[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 209
อุพพรีวรรคที่ ๒
๗. ธนปาลเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตหิว ๕๕ ปี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 209
๗. ธนปาลเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตหิว ๕๕ ปี
พวกพ่อค้าถามเปรตตนหนึ่งว่า
[๑๐๔] ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ผอมสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง แน่ะเพื่อนยาก ท่านเป็นใครหนอ.
เปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นเปรต ทุกข์ยาก เกิดอยู่ในยมโลก ได้ทำกรรมอันลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
พวกพ่อค้าถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกายวาจาใจ หรือเพราะวิบากแห่งอะไร ท่านจึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
เปรตนั้นตอบว่า
มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช ปรากฏนามว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่ในนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาลเศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทองคำ แก้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 210
มุกดา แก้วไพฑูรย์ ก็มีมากมายเหลือที่จะนับ แม้ข้าพเจ้าจะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น ก็ไม่รักที่จะให้ทาน ปิดประตูบริโภคอาหารด้วยคิดว่า พวกยาจกอย่าได้เห็นเรา ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ได้ด่าว่าพวกยาจก และ ห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทานทำบุญ เป็นต้น ด้วยคำว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีแต่ที่ไหน ได้ทำลายสระน้ำ บ่อนำที่เขาขุดไว้ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ และสะพานในที่เดินลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้พินาศ ข้าพเจ้านั้นไม่ได้ทำความดีไว้เลย ทำแต่ความชั่วไว้ จุติจากชาตินั้นแล้วบังเกิดในปิตติวิสัย เพียบพร้อมไปด้วยความหิวกระหายตลอด ๕๕ ปี ตั้งแต่ตายแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวและน้ำเลยแม้แต่น้อย การสงวนทรัพย์ คือ ไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศของสัตว์ทั้งหลาย ความฉิบหายก็คือการสงวนทรัพย์ ได้ยินว่าเปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวนทรัพย์คือการไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศ เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่เป็นอันมาก ไม่ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผลแห่งกรรมของตน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 211
จึงเดือดร้อนในภายหลัง พ้นจาก ๔ เดือนไปแล้ว ข้าพเจ้าจักตาย จักไปตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส มี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู จำแนกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกนั้นล้วนแล้วด้วยทองแดงลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การเสวยทุกขเวทนาเช่นนี้ เป็นผลแห่งกรรมอันชั่ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกอัน เร่าร้อนนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเดือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ทั้งหลายผู้มาประชุมกันในที่นี้ พวกท่านอย่าได้ทำบาปกรรมในที่ไหนๆ คือ ในที่แจ้งหรือที่ลับ ถ้าพวกท่านจักกระทำ หรือกระทำบาปกรรมนั้นไว้ แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปอยู่ที่ไหน ก็ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่านทั้งหลายจักไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ บุคคลจะอยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 212
หรือเข้าไปสู่ช่องภูเขา จะพึงพ้นจากบาปกรรม ไม่มี หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใด พึงพ้นจากบาปกรรม ส่วนแห่งภาคพื้นนั้นไม่มี.
จบ ธนปาลเปตวัตถุที่ ๗
อรรถกถาธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุที่ ๗
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตธนบาล จงตรัสพระคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า นคฺโค ทุพฺพณฺณรูโปสิ.
ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติในนครเอรกัจฉะปัณณรัฐ ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า ธนปาลกะ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ เป็นนัตถิกทิฏฐิบุคคล กิริยาของเขาปรากฏตามพระบาลีนั่นแหละ. เขาทำกาละแล้วบังเกิดเป็นเปรตในกันดารทะเลทราย เขามีร่างกายประมาณเท่าลำต้นตาล มีผิวหนังปูดขึ้นหยาบ มีผมยุ่งเหยิง น่าสะพึงกลัว มีรูปพรรณน่าเกลียด มีรูปขี้เหร่พิลึก เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว เขาไม่ได้เมล็ดข้าวหรือหยาดน้ำตลอด ๕๕ ปี มีคอ ริมฝีปาก และลิ้นแห้งผาก ถูกความหิวกระหายครอบงำ เที่ยวงุ่นง่านไปทางโน้นทางนี้.
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถีโดยลำดับ พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีบรรทุกสินค้าเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 213
ไปยังอุตตราปถชนบท ขายสินค้า แล้วเอาเกวียนบรรทุกสินค้าที่ได้กลับมา ในเวลาเย็น ถึงแม่น้ำแห้งสายหนึ่ง จึงปลดเกวียนไว้ในที่นั้น พักแรมอยู่ราตรีหนึ่ง ลำดับนั้น เปรตนั้นถูกความกระหายครอบงำมาเพื่อต้องการน้ำดื่ม ไม่ได้น้ำดื่มแม้สักหยาดเดียวในที่นั้น หมดหวัง ขาอ่อนล้มลง เหมือนตาลรากขาดฉะนั้น. พวกพ่อค้าเห็นดังนั้น จึงพากันถามด้วยคาถานี้ว่า :-
ท่านเปลือกกายมีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง แน่ะ เพื่อนยาก ท่านเป็นใครกันหนอ.
ลำดับนั้นเปรตตอบว่า :-
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตทุกข์ยาก เกิดในยมโลก ทำกรรมชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
ครั้นอ้างตนดังนี้แล้ว ถูกพ่อค้าถามถึงกรรมที่เขาทำอีกว่า :-
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกายวาจาและใจ เพราะวิบากของกรรมอะไร จึงจากโลกนี้ไปยังเปตโลก.
เมื่อจะแสดงประวัติของตนทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เดิมแต่ที่ที่ตนเกิดในกาลก่อน และเมื่อจะให้โอวาทแก่พวกพ่อค้า ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ความว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 214
มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช (๑) ปรากฏนามว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่ในพระนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาลเศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทองคำ แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ ก็มีมากมาย เหลือที่จะนับ แม้ข้าพเจ้าจะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น ก็ไม่รักที่จะให้ทาน ปิดประตูบริโภค อาหาร ด้วยคิดว่า พวกยาจก อย่าได้เห็นเรา ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ได้ด่าพวกยาจกและห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทาน ทำบุญเป็นต้น ด้วยคำว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีแต่ที่ไหน ได้ทำลายสระน้ำ บ่อน้ำ ที่ขุดไว้ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ และสะพานในที่เดินลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้พินาศไป ข้าพเจ้านั้นไม่ได้ทำคุณงามความดีไว้เลย ทำแต่กรรมชั่วไว้ จุติจากชาตินั้นแล้ว เกิดในเปตวิสัย เพียบพร้อมไปด้วยความหิวกระหายตลอด ๕๕ ปี ตั้งแต่ตายแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวและน้ำเลยแม้แต่น้อย การสงวนทรัพย์ คือ
๑. ม. พระเจ้าปัณณราช (ปณฺณานํ).
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 215
ไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศของสัตว์ทั้งหลาย ความฉิบหายก็คือ ความสงวนทรัพย์ ได้ยินว่า เปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวนทรัพย์ คือ การไม่ให้แก่ใครๆ เป็นควานพินาศ เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่เป็นอันมาก ไม่ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผลแห่งกรรมของตน จึง เดือดร้อนในภายหลัง พ้นจาก ๔ เดือนไปแล้ว ข้าพเจ้าจักตาย จักตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส มี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู จำแนกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกนั้นล้วนแล้วด้วยทองแดงลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน การเสวยทุกขเวทนาเช่นนี้ เป็นผลของกรรมชั่ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกอันเร่าร้อนนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายผู้มาประชุมกันในที่นี้ พวกท่านอย่าได้ทำกรรมชั่วในที่ไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นที่แจ้งหรือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 216
ที่ลับ ถ้าว่าพวกท่านจักกระทำ หรือกำลังทำกรรมชั่วนั้นไว้ แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปในที่ไหนๆ ก็ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่านทั้งหลายจักไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสนฺนานํ ได้แก่ พระราชาของรัฐชื่อว่า ทสันนา ผู้มีชื่ออย่างนั้น บทว่า เอรกจฺฉํ ได้แก่ เป็นชื่อของพระนครนั้น. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในนครนั้น. บทว่า ปุเร ได้แก่ ในกาลก่อน คือ ในอัตภาพอันเป็นอดีต. บทว่า ธนปาโลติ มํ วิทู ความว่า พวกชนเรียกเราว่า ธนปาลเศรษฐี. เปรตเมื่อจะแสดงว่า ขึ้นชื่อว่า ทรัพย์เช่นนี้นั้น ย่อมติดตามเป็นประโยชน์แก่เรา ในกาลนั้นนั่นแล จึงกล่าวคาถาว่า อสีติ ดังนี้เป็นต้น. มีโยชนาว่า บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสีติ สกฏวาหานํ ความว่า ๒๐ ขาริกะ เป็น ๑ วาหะ ที่ท่านเรียกว่า ๑ เกวียน ข้าพเจ้ามีเงินและกหาปณะ ๘๐ เล่มเกวียน. บทว่า ปหูตํ เม ชาตรูปํ เชื่อมความว่า แม้ทองคำก็มีมากมาย คือ มีประมาณหลายหาบ.
บทว่า น เม ทาตุํ ปิยํ อหุ ความว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มีความรักที่จะให้ทาน. บทว่า มา มํ ยาจนกาทฺทสุํ ความว่า ปิดประตูเรือนบริโภค ด้วยหวังว่า พวกยาจกอย่าได้เห็นเรา. บทว่า กทริโย ได้แก่ มีความตระหนี่เหนียวแน่น. บทว่า ปริภาสโก ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 217
เห็นเขาให้ทาน ก็ขู่ให้กลัว. บทว่า ททนฺตานํ กโรนฺตานํ เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ, แปลว่า ผู้ให้ทาน ผู้ทำบุญ. บทว่า พหู ชเน แปลว่า ซึ่งสัตว์เป็นอันมาก. ข้าพเจ้าห้ามคือ ป้องกันชนเป็นอันมากผู้เป็นกลุ่มของคนผู้ให้ทาน หรือทำบุญ จากบุญกรรม.
บทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส เป็นต้น เป็นบทแสดงเหตุการห้ามในการให้ทานเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส ท่านแสดงว่า ขึ้นชื่อว่า ผลแห่งการทำทานไม่มี มีแต่บุญ บุญอย่างเดียว ฉะนั้น ทรัพย์จึงพินาศไปถ่ายเดียว. บทว่า สํยมสฺส แปลว่า การสำรวมศีล. บทว่า กุโต ผลํ ความว่า ผลจะได้แต่ที่ไหน, อธิบายว่า การรักษาศีลไม่มีประโยชน์เลย บทว่า อารามานิ ความว่า สวนดอกไม้และสวนผลไม้. บทว่า ปปาโย ได้แก่ ศาลาน้ำ. บทว่า ทุคฺเค ได้แก่ สถานที่ที่ไปลำบากเพราะมีน้ำและมีโคลน. บทว่า สงฺกมนานิ ได้แก่ สะพาน. บทว่า ตโต จุโต แปลว่า จุติจากมนุษยโลกนั้น. บทว่า ปญฺจปญฺาส แปลว่า ๕๕ ปี. บทว่า ยโต กาลงฺกโต อหํ แก้เป็น ยถา กาลกโต อหํ แปลว่า เหมือนข้าพเจ้าตายไปแล้ว คือตั้งแต่ข้าพเจ้าตายไป. บทว่า นาภิชานามิ ความว่า ข้าเจ้าไม่ได้รู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือน้ำตลอดกาลมีประมาณเท่านี้.
บทว่า โย สํยโม โส วินาโส ความว่า การสำรวมก็คือ การไม่ให้อะไรแก่ใครๆ ด้วยอำนาจความโลภเป็นต้นนั้น ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 218
เป็นความพินาศของสัตว์เหล่านี้ เพราะเปรตที่เกิดในกำเนิดเปรต เป็นเหตุแห่งความวอดวายอย่างใหญ่หลวง. ด้วยคำว่า โย วินาโส โส สํยโม นี้ เปรตแสดงว่า ประโยชน์ตามที่กล่าวแล้ว เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน. หิ ศัพท์ในคำว่า เปตา หิ กิร ชานนฺติ นี้เป็นนิบาต ใช้ในอวธารณะ, กิร ศัพท์ เป็นนิบาติ ใช้ใน อรุจิสูจนัตถะ. ได้ยินว่า พวกเปรตเท่านั้นจึงจะรู้ความนี้ว่า การสงวนคือ การไม่บริจาคไทยธรรม เป็นเหตุแห่งความพินาศ เพราะตนถูกความหิวกระหายครอบงำอยู่โดยเห็นได้ชัด ไม่ใช่พวกมนุษย์. ข้อนี้ไม่สมควรเลย เพราะแม้พวกมนุษย์ก็ยังถูกความหิวกระหายเป็นต้น ครอบงำปรากฏอยู่เหมือนพวกเปรต. แต่พวกเปรตรู้เรื่องนั้นดีกว่า เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในอัตภาพก่อนปรากฏชัด. ด้วยเหตุนั้น เปรตนั้นจึงกล่าวว่า ในชาติก่อนเราสงวนทรัพย์ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํยมิสฺสํ ความว่า แม้ตนเองก็ได้กระทำการสงวน คือ การย่นและย่อจากบุญกิริยา มีการให้ทาน เป็นต้น. บทว่า พหุเก ธเน ได้แก่ เมื่อทรัพย์เป็นอันมากมีอยู่.
บทว่า ตํ แปลว่า เพราะเหตุนั้น. บทว่า โว แปลว่า ท่านทั้งหลาย. บาลีที่เหลือว่า ภทฺทํ โว พึงนำมาเชื่อมเข้าด้วยคำว่า กรรมอันเจริญ คือ กรรมดี ได้แก่ กรรมงาม จงมีแก่พวกท่าน. บทว่า ยาวนฺเตตฺถ สมาคตา มีอธิบายว่า พวกท่านมีประมาณเท่าใด คือ มีประมาณเพียงใดมาประชุมกันในที่นี้ทั้งหมดนั้น จงฟังคำของข้าพเจ้า. บทว่า อาวี ได้แก่ คำประกาศโดยปรากฏแก่คน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 219
เหล่าอื่น. บทว่า รโห ได้แก่ คำลี้ลับ โดยเป็นคำไม่ปรากฏแก่ชนเหล่าอื่น. อธิบายว่า ท่านทั้งหลาย อย่าทำ คือ อย่ากระทำซึ่งกรรมชั่วช้าลามก ได้แก่อกุศลกรรมในที่แจ้ง ด้วยอำนาจกายปโยค มีปาณาติปาตเป็นต้น และวจีปโยค มีมุสาวาทเป็นต้น หรือในที่ลับ ด้วยอำนาจอกุศลกรรมมีอภิชฌาเป็นต้น.
บทว่า สเจ ตํ ปาปกํ กมฺมํ ความว่า ก็ถ้าพวกท่านจักการทำกรรมชั่วนั้นในอนาคต หรือกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน, ความหลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นผลของกรรมชั่วนั้น ชื่อว่า ความหลุดพ้นด้วยอำนาจความเป็นมีอายุน้อย เป็นต้น ในอบาย ๔ มีนรกเป็นต้น และในหมู่มนุษย์ย่อมไม่มี. บทว่า อุปฺปจฺจาปิ ปลายตํ ความว่า แม้เมื่อพวกท่านจะออกไปก็ตามที ก็พ้นไปไม่ได้เลย. บาลีว่า อุเปจฺจ ก็มี. อธิบายว่า เมื่อพวกท่านแม้จงใจคือแกล้งหนีไปโดยประสงค์ว่า กรรมชั่วจักติดตามพวกท่านผู้หนีไปทางโน้นทางนี้ ความพ้นจากกรรมชั่วนั้น ย่อมไม่มี แต่เมื่อความประชุมแห่งปัจจัย อื่น มีคติและกาลเป็นต้น ยังมีอยู่ กรรมชั่วนั้นยังให้ผลได้เหมือนกัน. ก็ความนี้พึงแสดงด้วยคาถานี้ว่า :-
บุคคลจะอยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร หรือเข้าไปสู่ช่องเขา จะพึงพ้นจากกรรมชั่วไม่มี หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใด พึงพ้นจากกรรมชั่ว ส่วนแห่งภาคพื้นนั้นก็ไม่มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 220
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺเตยฺยา แปลว่า เกื้อกูลแก่มารดา. บทว่า โหถ ความว่า ท่านจงกระทำอุปัฏฐากเป็นต้นแก่มารดาบิดาเหล่านั้น. บทว่า เปตฺเตยฺยา ก็พึงทราบอย่างนั้น. บทว่า กุเล เชฏฺาปจายิกา แปลว่า เป็นผู้กระทำการนอบน้อมแก่ผู้ใหญ่ในตระกูล. บทว่า สามญฺา ได้แก่ เป็นผู้บูชาสมณะ. บทว่า พฺรหฺมญฺา ก็เหมือนกัน มีอธิบายว่า ผู้บูชาท่านผู้ลอยบาป ด้วยบทว่า เอวํ สคฺคํ คิมสฺสถ นี้ มีอธิบายว่า ท่านทั้งหลายกระทำบุญ โดยนัยที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว จักเข้าถึงเทวโลก. ก็ในเรื่องนี้ บทที่ไม่ได้จำแนกไว้โดยอรรถ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในขัลลาฏิยเปตวัตถุเป็นต้นในหนหลัง.
พวกพานิชเหล่านั้นได้สดับคำของเปรตทั้งหลาย เกิดความสังเวช เมื่อจะอนุเคราะห์เปรตนั้น จึงเอาภาชนะตักน้ำดื่มมา ให้เขานอนลงแล้ว กรอกเข้าทางปาก. แต่นั้นน้ำที่มหาชนลาดลงหลายครั้ง ก็ไม่ไหลลงสู่ลำคอ เพราะพลังแห่งกรรมชั่วของเปรตนั้น. จักกำจัดความกระหายได้ที่ไหนเล่า. พ่อค้าเหล่านั้นจึงถามเปรตว่า ท่านได้ความโปร่งใจอะไรบ้างไหม? เปรตนั้นตอบว่า ถ้าน้ำที่ชนมีประมาณเพียงนี้กรอกเข้าไปตลอดเวลาเพียงเท่านี้ แม้เพียงสักหยดเดียวก็ไม่เข้าไปในลำคอเรา กลับไหลเข้าลำคอของคนอื่นไปหมด, ความหลุดพ้นไปจากกำเนิดเปรตนี้ จงอย่ามีเลย. ลำดับนั้น พ่อค้าเหล่านั้นได้ฟังดังนั้น จึงเกิดความสังเวชยิ่งนัก พากันกล่าวว่า ก็อุบายอะไรๆ เพื่อระงับความกระหายมีบ้างไหม?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 221
เปรตตอบว่า เมื่อกรรมชั่วนี้สิ้นไป เมื่อพวกญาติถวายทานแด่พระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต อุทิศทานให้แก่เรา, เราก็จักพ้นจากความเป็นเปรตนี้ไปได้. พวกพ่อค้าได้ฟังดังนั้น จึงพากันไปกรุงสาวัตถี เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลเรื่องนั้น รับสรณคมน์และศีล ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ตลอด ๗ วัน แล้วอุทิศส่วนบุญแก่เปรตนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แล้วแสดงธรรมแก่บริษัททั้ง ๔. และมหาชนละมลทิน คือความตระหนี่ มีโลภะเป็นต้น ได้เป็นผู้ยินดียิ่งในบุญมีทานเป็นต้น ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุที่ ๗