คือ มันเป็นอาการที่ปรากฏเป็นภาพในความคิดของผมครับ ความคิดที่เห็นภาพตนเองทำร้ายแม่ตัวเอง
ทั้งๆ ที่ผมรักและเคารพพ่อกับแม่มาก ผมไม่เคยทำความเสื่อมเสียอะไรให้ครอบครัวเลย มันจะผุดออกมาโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งตัว และเป็นบ่อยมากๆ
ผมไม่ได้มีเจตนาในความคิดนั้น ซึ่งผมก็รู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่หยุดความคิดนั้นไม่ได้ และมีความกังวลมากๆ
คือภาพที่ปรากฏ มันเป็นความผิดบาปที่ฝังในใจผม ที่ผมไม่ควรคิดแบบนั้น อยากลืมมันไปเสีย แต่ก็ยังไม่หายไป
ช่วงแรกๆ แทบจะเป็นบ้าเลยครับ ผมกลัวที่จะมองของมีคม กลัวที่จะมองภาพที่น่าหวาดเสียว เพราะมันจะปรากฏภาพตนเองทำร้ายแม่มาตลอด ไปมองสิ่งนั้น
พักหลังๆ มาเลยใช้วิธีนั่งภาวนา กำหนดลมหายใจพุทธโธ พยายามพิจารณาถึงความคิดอุปาทานที่มันไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของจริง ช่วยได้มากเลยครับ แต่ก็ยังไม่หายไปอยู่ดี
ผมควรทำยังไงดีครับ ท่านสมาชิกทุกท่าน ช่วยแนะนำผมด้วย
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ภาพต่างๆ มีได้ เพราะอาศัยการนึกคิด ของ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ตามการสะสม สิ่ง ที่ถูกต้องในการพิจารณาให้เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง คือ จิตที่คิดมีจริง แต่เรื่องที่คิดไม่มีจริง เมื่อเข้าใจดังนี้ ที่คิดเป็นเรื่องราวว่าทำร้าย บิดา มารดา นั่นก็เป็นเพียงเรื่อง ที่คิดเอง ไม่ได้ทำจริงๆ ดังนั้น แทนที่จะเดือดร้อน กับสิ่งที่ไม่ได้ทำจริงๆ ก็ควรเข้าใจว่า ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เป็นอย่างนั้น และ เข้าใจความจริงว่า ไม่สามารถห้ามความคิดได้ หนทางที่ถูก จึงไม่ใช่พยามมจะห้ามไม่ให้คิด แต่ หนทางที่ถูก คือ เข้าใจในสิ่งที่เกิดแล้วว่าคืออะไร เข้าใจว่า เรื่องที่คิด ไม่มีจริง ครับ
ประการที่สำคัญที่สุด ในเมื่อรู้ว่า คิดเรื่องที่ไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำจริงๆ ก็ย้อนกลับมาในชีวิตประจำวัน ที่จะเป็นเครื่องเตือนว่า เราทำหน้าที่ของบุตรได้อย่างดี ครบถ้วน หรือไม่ มีการช่วยเหลือกิจการงาน หรือ เลี้ยงดูท่าน ตามความเหมาะสม เพราะ ความคิด คงไม่เท่าชีวิตจริง ที่มีการแสดงออกทางกาย วาจา รู้ว่าคิดไม่ดี แทนที่จะห้ามความคิด ก็ทำสิ่งที่ดี กับ บิดา มารดาให้มากขึ้นและเหมาะสม ขณะที่ทำความดีกับท่าน ก็ค่อยๆ สะสมความคิดที่ดีกับท่านแล้ว ขณะที่สะสมความดี จนทำให้มีการแสดงออกทาง กาย วาจาที่ดี ในชีวิตจริง ก็จะทำให้ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดใหม่ทีละน้อย จากที่คิดว่าจะ ทำร้าย แม้ไม่ได้ทำร้ายจริง ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคิดทำดีกับท่านมากขึ้นเอง อันเกิดจากความเข้าใจถูกว่า เรื่องที่คิดไม่มีจริง และ ควรที่จะปฏิบัติกับท่านในชีวิตประจำวันอย่างไร เปลี่ยนความคิดได้ แต่ต้องอาศัยการสะสม อบรมทีละน้อย ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากความคิดไม่ดี สู่ความคิดที่ดี ซึ่งความคิดที่ดี จะมีเกิดขึ้นได้ และเจริญขึ้น เพราะ อาศัยการฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ด้วยการนั่งสมาธิ ให้ไม่ให้นึกคิดเรื่องนั้น ปัญหาจะต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ แก้ที่การมีกิเลส ด้วยการมีปัญญามากขึ้น ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุ ครับ นั่นคือ ต้องเริ่มการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้คิดถูก คิดดี และคิดมีประโยชน์มากขึ้น ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส อกุศลจิตย่อมจะเกิดขึ้นมากในชีวิตประจำวัน คงไม่ต้องกล่าวถึงอดีตชาติที่ผ่านๆ มาว่าจะมากสักแค่ไหน แม้แต่วันนี้วันเดียว อกุศลจิตก็เกิดมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิตประเภทที่มีโลภะ ความติดข้องต้องการเกิดร่วมด้วย อกุศลจิตประเภทที่มีโทสะ ความขุ่นใจ ความโกรธ ความไม่พอใจ เกิดร่วมด้วย เป็นต้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามการสะสมมาของแต่ละ บุคคล สำหรับ เรื่อง “คิด” นั้นแสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ในฐานะที่ยังเป็นผู้มีกิเลส ขณะที่คิด ย่อมเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศล บ้าง ขึ้นอยู่กับการสะสมมาของแต่ละบุคคลจริงๆ ว่าจะเป็นจิตประเภทไหน เพราะเหตุว่าเวลาที่จิตเกิดนั้น ไม่ได้เกิดเพียงจิตเท่านั้น ยังมี เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) เกิดร่วมด้วย ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นจิตที่ดี ก็มี ปรุงแต่งให้เป็นจิตที่ไม่ดี ก็มี ตราบใดที่ยังมีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์
ดังนั้น การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และ มีค่าต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เมื่อความรู้ ความเข้าใจค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน, คิด ก็คิดดี เมื่อคิดดีแล้ว การกระทำทางกาย และทางวาจา ก็ย่อมจะดีด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความเข้าใจพระธรรม จึงเกื้อกูลให้กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้นในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ป้องกันไม่ให้ไปทำอะไรด้วยความเห็นผิดหรือด้วยความไม่รู้ เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว นั่นเอง ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขณะที่เกิดมโนภาพเช่นนั้น ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตที่คิด ถ้ามีปัญญาก็จะรู้ว่าสภาพคิดเป็นนามธรรม เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เกิดแล้วดับแล้ว สั้นมาก ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตนค่ะ
ขอบพระคุณสำหรับไมตรีจิต กุศลจิตของของท่านทั้งสองมากครับผม
ดิฉันเคยบอกเพื่อนที่รักกันว่า ถ้าเราคิดเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจบ่อยๆ และรู้สึกว่าความทุกข์นั้นยังคงอยู่ไม่ห่างหายไปสักที ก็ให้หันมาศึกษาและหมั่นฟังพระธรรมคำสอนจะทำให้ความทุกข์นั้นละคลายลงไปได้ เพราะหลักธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นละเอียดและมีความลึกซึ้งยากที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะรู้ได้โดยไม่มีการอบรมเจริญปัญญามาก่อน เธอก็เข้าใจที่ดิฉันพูด แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะฟังอย่างตั้งใจจริงๆ สักที
ฉะนั้น ถ้าไม่มีการเริ่มต้น ก็คงจะเดินไปหาจุดหมายนั้นไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ดังนั้นถ้าคุณตั้ม ผู้ตั้งกระทู้นี้หมั่นฝึกฝนอบรมเจริญปัญญาโดยการฟังพระธรรมให้เข้าใจเสียแต่วันนี้ ความรู้สึกเดิมที่มีอยู่จะค่อยจางหายไปวันละเล็กวันละน้อยเพราะกุศลจิตจะเกิดขึ้น ดังที่ผู้รู้ทั้ง ๓ ท่านได้อรรถาธิบายตามหลักธรรมข้างต้น
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ