[คำที่ ๒๕๔] มรณานุสฺสติ
โดย Sudhipong.U  7 ก.ค. 2559
หัวข้อหมายเลข 32374

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ มรณานุสฺสติ

คำว่า มรณานุสฺสติ เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า มะ - ระ - นา - นุด - สะ - ติ] มาจากคำว่า มรณ (ความตาย,การสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้) อนุ (บ่อยๆ,เนืองๆ) และคำว่า สติ (สภาพธรรมที่ระลึก) รวมกันเป็น มรณานุสฺสติ แปลว่า สติที่ระลึกถึงความตายบ่อยๆ, สติอันปรารภความตายเกิดขึ้นบ่อยๆ ตามข้อความจาก ขุททกนิกาย  มหานิทเทส ว่า

สตินั่นแหละ ชื่อว่า อนุสสติ เพราะเกิดขึ้นบ่อยๆ, อนุสสติที่เกิดขึ้นปรารภความตาย ชื่อว่า มรณานุสสติ คำว่า มรณานุสสตินี้ เป็นชื่อของสติที่มีความตาย กล่าวคือ ความแตกแห่งชีวิตินทรีย์ที่นับเนื่องในภพหนึ่ง เป็นอารมณ์   

จะเห็นได้ว่า บุคคลผู้ที่มีปกติเจริญมรณานุสสติ คือ ระลึกว่าตนเองจะต้องตาย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ย่อมไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ทั้งในเรื่องของทาน การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นในเรื่ องศีล การวิรัติงดเว้นจากทุจริตกรรมทั้งหลาย และน้อมประพฤติในสิ่งที่สมควร และการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และ ผู้เจริญมรณานุสสติ ย่อมเป็นผู้ละความมัวเมาในชีวิต ได้

ข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ฐานสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความเป็นจริงของบุคคลผู้มีปกติพิจาณาเนืองๆว่า แต่ละคนมีความตายเป็นธรรมดา ดังนี้

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในชีวิตนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย  เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้”


การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้อย่างยากแสนยาก เพราะต้องเป็นผลของกุศลกรรมเท่านั้นจึงจะทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาแล้วก็มีชีวิตเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามการะสมของแต่ละบุคคล และสุดท้ายแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย จะเห็นได้จริงๆ ว่า ก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน คือ ไม่ทราบว่าก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ ชาติก่อนเกิดเป็นอะไร, ต่อจากนั้น จะไปไหน ก็ยังไม่ทราบ คือ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ภพภูมิใด ไม่สามารถจะทราบได้ เพราะขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญ ว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด เป็นไปตามเหตุปัจจัย, ที่แน่ ๆ ย่อมทราบว่า จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทราบ ว่า จะตายตอนไหน กล่าวคือ จะตายตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนกลางคืน ก็ไม่สามารถจะทราบได้ นี้คือความจริง ใครๆก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอุปการะเกื้อกูลเพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตอย่างแท้จริง ขณะนี้ทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในสุคติภูมิ พ้นจากการเกิดในอบายภูมิแล้วในขณะนี้ แต่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจะไปเกิดในภพภูมิใดย่อมไม่แน่ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด อาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งไปเกิดได้ง่ายมากทีเดียวสำหรับอบายภูมิ เป็นเรื่องที่จะประมาทไม่ได้เลย 

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วควรพิจารณาไตร่ตรองน้อมเข้ามาในตน เพราะคำสอนทั้งหมดเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด เป็นไปเพื่อความไม่ประมาท พระองค์ทรงเตือนให้พุทธบริษัทเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะเหตุว่า ชีวิตของแต่ละคนก็ล่วงไปอย่างรวดเร็ว ก้าวไปสู่ความตายเข้าไปทุกขณะๆ ไม่ได้ยั่งยืนอะไรเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่ควรที่จะประมาท  ควรกุศลทุกประการ โดยเริ่มจากการตั้งใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ จึงจะสามารถขัดเกลากิเลสของตนเองได้ และตามความเป็นจริงแล้ว กุศลทุกประการจะเจริญเพิ่มขึ้นตามระดับของความเข้าใจ

การเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยอาศัยพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ สะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง อบรมความเห็นถูก เข้าใจถูกเพื่อละความไม่รู้ในลักษณะสภาพธรรม และเจริญกุศลทุกประการโดยไม่มีเว้น เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ต่อไป, การเจริญกุศล (ทำความดี) ไม่ควรที่รอหรือผัดวันประกันพรุ่ง ควรเริ่มตั้งแต่ในขณะนี้ เพราะในชีวิตประจำวัน กุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิตตามการสะสมมาของอวิชชาและกิเลสทั้งหลาย ถ้ากุศลจิตไม่เกิด นั่นก็หมายความว่า เป็นโอกาสที่กุศลจิตเกิดขึ้น สะสมกุศลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว      

เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้วต้องตาย แต่ก่อนตาย ควรทำอะไร? สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ ความดีที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวัน ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ซึ่งจะต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่ประมาทในการฟัง การศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน.

 


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 26 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ