[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 508
๑๐. โกสิยชาดก
ว่าด้วยคําพูดกับการกระทําไม่สมกัน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 508
๑๐. โกสิยชาดก
ว่าด้วยคำพูดกับการกระทำไม่สมกัน
[๑๓๐] "ดูก่อนนางผู้โกสิยะ เจ้าจงกินยาให้สมกับที่อ้างว่าป่วย หรือจงทำการงานให้สมกับอาหารที่บริโภค เพราะถ้อยคำกับการกินของเจ้า ทั้งสองอย่างไม่สมกันเลย".
จบ โกสิยชาดกที่ ๑๐
อรรถกถาโกสิยชาดกที่ ๑๐
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภมาตุคามในพระนครสาวัตถีนางหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ยถา วาจาว ภุญฺชสฺสุ" ดังนี้.
ได้ยินว่า นางเป็นพราหมณีของพราหมณ์อุบาสก ผู้มีศรัทธาปสาทะผู้หนึ่ง เป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หยาบช้า ลามก กลางคืนก็ประพฤตินอกใจ กลางวันก็ไม่ทำงานอะไร แสดงท่าทางอย่างคนไข้นอนทอดถอนใจอยู่ไปมา ครั้งนั้น พราหมณ์ถามนางว่า แม่มหาจำเริญ เธอไม่สบาย เป็นอะไรไปหรือ นางตอบว่า ลมมันเสียดแทงดิฉัน พราหมณ์ถามว่า ถ้าอย่างนั้นได้อะไรถึงจะเหมาะเล่า นางตอบว่า ต้องได้รับยาคูภัตรและน้ำมันเป็นต้นที่ประณีตๆ พราหมณ์ก็ไปหาสิ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 509
ที่นางต้องการนั้นๆ มาให้ กระทำกิจทุกอย่างเหมือนเป็นทาส ฝ่ายนางพราหมณี เวลาพราหมณ์เข้าเรือนก็นอน เวลาพราหมณ์ออกไปก็หยอกล้อกับชายชู้ ฝ่ายพราหมณ์ดำริว่า กองลมที่เสียดแทงสรีระภรรยาของเรานี้ ดูท่าจะไม่มีที่สิ้นสุด วันหนึ่ง จึงถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปสู่พระเชตวันวิหาร บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อมีพระดำรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุไร ท่านจึงมิค่อยได้มา พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นัยว่ากองลมเสียดแทงสรีระนางพราหมณีของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องแสวงหาเนยใส น้ำมันเป็นต้นและโภชนะที่ประณีตๆ ให้นาง ร่างกายของนางก็ดูอ้วนท้วน ผ่องใส มีผิวพรรณดี แต่โรคลมดูไม่มีท่าจะสิ้นสุดได้เลย ข้าพระองค์ต้องปรนนิบัตินางอยู่เรื่อยๆ จึงไม่ได้โอกาสมาวิหารนี้ พระเจ้าข้า พระศาสดาทรงทราบความเลวของนางพราหมณีแล้วจึงตรัสว่า พราหมณ์ เมื่อมาตุคามนอนเสียอย่างนี้ โรคก็ไม่สงบ ต้องปรุงยาอย่างนี้แล อย่างนี้ให้จึงจะสมควร แม้ในครั้งก่อน บัณฑิตก็เคยบอกท่านแล้ว แต่ท่านกำหนดจดจำไม่ได้เอง เพราะมีเหตุที่ภพมากำบังไว้เสีย พราหมณ์กราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล เรียนศิลปะทุกประการในเมืองตักกสิลา แล้วได้เป็นอาจารย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 510
ทิศาปาโมกข์ในพระนครพาราณสี ขัตติยกุมารในราชธานีทั้งร้อยเอ็ดและพราหมณกุมารพากันมาเรียนศิลปะในสำนักของท่านผู้เดียวมากมาย ครั้งนั้น มีพราหมณ์ชาวชนบทผู้หนึ่งเรียนไตรเพทและวิทยฐานะ ๑๘ ประการในสำนักของพระโพธิสัตว์แล้ว ตั้งหลักฐานอยู่ในพระนครพาราณสีนั่นเอง มาที่สำนักของพระโพธิสัตว์วันละสองสามครั้งทุกวัน นางพราหมณีของเขา เป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หยาบช้า ลามก เรื่องทั้งปวงตั้งแต่นี้ไป ก็เช่นเดียวกับเรื่องปัจจุบันนั่นแล ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เมื่อพราหมณ์นั้นบอกว่า ด้วยเหตุนี้ กระผมจึงไม่มีโอกาสเพื่อจะไปรับโอวาท ดังนี้ ก็ทราบว่า นางมาณวิกานั้นนอนหลอกพราหมณ์นี้เสียแล้ว คิดว่า เราต้องบอกยาที่เหมาะสมให้แก่นาง แล้วกล่าวว่า พ่อคุณ ต่อแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ให้เนยใสและน้ำนมสดแก่นางเป็นอันขาด แต่จงโขลกใบไม้ ๕ อย่างและผล ๓ อย่างเป็นต้นใส่ในมูตรโค แล้วแช่ไว้ในภาชนะทองแดงใหม่ๆ ให้กลิ่นโลหะมันจับ แล้วถือเชือกหวายหรือไม้เรียว กล่าวว่า ยานี้เหมาะแก่โรคของเจ้า เจ้าจงกินยานี้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ลุกขึ้นทำการงานให้สมควรแก่ภัตรที่เจ้าบริโภค แล้วต้องกล่าวคาถานี้ ถ้านางไม่ยอมดื่มยา ก็ต้องเอาเชือกหรือหวายหรือไม้เรียวหวดนางลงไปอย่างไม่ต้องนับ แล้วจิกผมกระชากมาถองด้วยศอก นางจักลุกขึ้นทำงานในทันใดนั่นเอง เขารับคำว่า ดีจริง ขอรับ แล้วทำยาตามข้อที่บอกแล้วนั่นแหละ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 511
กล่าวว่า แม่มหาจำเริญ เชิญดื่มยานี้เถิด นางถามว่า ยานี้ใครบอกท่านเล่าเจ้าคะ ตอบว่า อาจารย์บอกให้ แม่มหาจำเริญ นางกล่าวว่า เอามันไปเสียเถิด ฉันไม่ดื่ม มาณพกล่าวว่า เจ้าจักดื่มตามใจชอบของตนไม่ได้ แล้วคว้าเชือกกล่าวว่า เจ้าจงดื่มยาที่เหมาะแก่โรคของตน หรือมิฉะนั้นก็จงทำงานให้สมควรแก่ภัตรที่บริโภค แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า.
"ดูก่อนนางผู้โกสิยะ เจ้าจงกินยาให้สมกับที่อ้างว่าป่วย หรือจงทำงานให้สมกับอาหารที่บริโภค เพราะถ้อยคำกับการกินของเจ้า ทั้งสองอย่างไม่สมกันเลย" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา วาจา จ ภุญฺชสฺสุ ความว่า เจ้าจงกินให้สมกับวาจาที่ลั่นไว้ อธิบายว่า จงกินให้สมกับคำพูดที่เจ้ากล่าวว่า กองลมเสียดแทงดิฉัน ดังนี้ ปาฐะว่า ยถา วาจํ วา วา ดังนี้ก็ควร บางอาจารย์ก็สวดว่า ยถาวาจาย ดังนี้ก็มี ในทุกๆ บท ความก็อย่างเดียวกันนี้.
บทว่า ยถาภุตฺตญฺจ พฺยาหร ความว่า จงพูดออกมาให้สมกับอาหารที่เจ้าบริโภคแล้ว อธิบายว่า จงบอกเถิดว่า ฉันหายโรคแล้วละ ดังนี้ แล้วทำการงานที่ต้องทำในเรือน.
ปาฐะว่า ยถาภูตญฺจ ดังนี้ก็มี.
อีกอย่างหนึ่ง มีอธิบายว่า จงพูดตามความจริงว่า ฉันไม่มีโรคดอก ดังนี้ แล้วทำการงานเสียเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 512
บทว่า อุภยนฺเต น สเมติ วาจา ภุตฺตญฺจ โกลิเย ความว่า คำพูดของเจ้าที่ว่า กองลมเสียดแทงฉันดังนี้กับโภชนะอันประณีตที่เจ้ากิน แม้ทั้งสองอย่างของเจ้านี้ไม่สมดุลย์กันเลย เพราะเหตุนั้น จงลุกขึ้นทำงานเสียเถิด.
เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ธิดาแห่งโกสิยพราหมณ์ คิดว่า ตั้งแต่เวลาที่อาจารย์ช่วยขวนขวายแล้ว เราไม่อาจลวงเขาอย่างนี้ต่อไปได้ ต้องลุกขึ้นทำการงาน ดังนี้แล้ว ก็ลุกขึ้นประกอบกิจตามหน้าที่ ทั้งยังเป็นหญิงมีศีล งดเว้นจากการทำความชั่ว ด้วยความยำเกรงในอาจารย์ว่า ความที่เราเป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อาจารย์รู้หมดแล้ว ต่อแต่นี้ไป เราไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้อีก.
แม้นางพราหมณีนั้น ก็ไม่กล้าทำอนาจารซ้ำอีก ด้วยความเคารพในพระศาสดาว่า ได้ยินว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้เรื่องของเราแล้ว.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า คู่สามีภรรยาในครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่สามีภรรยาในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโกสิยชาดกที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 513
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กุสนาฬิชาดก ๒. ทุมเมธชาดก ๓. นังคลีสชาดก ๔. อัมพชาดก ๕. กฏาหกชาดก ๖. อสิลักขณชาดก ๗. กลัณฑุกชาดก ๘. มูสิกชาดก ๙. อัคคิกชาดก ๑๐. โกลิยชาดก.
จบ กุสนาฬิวรรคที่ ๑๓