[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 824
ธรรมนานัตตญาณนิทเทส
อรรถกถา ธรรมนานัตตญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 824
ธรรมนานัตตญาณนิทเทส
[๑๗๗] ปัญญาในการกำหนดธรรม ๙ เป็นธรรมนานัตตญาณอย่างไร พระโยคาวจรย่อมกำหนดธรรมทั้งหลายอย่างไร ย่อมกำหนดกามาวจรธรรมเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอกกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต ย่อมกำหนดรูปาวจรธรรมเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต ย่อมกำหนดอรูปาวจรธรรมเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต ย่อมกำหนดโลกุตรธรรมเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 825
[๑๗๘] พระโยคาวจรย่อมกำหนดกามาวจรธรรมเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างไร ย่อมกำหนดกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นฝ่ายกุศล ย่อมกำหนดอกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นฝ่ายอกุศล ย่อมกำหนดรูป วิบากและกิริยาเป็นฝ่ายอัพยากฤต พระโยคาวจรย่อมกำหนดกามาวจรธรรมเป็นฝ่ายกุศล. เป็นฝ่ายอกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างนี้.
[๑๗๙] พระโยคาวจรย่อมกำหนดรูปาวจรธรรมฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างไร ย่อมกำหนดฌาน ๔ ของบุคคลผู้ยังอยู่ในโลกนี้ เป็นฝ่ายกุศล ย่อมกำหนดฌาน ๔ ของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลก เป็นฝ่ายอัพยากฤต พระโยคาวจรย่อมกำหนดรูปาวจรธรรมเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างนี้.
[๑๘๐] พระโยคาวจรย่อมกำหนดอรูปาวจรธรรม เป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างไร ย่อมกำหนดอรูปาวจรสมาบัติ ๔ ของบุคคลผู้ยังอยู่ในโลกนี้ เป็นฝ่ายกุศล ย่อมกำหนดอรูปาวจรสมาบัติ ๔ ของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลกนี้ เป็นฝ่ายอัพยากฤต พระโยคาวจรย่อมกำหนดอรูปาวจรธรรมเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างนี้.
[๑๘๑] พระโยคาวจรย่อมกำหนดโลกุตรธรรม เป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างไร ย่อมกำหนดอริยมรรค ๔ เป็นฝ่ายกุศล ย่อมกำหนดสามัญญผล ๔ และนิพพาน เป็นฝ่ายอัพยากฤต พระโยคาวจรย่อมกำหนดโลกุตรธรรม เป็นฝ่ายอัพยากฤต อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 826
[๑๘๒] ธรรมมีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น ๙ ประการ เมื่อพระโยคาวจรมนสิการโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบ ย่อมได้เสวยสุข ผู้มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ย่อมเห็นตามความเป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด เพราะคลายความกำหนัด จิตย่อม หลุดพ้น เมื่อพระโยคาวจรมนสิการโดยความทุกข์ ย่อมเกิดปราโมทย์ ฯลฯ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการรูปโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการรูปโดยความเป็นทุกข์ ฯลฯ เมื่อมนสิการรูปโดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ เมื่อ มนสิการเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ โดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยความเป็นทุกข์ ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจเกิดปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมได้เสวยสุข ผู้มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ย่อมเห็นตามความเป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด เพราะคลายความกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น ธรรมมีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น ๙ ประการนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 827
[๑๘๓] ธรรมมีโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้น ๙ ประการ เมื่อพระโยคาวจรมนสิการโดยอุบายอันแยบคายโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบ ย่อมได้เสวยความสุข ผู้มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงด้วยจิตอันตั้งมั่นว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อพระโยคาวจรมนสิการโดยอุบายอันแยบคายโดยความเป็นทุกข์ ย่อมเกิดปราโมทย์... เมื่อมนสิการโดยอุบายอันแยบคายโดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิดปราโมทย์ ฯลฯ เมื่อมนสิการรูปโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการรูปโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นทุกข์ ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการรูปโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิดปราโมทย์ ฯลฯ เมื่อมนสิการเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ โดยอุบายอันแยบคายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นทุกข์ ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมได้เสวยสุข ผู้มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงด้วยจิตอันตั้งมั่นว่า นี้ทุกข์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 828
นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ธรรมอันมีโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้น ๙ ประการนี้.
[๑๘๔] ความต่าง ๙ ประการ ความต่างแห่งผัสสะอาศัยความต่างแห่งธาตุเกิดขึ้น ความต่างแห่งเวทนาอาศัยความต่างแห่งผัสสะเกิดขึ้น ความต่างแห่งสัญญาอาศัยความต่างแห่งเวทนาเกิดขึ้น ความต่างแห่งความดำริอาศัยความต่างแห่งสัญญาเกิดขึ้น ความต่างแห่งฉันทะอาศัยความต่างแห่งความดำริเกิดขึ้น ความต่างแห่งความเร่าร้อนอาศัยความต่างแห่งฉันทะเกิดขึ้น ความต่างแห่งการแสวงหาอาศัยความต่างแห่งความเร่าร้อนเกิดขึ้น ความต่างแห่งการได้รูปเป็นต้น อาศัยความต่างแห่งการแสวงหาเกิดขึ้น ความต่าง ๙ ประการนี้ ชื่อว่าญาณ เพราะ อรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดธรรม ๙ ประการ เป็นธรรมนานัตตญาณ.
อรรถกถา ธรรมนานัตตญาณนิทเทส
๑๗๗ - ๑๗๘] พึงทราบวินิจฉัยในธรรมนานัตตญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้.
บทว่า กมฺมปเถ ชื่อว่า กรรมบถ เพราะอรรถว่ากรรมเหล่านั้นเป็นทางเพื่อไปสู่อบาย. ซึ่งกรรมบถเหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 829
กุศลกรรมบถ ๑๐ ได้แก่ กายสุจริต ๓ คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑ เว้นจากลักทรัพย์ ๑ เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๑ วจีสุจริต ๔ คือ เว้นจากพูดปด ๑ เว้นจากพูดส่อเสียด ๑ เว้นจากพูดคำหยาบ ๑ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ๑, มโนสุจริต ๓ คือ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ๑ ไม่พยาบาท ๑ เห็นชอบ ๑.
อกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ ได้แก่ กายทุจริต ๓ คือ ฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑. วจีทุจริต ๔ คือ พูดปด ๑ พูดส่อเสียด ๑ พูดคำหยาบ ๑ พูดเพ้อเจ้อ ๑. มโนทุจริต ๓ คือ เพ่งเล็งอยากได้ ๑ พยาบาท ๑ เห็นผิด ๑.
อนึ่ง แม้ทั้งกุศลและอกุศลท่านก็กล่าวว่ากรรมบถ เพราะให้เกิดปฏิสนธิ. เหลือจากที่กล่าวแล้วท่านไม่กล่าวว่ากรรมบถ เพราะไม่มีส่วนในการให้เกิดปฏิสนธิ. พึงทราบว่า แม้กุศลและอกุศลที่เหลือ ท่านก็ถือเอาด้วยความมุ่งหมายถึงกุศลและอกุศลอย่างหยาบ.
บทว่า รูปํ ได้แก่ รูป ๒๘ โดยประเภทเป็นภูตรูปและอุปาทายรูป.
บทว่า วิปากํ ได้แก่ วิบาก ๒๓ ด้วยอำนาจแห่งกามาวจรกุศลวิบาก ๑๖. อกุศลวิบาก ๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 830
บทว่า กิริยํ ได้แก่ กามาวจรกิริยา ๑๑ ด้วยสามารถแห่งปริตตกิริยา ๓. มหากิริยา ๘. ชื่อว่ากิริยาเพราะเป็นเพียงกิริยาโดยไม่มีวิบาก. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านกล่าวกามาวจรด้วยอำนาจแห่งรูปเป็นอัพยากฤต วิบากเป็นอัพยกฤต กิริยาเป็นอัพยากฤต.
๑๗๙ - ๑๘๐] บทว่า อิธฏฺสฺส ได้แก่ ของบุคคลผู้ยังอยู่ในโลกนี้. โดยมากท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งมนุษยโลก เพราะมีฌานภาวนาในมนุษยโลก. อนึ่ง แม้ในเทวโลกบางแห่งบางครั้งก็ได้ฌาน. แม้ในพรหมโลกรูปพรหมทั้งหลายก็ยังได้ ด้วยสามารถของผู้เกิดในพรหมโลกนั้น ผู้เกิดในเบื้องล่างและผู้เกิดในเบื้องบน. แต่ใน ชั้นสุทธาวาสและในอรูปาวจร ไม่มีผู้เกิดในเบื้องล่าง. ในรูปาวจร อรูปาวจรผู้ไม่เจริญฌาน เกิดในเบื้องล่าง ย่อมเกิดในกามาวจรสุคติเท่านั้น ไม่เกิดในทุคติ.
บทว่า ตตฺรูปปนฺนสฺส - ของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลกนั้น ได้แก่ วิบากฌาน ๔ เป็นไปด้วยอำนาจปฏิสนธิ ภวังค์และจุติของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลกด้วยอำนาจของวิบาก. ท่านมิได้กล่าวถึงกิริยาอันเป็นอัพยาถฤต ในฌานสมาบัติอันเป็นรูปาวจรและอรูปาวจร. ถึงแม้ท่านมิได้กล่าวก็จริง พึงทราบว่า เมื่อท่านกล่าวถึงกุศล ก็เป็นอันกล่าวถึงกิริยาเป็นอัพยากฤตไว้ด้วย เพราะเป็นไปเสมอกันด้วยกุศลโดยแท้. พึงทราบในข้อนี้เหมือนอย่างในปัฏฐาน ท่านสงเคราะห์กิริยาชวนะด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 831
ศัพท์กุศลชวนะว่า เมื่อกุศลอกุศลดับ วิบากย่อมเกิดขึ้นเพราะกุศลอกุศลนั้นเป็นอารมณ์.
๑๘๑] บทว่า สามญฺญฺผานิ ได้แก่ สามัญผล ๔. ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงโลกุตรวิบากเป็นอัพยากฤต. บทว่า นิพฺพานํ ได้แก่ นิพพานเป็นอัพยากฤต.
๑๘๒] บทว่า ปามุชฺชมูลกา คือ มีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น. เพราะประกอบด้วยความปราโมทย์.
ในบทว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต ปามุชฺชํ ชายติ นี้ มีความว่า เมื่อทำไว้ในใจโดยแยบคาย ย่อมเกิดปราโมทย์. เมื่อทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ย่อมไม่เกิดปราโมทย์. จริงอยู่ เมื่อทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย กุศลจะไม่เกิด. ไม่ต้องพูดถึงวิปัสสนาละ. หากถามว่า เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวไว้โดยสรุป. ตอบว่า เพื่อแสดงความที่ปราโมทย์มีกำลังมาก. เพราะเมื่อไม่มีปราโมทย์ ความไม่ยินดีความกระสันก็จะเกิดขึ้นในเสนาสนะอันสงัด และในธรรมอันเป็นอธิกุศล. เมื่อมีอย่างนี้ย่อมก้าวถึงภาวนาทีเดียว.
อนึ่ง เมื่อมีปราโมทย์ ภาวนาย่อมถึงความเต็มเปี่ยมเพราะไม่มีความไม่ยินดี. เพื่อแสดงถึงความที่ภาวนามีอุปการะโดยความเป็นเบื้อง
๑. อภิ. ป. ๔๐/๔๘๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 832
ต้นของการทำไว้ในใจโดยแยบคาย จักกล่าวถึงหมวด ๙ ข้างหน้า.
ความปราโมทย์เพราะเป็นปัจจัยแห่งวิปัสสนาย่อมเกิดแก่ผู้เจริญวิปัสสนา โดยบาลีว่า
ยโต ยโต สมฺมสติ ขนฺธานํ อุทยพุพยํ
ลภตี ปีติปาโมชฺชํ อมตํ ตํ วิชานตํ.
เมื่อใดย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความเสื่อมของขันธ์ทั้งหลาย เมื่อนั้นย่อมได้ปีติและปราโมทย์ นั่นเป็นอมตะของผู้รู้แจ้งทั้งหลาย. (๑)
แต่ในที่นี้พึงถือเอาความปราโมทย์ เพราะการพิจารณากลาปะเป็นปัจจัย. ความเป็นผู้ถึงความปราโมทย์ ชื่อว่า ปามุชฺชํ คือ ปีติมีกำลังอ่อน. พึงเห็นว่า ป อักษร ลงในอรรถแห่งอาทิกรรม.
บทว่า ปมุทิตสฺส - ถึงความปราโมทย์ ได้แก่ ถึงความปราโมทย์ คือ ยินดีด้วยความปราโมทย์นั้น. ปาฐะว่า ปโมทิตสฺส บ้าง. ความอย่างเดียวกัน.
บทว่า ปีติ ได้แก่ ปีติมีกำลัง.
บทว่า ปีติมนสฺส ใจมีปีติ คือ ใจประกอบด้วยปีติ. พึงเห็นว่า ลบ ยุตฺต ศัพท์เสีย เหมือนบทว่า อสฺสรโถ รถเทียมด้วยม้า.
บทว่า กาโย ได้แก่ นามกาย หรือ
๑. ขุ.ธ. ๒๕/๓๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 833
รูปกาย.
บทว่า ปสฺสมภติ ย่อมสงบ คือ เป็นผู้สงบความกระวนกระวาย.
บทว่า ปสฺสทฺธกาโย - กายสงบ คือ กายสบายเพราะประกอบด้วยความสงบทั้งสอง.
บทว่า สุขํ เวเทติ - ย่อมได้เสวยสุข คือ ย่อมได้เสวยเจตสิกสุข. หรือกับด้วยกายิกสุข.
บทว่า สุขิโน - ของผู้มีความสุข คือ พร้อมพรั่งด้วยความสุข.
บทว่า จิตฺตํ สมาธิยติ - จิตย่อมตั้งมั่น คือ จิตย่อมตั้งมั่นเสมอ. จิตมีอารมณ์เดียว.
บทว่า สมาหิเต จิตฺเต - เมื่อจิตตั้งมั่น เป็นสัตตมีวิภัตติลงในภาวลักษณะโดยเป็นภาวะ. ย่อมกำหนดรู้ตามความเป็นจริงโดยความตั้งมั่นแห่งจิต.
บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ - ย่อมรู้ตามความเป็นจริง คือ รู้สังขารตามความเป็นจริงด้วยสามารถแห่งอุทยัพพยญาณเป็นต้น.
บทว่า ปสฺสติ - ย่อมเห็น คือ เห็นด้วยปัญญาจักษุกระทำสิ่งที่ถูกต้องนั้นดุจเห็นด้วยตา.
บทว่า นิพฺพินฺทติ - ย่อมเบื่อหน่าย คือ เบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลาย เพราะประกอบด้วยวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง
บทว่า นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ - เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด คือ เมื่อยังวิปัสสนาให้ถึงชั้นยอด เป็นอันคลายกำหนัดจากสังขารโดยประกอบด้วยมรรคญาณ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 834
บทว่า วิราคา วิมุจฺจติ - เพราะคลายความกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น คือ จิตย่อมหลุดพ้นด้วยน้อมไปในนิพพานด้วยผลวิมุตติ เพราะมรรคเป็นเหตุอันได้แก่วิราคะ. แต่ในบางคัมภีร์ในวาระนี้ท่านเขียนนัยแห่งสัจจะไว้มีอาทิว่า รู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ด้วยจิตตั้งมั่น. อนึ่ง ในบางคัมภีร์ท่านเขียนนัยแห่งสัจจะนั้นโดยนัยมีอาทิว่า ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายว่า นี้ทุกข์. แม้ใน ๒ วาระนั้นก็ต่างกันโดยพยัญชนะเท่านั้น โดยอรรถไม่ต่างกัน. เพราะบทว่า นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ - เมื่อมรรคญาณสำเร็จ เพราะกล่าวถึงมรรคญาณ เป็นอันสำเร็จกิจเพราะตรัสรู้อริยสัจ ๔ ด้วย. เพราะฉะนั้น แม้วาระที่ท่านกล่าวโดยนัยแห่งสัจจะ ๔ ก็มิได้ต่างกันโดยอรรถด้วยวาระนี้.
๑๘๓] บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะให้อารมณ์ต่างกัน เพราะกล่าวถึงอารมณ์ไม่ต่างกันด้วยบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต จึงกล่าวบทมีอาทิ ว่า รูปํ อนิจฺจโต มนสิกโรติ ย่อมมนสิการรูปโดยความเป็นของไม่เที่ยง.
บทว่า โยนิโสมนสิการมูลกา คือ ธรรมมีโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นเป็นหลัก. เพราะปราโมทย์เป็นต้น ละโยนิโสมนสิการเสียแล้วก็ไม่ครบ ๙.
บทว่า สมาหิเตน จิตฺเตน - ด้วยจิตตั้งมั่น คือ ด้วยจิตเป็นเหตุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 835
บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ - ย่อมรู้ตามความเป็นจริง คือ รู้ด้วยปัญญา. ท่านสงเคราะห์แม้การรู้ตามสัจจะอันเป็นส่วนเบื้องต้นด้วยการฟังตาม ในเมื่อกล่าวว่า ย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า นี้ทุกข์.
บทว่า โยนิโสมนสิกาโร ได้แก่ มนสิการโดยอุบาย.
๑๘๔] ธาตุนานตฺตํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ ผสฺสนานตฺตํ ความต่างแห่งผัสสะอาศัยความต่างแห่งธาตุเกิดขึ้น ความว่า ความต่างแห่งจักขุสัมผัสเป็นต้น อาศัยความต่างจักขุธาตุเป็นต้นเกิดขึ้น.
บทว่า ผสฺสนานตฺตํ ปฏิจฺจ - อาศัยความต่างแห่งผัสสะ คือ อาศัยความต่างแห่งจักขุสัมผัสเป็นต้น.
บทว่า เวทนานานตฺตํ - ความต่างแห่งเวทนา คือ ความต่างแห่งจักขุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น.
บทว่า สญฺานานตฺตํ - ความต่างแห่งสัญญา คือ ความต่างแห่งกามสัญญาเป็นต้น.
บทว่า สงฺกปฺปนานตฺตํ - ความต่างแห่งความดำริ คือ ความต่างแห่งความดำริถึงกามเป็นต้น.
บทว่า ฉนฺทนานตฺตํ - ความต่างแห่งฉันทะ คือ ความต่างแห่งฉันทะย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ฉันทะในรูป ฉันทะในเสียง เพราะความต่างแห่งความดำริ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 836
บทว่า ปริฬาหนานตฺตํ - ความต่างแห่งความเร่าร้อน คือ ความต่างแห่งความเร่าร้อนย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ความเร่าร้อนในรูป ความเร่าร้อนในเสียง เพราะความต่างแห่งฉันทะ.
บทว่า ปริเยสนานตฺตํ - ความต่างแห่งการแสวงหา คือ ความต่างแห่งการแสวงหารูปเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นเพราะความต่างแห่งความเร่าร้อน.
บทว่า ลาภนานตฺตํ - ความต่างแห่งการได้ คือ ความต่างแห่งการได้รูปเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นเพราะความต่างแห่งการแสวงหา.
จบ อรรถกถาธรรมนานัตตญาณนิทเทส