ขอนอบน้อมแด่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราไปขุดดู
สุเมธะเป็นใคร?
ศาสตราคืออะไร?
จงขุดคืออะไร?
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 324
๓. วัมมิกสูตร
[๒๘๙] ... ดูก่อนภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราไปขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึงเรียนว่า ลิ่มสลักขอรับ . ...
[๒๙๑] ... คําว่าสุเมธะนั้น เป็นชื่อของเสขภิกษุ. คําว่าศาสตรานั้นเป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ. คําว่าจงขุดนั้นเป็นชื่อของการปรารภความเพียร.
[อรรถกถาวัมมิกสูตร]
... บทว่า สุเมโธ แปลว่า ผู้มีปัญญาดี. ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ชื่อว่า เสกขะ เพราะยังต้องศึกษา. เหมือนที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ ภิกษุยังต้องศึกษาๆ อยู่เพราะเหตุฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าเสกขะ ศึกษาอะไรเล่า ศึกษาอธิศีลบ้าง ศึกษาอธิศีลจิตบ้าง ศึกษาอธิปัญญาบ้าง. บทว่า ปฺาเยตํ คือ คํานี้เป็นชื่อของปัญญา ที่เป็นโลกิยะและ โลกุตตระไม่ใช่เป็นชื่อของอาวุธ และศาสตรา. บทว่า วิริยารมฺภสฺส ได้แก่ ความเพียรทางกายและทางใจ. ความเพียรนั้น ย่อมเป็นคติแห่งปัญญาทีเดียว ความเพียรที่เป็นคติแห่งโลกิยปัญญา จัดเป็นโลกิยะ เป็นคติแห่งโลกุตตรปัญญาจัดเป็นโลกุตตระ. ในข้อนี้ ขอชี้แจงความดังนี้.
เล่ากันมาว่า พราหมณ์ชาวชนบทคนหนึ่ง ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ พร้อมด้วยเหล่ามาณพ ตอนกลางวันสอนมนต์ในป่า ตอนเย็นก็กลับบ้าน. ระหว่างทางมีจอมปลวกจอมหนึ่ง จอมปลวกนั้น กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ พราหมณ์จึงพูดกะสุเมธมาณพศิษย์ว่า พ่อเอย จอมปลวกนี้ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอมปลวกนั้น เจ้าจงทําลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน ทิ้งไป. ศิษย์นั้นก็รับคํา จับจอบใช้ ๒ เท้าเหยียบเสมอกัน ยืนหยัดที่พื้นดินแล้วได้กระทําอย่างนั้น. ใน ๒ อาจารย์และศิษย์นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนพราหมณ์ผู้อาจารย์ เสกขภิกษุเปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ กายเปรียบเหมือนจอมปลวก เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงแบ่งกายที่เกิดแต่มหาภูตรูปทั้ง ๔ ส่วน กําหนดถือเอาเป็นอารมณ์ ก็เปรียบเหมือนเวลาที่พราหมณ์ผู้อาจารย์กล่าวว่า พ่อเอ๋ย จอมปลวกนี้กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอมปลวกนั้น เจ้าจงทําลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วทิ้งไป. พึงทราบกําหนดกายสําหรับเสกขภิกษุ โดยกําหนดธาตุ ๔ เป็นอารมณ์ อย่างนี้ คือ ความที่กายเป็นของแข้น ๒๐ ส่วนจัดเป็นปฐวีธาตุ ความที่กายเอิบอาบ ๑๒ ส่วน จัดเป็นอาโปธาตุ ความที่กายอบอุ่น ๔ ส่วน จัดเป็นเตโชธาตุ ความที่กายเคลื่อนไหว ๖ ส่วน จัดเป็นวาโยธาตุ เปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ รับคําแล้วจับจอบแล้วกระทําอย่างนั้น.
[สรุป]
สุเมธะ (นัยแห่งพระสูตรนี้) หมายถึง ผู้ที่ยังต้องศึกษา ในสิกขาทั้ง ๓ หมายถึงผู้ที่อบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์นั่นเอง
ศาสตรา (นัยแห่งพระสูตรนี้) หมายถึง ปัญญาที่เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงนั่นเอง ที่ว่าร่างกายไม่มี แท้จริงมีมหาภูตรูป ๔ เป็นต้น ทั้งปัญญาเกิดร่วมกับโลกียจิต จนกระทั่งสูงสุดถึงการดับกิเลส เป็นปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกุตตรจิต
ขุด (นัยแห่งพระสูตรนี้) หมายถึง วิริยเจตสิก ที่เป็นฝ่ายดี ที่เกื้อหนุนปัญญา ทั้งที่เป็นฝ่ายโลกียจิต และโลกุตตรจิตนั่นเอง
กราบอนุโมทนา