เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
กระผมฟังพระอภิธรรมพื้นฐานตอนที่ 419 ท่านอาจารย์บรรยายถึง "วิตกเจตสิก" โดยท่านอาจารย์อธิบายว่าวิตกเจตสิกมีความเกี่ยวพันธกับความเข้าใจการเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้ปัญญาด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิตก [ตรึก] (วิตักกเจตสิก) วิตกเจตสิก เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ตรึกหรือจรดในอารมณ์ เกิดกับกุศลก็ได้ หรือ อกุศลก็ได้ ถ้าตรึกไปในทางที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศลวิตก ในทางตรงกันข้าม ถ้าตรึกไปในทางอกุศล ก็เป็นอกุศลวิตก เป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และเกิดเองเพียงลำพังไม่ได้ ก็ต้องเกิดร่วมกับจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย
ซึ่งโดยทั่วไป มักเข้าใจเพียงการคิดนึก ตรึกไปในเรือ่ราวต่างๆ เช่น ตรึกไปในทางกุศล คือ เนกขัมมะวิตก คิดตรึก ที่จะออกจากกาม อพยาปาทะวิตก ตรึกคิดนึกที่จะไม่พยาบาท อวิหิงสาวิตก ตรึกนึกคิดที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น ส่วนทางอกุศลที่เป็นอกุศลวิตก เช่น กามวิตก คือเป็นไปในความยินดีพอใจ เป็นต้น แต่ในความละเอียดแล้ว วิตกเจตสิก ไม่ใช่เพียงการคิดนึกเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงลักษณะของสภาพธรรมคือ จรด หรือ ตรึก ในอารมณ์ตามสภาพของจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย วิตกเจตสิกซึ่ง จรด หรือ ตรึก ในอารมณ์นั้นเหมือนเท้าของโลก เพราะ ทำให้โลกก้าวไป และ ยังจรดในสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นด้วย ครับ
เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ
ลักษณะของวิตกเจตสิก
ซึ่ง วิตกเจตสิก เกี่ยวข้องกับความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม เพราะวิตกเป็นธรรม เมื่อธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา วิตกเจตสิก ก็ต้องเป็นอัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย คือ วิตกเจตสิก คือ ความตรึก จรดในสภาพธรรม เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่ว่า จะตรึก นึกคิดเป็นไปในทางกุศล หรืออกุศล ตามการสะสม ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับให้ตรึกเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดีได้ ตามความพอใจ แต่เป็นอนัตตา เพราะอาศัยเหตุปัจจัย ตามการสะสมมา อย่างไรก็ดี ควรที่จะสะสมเหตุ ที่จะทำให้ ตรึกนึกคิดเป็นไปในทางกุศลมากขึ้น ด้วยการเจริญอบรมปัญญา ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมทำให้คิดถูกต้อง คิดเป็นไปในทางกุศล และ เมื่อปัญญาถึงระดับที่รู้ความจริงของสภาพธรรม วิตกเจตสิกที่เกิดขึ้นก็จรดในสภาพธรรมนั้น ไม่ได้คิดเป็นเรื่องราวแต่ เข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมในขณะนั้น ซึ่งก็เป็นอนัตตาอีกเช่นกัน ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์ของการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย และสิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจนั้น ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากธรรมเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
วิตักกเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ มีจริงๆ ในขณะนี้ด้วย เป็นเจตสิกธรรมที่เกิดกับจิตส่วนใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งในชีวิตประจำวันก็ไม่เกิดกับจิต ๑๐ ประเภท คือไม่เกิดกับจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่เป็นผลของกุศล กับ ที่เป็นผลของอกุศล (รวมเป็น ๑๐ พอดี) นอกนั้น มีวิตักกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งยากที่จะเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง แม้มีจริงๆ ในขณะนี้ วิตักกเจตสิก ตลอดจนถึงสภาพธรรมที่มีจริง ทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
สำหรับในชีวิตประจำวัน ก็พอจะเข้าใจได้ว่า มีการตรึกไปในทางที่เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เพราะส่วนใหญ่แล้ว ก็ตรึกนึกคิดด้วยกันทั้งนั้น ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง จะคิดช่วยเหลือผู้อื่น คิดถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังด้วยความเข้าใจ คิดในทางที่จะไม่เบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่น หรือจะคิดในทางที่เบียดเบียดผู้อื่น เป็นไปกับด้วยอกุศลประการต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลที่ดี จากที่มากไปด้วยการตรึกไปด้วยอกุศล ก็มีพระธรรมเป็นเครื่องขัดเกลา ทำให้น้อมไปในทางที่ดี ตรึกไปในทางที่ดีมากด้วย คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ทั้งหมดเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
วิตกเจตสิก คิดนึก กุศล อกุศล ฟังพระธรรมมากๆ จะทำให้คิดนึกในทางกุศลเพิ่มขึ้น ค่ะ
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
วิตกเจตสิกไม่เกิดกับจิตเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส สัมผัส ที่เป็นกุศลและอกุศล อาจารย์หมายความทวิปัญจวิญญาณจิตเพราะเป็นวิบากจิตและวิบากจิตอื่นๆ วิตกเจตสิกไม่เกิดร่วมด้วยหรือครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ