นิคมคาถา
อักขณสูตร
(ว่าด้วยกาลที่ไม่ใช่ขณะจะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์)
จาก ... [เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่มที่ ๓๗ หน้า ๔๕๑
ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน,
พระตถาคตเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้ จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยให้ประโยชน์ล่วงไป เดือดร้อนอยู่ ฉะนั้น
คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม จักเสวยแต่สังสาระคือ ชาติและมรณะสิ้นกาลนาน ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ได้กระทำแล้ว จักกระทำ หรือกระทำอยู่ ตามพระดำรัสของพระศาสดา ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ประสบขณะ คือ การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก ชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคา (หนทาง) ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว สำรวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจ้า ผู้มีจักษุเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้ว คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร ชนเหล่านั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะ ถึงฝั่งคือ นิพพานในโลกแล้ว
จบ อักขณสูตร
ข้อความโดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงกาลมิใช่ขณะจะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ แก่ภิกษุทั้งหลาย รวม ๘ ประการ ดังนี้ คือ
๑. พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม แต่บุคคลผู้นี้เกิดเป็นสัตว์นรก
๒. พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม แต่บุคคลผู้นี้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
๓. พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม แต่บุคคลผู้นี้เกิดเป็นเปรต
๔. พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม แต่บุคคลผู้นี้เกิดในหมู่เทพที่มีอายุยืนนาน (อสัญญีสัตว์)
๕. พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม แต่บุคคลผู้นี้เกิดในปัจจันตชนบท โง่เขลา และอยู่ในที่อันไม่มีบริษัท ๔
๖. พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม บุคคลผู้นี้ถึงจะเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เป็นคนมีความเห็นผิด
๗. พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม บุคคลผู้นี้ถึงจะเกิดในมัชฌิมชนบท แต่ไม่มีปัญญา เป็นคนโง่เขลา
๘. บุคคลผู้นี้ เกิดในมัชฌิมชนบท มีปัญญา เป็นคนไม่โง่เขลา แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก และ ไม่ได้ทรงแสดงพระสัทธรรม
และทรงแสดงต่อไปว่า ขณะที่สมควรอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว คือ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก และทรงแสดงพระสัทธรรม พร้อมกันนั้น บุคคลผู้นี้ได้เกิดในมัชฌิมชนบท เป็นผู้มีปัญญา ไม่โง่เขลา สามารถรู้เนื้อความแห่งคำสุภาษิตและทุพภาษิตได้
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความจากพระสูตรโดยตรงได้ที่นี่ครับ
อักขณสูตร
ขณะที่มีค่ายิ่งในชีวิต คือ ขณะที่เป็นกุศล โดยเฉพาะขณะที่เข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นความจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดง ชื่อว่า เป็นขณะเวลาที่ประเสริฐที่สุด บัดนี้ยังเป็นกาลสมัยที่มีคำสอนทางพระพุทธศาสนา ยังมีการแสดงพระสัทธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของผู้สงบ อันจะทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา ถึงความเป็นผู้สงบจากกิเลสด้วย และความเป็นมนุษย์ แต่ละบุคคลก็ได้แล้ว ซึ่งเป็นการได้ที่ได้ยากอย่างยิ่ง ขณะเวลาเหล่านี้ที่ได้แล้ว ก็อย่าได้ล่วงเลยท่านไปเลย ไม่ควรปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เพราะหนทางนี้ เป็นหนทางที่ละทั้งหมด ได้แก่ละกิเลส และละความไม่รู้ทั้งหมดครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน,
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาค่ะ
ขณะที่มีค่ายิ่งในชีวิต คือ ขณะที่เป็นกุศล โดยเฉพาะขณะที่เข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นความจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดง ชื่อว่า เป็นขณะเวลาที่ประเสริฐที่สุด
ยินดีในกุศลจิตครับ