คือ ผมสงสัยครับการเป็นอริยบุคคล คือ การได้รับรองจากพระธรรมหรือเปล่าครับ ถึงได้เป็นอริยบุคคล สงสัยอีกอย่างอริยบุคคลนี้สามารถมีแฟนไหมครับ สงสัยอย่างอารมณ์ความรู้สึกโกรธของอริยบุคคลนี้มีไหม ต่อให้มีเค้าจัดการอารมณ์นี้ได้อย่างไร ครับ คือ ที่สงสัยเพราะการเป็นอริยบุคคลสำหรับผมมันไม่ใช่ง่ายๆครับสำหรับผมนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอริยบุคคล คือ บุคคลที่ประเสริฐ เป็นอริยะได้ด้วยปัญญา ที่บรรลุมรรค ผล ประจักษ์พระนิพพาน จึงเป็นอริยะ ผู้ประเสริฐ เพราะประจักษ์ความจริง ที่ประเสริฐ จึงชื่อว่า พระอริยะ
พระอริยบุคคล เป็นไปก็เพราะปัญญา ซึ่งปัญญาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ปัญญา เป็นนามธรรม อันเป็นสภาพรู้ ซึ่งนามธรรมไม่สามารถปรากฏได้ทางตา มีแต่สีเท่านั้น ที่สามารถปรากฏทางตาได้ ดังนั้น การตัดสินว่าใคร แป็นพระอริยบุคคล จึงไม่สามารถตัดสิน สังเกตได้ทางตา เพราะทางตาเห็นเพียงสีเท่านั้น ไม่สามารถเห็นด้วยตาได้ครับ หรือเพียงใครรับรอง ผู้นั้น คือ ปัญญา ย่อมรู้เอง
ซึ่งในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับว่า ปัญญา พึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ซึ่งเรื่องราวในพระสูตรก็มีเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ครับ ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทรงส่งคนที่เป็นพวกสอดแนมไปสืบราชการลับ ในเมืองอื่นๆ โดยให้ปลอมเป็นนักบวช เมื่อคนสอดแนมกลับมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็แกล้งทำเป็นไหว้ คนสอดแนมที่แต่งตัวเป็นนักบวช ต่อหน้าพระพุทธเจ้า และกล่าวว่า คนเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การจะรู้ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์ หรือ พระอริยบุคคล เป็นเรื่องที่ยาก เพราะ พวกเธอ ยังยินดี บุตร ภรรยา ยังไม่มีปัญญาถึงระดับนั้น และการดูภายนอกนั้น หรือ กิริยาภายนอก ย่อมไม่สามารถตัดสินได้ เพราะ คนไม่ดี ย่อมมีกิริยาที่หลอกลวงได้ พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ... ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย สังเกตจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ ครับ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นพระอริยบุคคล ผู้นั้นเองก็จะต้องมีปัญญาด้วย และเข้าใจหนทางการปฏิบัติเพื่อจะนำไปสู่การเป็นพระอริยบุคคล ครับ ดังนั้น ต้องมีปัญญาถึงจะรู้ได้ และมีปัญญาถึงระดับความเป็นพระอริยบุคคลเช่นกัน หรือ เสมอกว่า จึงจะรู้ได้ว่าเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ ครับ ด้วยการสนทนา สอบถาม เป็นสำคัญ ครับ
พระอริยบุคคล ระดับพระอนาคามี และ พระอรหันต์ไม่ครองเรือน ผู้ที่ไม่โกรธ คือ พระอนาคามีและพระอรหันต์ ไม่ต้องจัดการอารมณ์เพราะดับเหตุ คือ โทสะหมดสิ้นแล้วครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าไม่มีปัญญา ไม่ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้องแล้ว ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลได้เลย แต่เมื่ออบรมเจริญปัญญาถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมแล้ว ประจักษ์แจ้งความความจริง ดับกิเลสได้ ก็ถึงความเป็นพระอริยบุคคล โดยไม่ต้องใครรับรอง เพราะเหตุว่าปัญญาทำกิจของปัญญา และการดับกิเลสก็ดับไปตามลำดับขั้นด้วย
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้
พระอริยบุคคลมี ๔ ขั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษาเลย ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลย เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ก็คือ ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ไตร่ตรองพิจารณาในเหตุในผลของธรรม ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะฟังพระธรรมส่วนไหน ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีจริงในขณะนี้จริงๆ ปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรม ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณครับสำหรับความคิดเห็นทำให้อยากศึกษาศาสนามากขึ้นครับขอบคุณครับ
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)