน่น มาเอาหวังนี่
สารพัด
"...ตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับหมดไป อย่างรวดเร็ว
มีจริง เพียงชั่วขณะที่ปรากฏให้เห็น แล้วจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ได้อย่างไร?
เพียงแค่ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เกิดแล้วก็ดับ และ อาจจะจำไม่ได้ด้วย ถ้าไม่ได้คิดถึง
แต่ เมื่อเห็นอีก ก็เหมือนกับมีอีก.?
ฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏ ที่เกิดดับๆ นั้น ถึงแม้ปรากฏ แล้วจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้ไหม?
แต่ ความเข้าใจความจริงของธรรมะ เป็นที่พึ่งได้
เป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้
แม้ในขณะที่กำลังจะจากภพชาตินี้ไป..."
(คัดจาก ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๘)
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพทุกท่านในครั้งนี้
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าจะฟังธรรมะจริงๆ ก็คือ รู้จักธรรมะขึ้น
เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ได้มีเขา คนโน้น คนนี้
เป็นธรรมะทั้งหมด
เป็นธรรมะ ทั้งหมด เป็นธาตุ ทั้งหมด
เพื่อละความไม่รู้ ที่ยึดถือไว้ ว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้
แล้วก็นานมาก แสนนาน ที่เราไม่รู้มา
อย่าไปคิดว่า มันจะออกไปได้เร็ว
แค่เข้าใจขึ้น
ถูกต้องที่สุด!!!
แล้วก็ เป็นความเข้าใจล้วนๆ จริงๆ
เพื่อละ
...............
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพทุกท่านในครั้งนี้
ขอบพระคุณและขออนุขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพทุกท่านในครั้งนี้
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพทุกๆ ท่านในครั้งนี้
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณที่ถ่ายทอดสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน มาให้ได้รับทราบ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพทุกท่านในครั้งนี้
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านค่ะ