รู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือความดีความชั่ว
โดย pong100000  30 ม.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 20464

รู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือความดีความชั่ว


ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อพูดถึงความจริงที่เป็นสัจจะ ที่มีสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูปและนิพพาน ความดี ความชั่ว ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็นสัจจะ ที่เป็น จิต เจตสิก รูปและนิพพานเลยครับ ความดี ไม่ใช่ใครที่ดี ความดี คือ ความดี เป็นสภาพธรรมที่เป็นเจตสิก ที่เป็นเจตสิกที่ดี ฝ่ายดี มีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ปัญญา เป็นต้น หรือ อาจเรียกว่า กุศลก็ได้ เมื่อกล่าวถึงความดี ความไม่ดี หรือ ความชั่ว ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น เจตสิกฝ่ายไม่ดี ที่เรียกว่า อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง มี โลภะ ความติด ข้อง โทสะ โมหะ ความไม่รู้ เป็นต้น

รู้ได้อย่างไร ว่าอะไรคือ ความดี ความชั่ว

ความดี ที่เป็นกุศล และความชั่ว ที่เป็นอกุศลมี และกำลังเกิดในชีวิตประจำวัน แต่ไม่เคยรู้เลย การจะรู้ว่าอะไรคือความดี และ ความชั่ว ก็ต้องด้วยสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง นั่นคือ ปํญญา ปัญญานี้เองที่เป็นสภาพธรรมที่รู้ว่าสิ่งใดเป็นอย่างไร ตามความเป็นจริง รู้ว่าสิ่งใด คือ กุศล สิ่งใด คือ อกุศล สิ่งใดเป็นความดี สิ่งใดเป็นความชั่ว ในขณะที่กำลังเกิดอยู่ นั่นเองครับ ซึ่งหากไม่มีปัญญา ก็เปรียบเหมือนอยู่ในห้องมืดที่ไม่มี แสงสว่าง ย่อมไม่เห็นสิ่งของในห้องเลยครับว่า มีอะไรอยู่ในห้องบ้าง แต่เมื่อมีแสงสว่าง ก็ย่อมทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ในห้องตามความเป็นจริงครับว่า มีสิ่งใดอะไรบ้าง และ มีความแตกต่างกันอย่างไรในสิ่งของต่างๆ ที่มีในห้องครับ ฉันใด ปัญญาก็เป็นสภาพธรรมที่เห็นตามความเป็นจริง เปรียบดังเช่นแสงสว่างที่ทำให้เห็นสิ่งของต่างๆ ตามความเป็นจริง ปัญญาที่เกิดขึ้น ย่อมเห็นตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมนี้ดี เป็นกุศล ไม่มีโทษ ควรเจริญ สภาพธรรมนี้ไม่ดี เป็นอกุศล มีโทษ ไม่ควรเจริญ ควรทำให้เสื่อม และละคลายไป การรู้ตามความเป็นจริงในสภาพธรรมต่างๆ ก็เพราะปัญญานั่นเอง เป็น สำคัญครับ

ซึ่งลักษณะของความดี และ ความชั่ว หรือ กุศล และ อกุศล พระพุทธเจ้าก็แสดงไว้ดังนี้

ลักษณะของกุศล หรือ ความดี คือ

๑. เป็นธรรมที่ไม่มีโทษ

๒. ไม่มีโรค

๓. ให้ผลเป็นสุข

๔. เป็นสภาพธรรมที่ฉลาด

ความดี หรือ กุศล เป็นธรรมไม่มีโทษ

กุศล หรือ ความดี เช่น ขณะที่ให้ทาน รักษาศีล มีเมตตา เจริญอบรมปัญญา เป็นธรรมไม่มีโทษ เพราะไม่ประกอบด้วยธรรมที่มีโทษ คือ โลภะ โทสะและโมหะ เป็นต้น จึงเป็นธรรมที่ไม่มีโทษ และ ไม่มีโทษกับจิตของผู้ที่เกิด ไม่มีโทษกับผู้อื่น กับคนรอบข้าง เมื่อความดีเกิดขึ้น

ความดี หรือ กุศลเป็นธรรมไม่มีโรค

ไม่มีโรค คือ ไม่มีโรค คือ กิเลส ที่เป็นโรคทางใจเกิดขึ้นเลย ในขณะที่ กุศลจิต และเจตสิกฝ่ายดี ที่เป็นความดีเกิดขึ้นในขณะนั้น มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญปัญญาเป็นต้น

ความดี หรือ กุศลเป็นธรรมให้ผลเป็นสุข

เมื่อความดีที่เป็นกุศลกรรมเกิดขึ้น มีการให้ทาน รักษาศีล อบรมปัญญา เมื่อเป็นเหตุ ผลก็ย่อมมี ซึ่งผลของความดี ย่อมนำมาซึ่งสิ่งที่ดี ให้ผลเป็นสุข เช่น เกิดในภพภูมิที่ดี ได้เห็นสิ่งดี ได้ยินสิ่งที่ดี ลิ้มรสสิ่งที่ดี รู้กระทบสัมผัสที่ดี เป็นต้น อันให้ผลเป็นสุขครับ

ความดี หรือ กุศล เป็นสภาพธรรมที่ฉลาด

ความดี ก็มีหลายระดับ ความดีที่มีปัญญา มีความเห็นถูก ย่อมเป็นสภาพธรรมที่ฉลาดรู้ว่า อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว เมื่อรู้ตามความเป็นจริงก็งดเว้นสิ่งที่ไม่ดี เจริญความดี เพราะมีปัญญา อันเป็นสภาพธรรมที่ฉลาดครับ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 30 ม.ค. 2555

ส่วนอกุศล หรือ ความไม่ดี ก็มีความหมาย ตรงกันข้ามกับ ความดี คือ

๑. เป็นธรรมที่มีโทษ

๒. ให้ผลเป็นความทุกข์

๓. เป็นธรรมที่มีโรค

๔. เป็นสภาพธรรมที่ไม่ฉลาด

อกุศล หรือ ความไม่ดี เมื่อเกิดขึ้น เป็นธรรมที่มีโทษ เพราประกอบด้วยสภาพธรรมที่มีโทษ คือ โลภะ โทสะและโมหะ สภาพธรรมเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้น ย่อมมีโทษกับจิตของผู้ที่เกิดเองและมีโทษกับคนรอบข้าง เพราะทำให้กาย วาจาและใจเป็นไปในทางที่ไม่ถูก ต้องครับ ให้ผลเป็นทุกข์ วิบาก ผลของกรรม ของการทำความชั่ว มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น นำมา ซึ่งความทุกข์ในขณะที่ทำ และผลของกรรม ก็ทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่ดี มีการเกิดในนรก เป็นต้น ครับ เป็นธรรมที่มีโรค เพราะนำมาซึ่งโรคกิเลสในขณะนั้น เป็นสภาพธรรมที่ไม่ฉลาด อกุศล ความไม่ดี หรือ ความชั่วที่เกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมที่ไม่ฉลาด หรือ ไม่รู้ เพราะขณะนั้น มีความไม่รุ้ ที่เป็นโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี อะไรควร ไม่ควร และไม่รู้ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฎว่าคืออะไรครับ

จากที่กล่าวมา ในลักษณะของความดี และ ความชั่ว ก็ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ตามความเป็นจริง ซึ่งก็จะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาจึงจะ เจริญขึ้นทีละน้อย ก็จะค่อยๆ แยกสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่า ขณะไหน คือ ความดี ขณะไหนคือความชั่ว แต่ประการสำคัญที่สุด การอบรมปัญญาที่ถูกต้อง คือ เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ดี หรือ ชั่ว ก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมเท่านั้นครับ เพื่อละความสำคัญผิดว่า เป็นเราที่ดี หรือ เราที่ชั่วครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 3    โดย ผ้าเช็ดธุลี  วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์

และ

ความเข้าใจในธรรมเพิ่มเติมของผู้ศึกษาด้วยนะครับ


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมหรือกุศลธรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ปกติในชีวิตประจำวันของผู้ที่ยังมีกิเลส ยังถูกผูกมัดไว้ด้วยกิเลสประการต่างๆ จึงมีอกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา และเกิดมากกว่ากุศลด้วย กุศลธรรม ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดี ควรอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน

ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกุศลประเภทใด ทั้งทาน ศีล และการอบรมเจริญปัญญา ก็ควรอบรมเจริญทั้งนั้น ในขณะที่กุศลเกิด ย่อมขัดเกลาอกุศล อกุศลเกิดไม่ได้ในขณะที่จิตเป็นกุศล, ในทางตรงกันข้าม อกุศลธรรมซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดำ เป็นบาปธรรม เป็นธรรมที่ไม่ดี ให้ผลเป็นทุกข์ เป็นสภาพธรรมที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่ควรเลยที่จะสะสมอกุศลให้มีมากขึ้น การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของพระธรรมคำสอนก็ตาม ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกทั้งสิ้น ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบในการฟัง ในการศึกษา เมื่อมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะทำให้เป็นผู้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นโทษเห็นภัยของอกุศล และเห็นคุณค่าของกุศลธรรม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาททั้งในกุศลและในอกุศลแม้จะเล็กน้อย เป็นผู้เจริญกุศลประการต่างๆ เพื่อขัดเกลาอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่าเมื่อกุศลไม่เกิดขึ้น ไม่เจริญขึ้น ก็เป็นโอกาสของอกุศลที่นับวันจะพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ,

การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล กุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย เซจาน้อย  วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย pat_jesty  วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขณะที่เป็นกุศล ไม่ใช่ขณะที่เป็นอกุศล ไม่ได้เกิดพร้อมกันต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง การมองแบบเป็นเรื่องราวยาวๆ แบบรวมๆ อาจทำให้สับสน เพราะแท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อกันรวดเร็วมาก กุศลเกิดดับสลับกับอกุศลได้ ดังนั้นต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริง ว่าขณะที่ดี ไม่ใช่ขณะที่ชั่ว เป็นเพียงสภาพธรรมหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย kinder  วันที่ 30 ม.ค. 2555
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 31 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย chatchai.k  วันที่ 5 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ