ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๔
~ มีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นๆ ในสิ่งที่มี ว่าไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุด เกิดมากี่ชาติก็เป็นเราทั้งนั้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม แค่คำเดียวว่า ธรรม ชัดเจนใช่ไหม ว่าไม่ใช่เรา
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อให้เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งไม่สามารถที่จะคิดเองได้เลย แม้ฟังแล้วฟังอีก กว่าจะฟังแล้วรู้ว่าธรรมแต่ละหนึ่งขณะนี้ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ก็ต้องอาศัยธรรม คือ ความเป็นผู้มีศรัทธา (เห็นประโยชน์ที่จะฟังพระธรรมต่อไป)
~ มีความมั่นคงไหม ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตามความเป็นจริง
~ มีศรัทธาที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจ ถ้าไม่มีการฟังเพื่อที่จะเข้าใจ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละท่านที่กำลังฟังอยู่ในขณะนี้ มีศรัทธามั่นคงที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้หรือเปล่า?
~ ถ้ามีความเข้าใจธรรม ดีขึ้นใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะฉะนั้น ดีทั่วๆ ไปที่ไม่เข้าใจธรรม ก็ดีได้เพียงระดับหนึ่ง แต่เมื่อมีความเข้าใจธรรมแล้ว ดีขึ้นทุกทาง แล้วก็เพิ่มขึ้นด้วย
~ สิ่งที่ควรกลัว ไม่ควรทำ ก็คือ อกุศล
~ หวังดีให้เขาเข้าใจธรรม ถึงเขาจะด่า ถึงเขาจะว่า แต่ว่าไม่สามารถที่จะทำให้ความหวังดีที่จะให้เขาได้เข้าใจความจริง ถูกลบล้างไป
~ ไม่ฟังด้วยดี ก็ไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกท่านก็ไม่ควรที่จะลืมเลยว่า อีกไม่นานก็ถึงชาติหน้า และก็ชาติหน้าท่านอยากจะเป็นบุคคลประเภทไหน อยากจะมีกิเลสน้อยหรือว่าอยากจะมีกิเลสมาก ดูเหมือนว่าชาตินี้กิเลสมาก แต่ว่าชาติหน้าอยากมีกิเลสน้อย นั่น เหตุกับผลยังไม่ตรงกัน ในเมื่อชาตินี้มีกิเลสมาก แต่ว่าชาติหน้าอยากมีกิเลสน้อย แต่ว่าถ้าชาตินี้ไม่ขัดเกลากิเลส ไม่มีหิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ไม่ละคลาย ชาติหน้าก็กิเลสน้อยไม่ได้ และสำหรับชาติหน้า ทุกคนก็จะเป็นบุคคลใหม่ ซึ่งจะไม่ย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกเลย แต่ว่าถ้าใครสามารถที่จะมีปัญญาถึงขั้นที่จะรู้อดีตของชาติหน้า ซึ่งก็คือ ชาตินี้เอง ชาติหน้าก็อาจจะคิดว่า "ชาติก่อนนั้นไม่ควรจะทำอย่างนี้เลย ไม่ควรจะผูกโกรธอย่างนั้น ไม่ควรจะกล่าววาจาอย่างนั้นเลย"
~ มีความเป็นมิตรที่ดี มีใครที่เข้าใจผิด เราก็พยายามช่วยเท่าที่สามารถจะกระทำได้ ก็เป็นประโยชน์
~ คนที่ไม่เข้าใจธรรม มีมาก และคนที่เข้าใจธรรมผิด ก็มีมาก หนทางเดียวที่เป็นผู้ที่หวังดีต่อคนที่ไม่เข้าใจธรรมหรือเข้าใจธรรมผิด ก็คือ มีความเป็นมิตรที่จะให้สิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ได้ศึกษาแล้ว ถูกต้อง ก็ควรที่จะให้คนอื่นได้รับฟังด้วย
~ มีความเป็นเพื่อน หวังดีที่จะทำภารกิจที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มีค่าที่สุดในชีวิตที่เกิดมา เพราะเหตุว่า ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะฉะนั้น ทุกคนก็เห็นค่าของการที่จะทำให้พระธรรมยั่งยืนต่อไป ก็ศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่งในพระธรรมทุกคำ มีการปรึกษา ค้นคว้า เพื่อความชัดเจนขึ้น
~ การที่จะเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่เข้าใจ จะเป็นการถูกต้องหรือ เหมือนกับไม่รู้จักแล้วก็เคารพเฉยๆ แต่เมื่อได้ฟังธรรมเข้าใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละมีความเคารพที่มั่นคงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ทุกคนก็รู้ว่าทุกคำที่พูดถึงธรรมทั้งหมด ไม่ว่าสมัยใด ยุคใด เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น
~ พุทธบริษัท ต้องเคารพอย่างยิ่งในพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ ที่แสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง เพื่ออะไร? เพื่อสัตว์โลกจักไม่เข้าใจผิด
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำใครคิดเองได้? แม้แต่คำเดียว ก็ต้องไตร่ตรองพิจารณาโดยถี่ถ้วน โดยประการทั้งปวง และพระไตรปิฎกกว้างขวางมาก ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ต้องสอดคล้องกันทั้งสามปิฎก ถ้ายังข้องใจในคำหนึ่งคำใดก็ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้องจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว ก็เป็นผู้หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มีความเห็นที่เพิ่มขึ้นๆ จากโลกนี้ไปอีก แม้ได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สนใจแล้วก็มีการไม่ไตร่ตรอง และมีการเข้าใจผิดซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง
~ ทุกคนมีอกุศลมาก (เหมือน) ยืนอยู่ปากเหว จะตกลงไปหรือว่าจะถอยกลับที่จะไม่ตกลงไป? เพราะเหตุว่า ที่มีความเห็นผิดในชาติแล้ว มีหรือที่ชาติต่อไปจะไม่เห็นผิดต่อไปอีก เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างใหญ่หลวงมาก แล้วเราก็ไม่รู้ว่าใครจะมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ด้วยความเป็นมิตร ก็ให้เขาพ้นจากเหวของความไม่รู้และความเห็นผิด ที่ควรจะได้ศึกษาให้เข้าใจพระธรรม มิฉะนั้นแล้ว เป็นโทษหนักมาก เพราะเหตุว่า คำไม่จริงทำลายคำจริง คำที่ไม่จริงก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด
~ เห็นโทษของความเห็นผิดไหม ถ้าเข้าใจพระธรรมผิด เป็นโทษแค่ไหน ไม่ได้ไตร่ตรองความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว นอกจากจะเป็นโทษแก่ตนเองแล้วยังประกาศชักชวนคนอื่นให้เข้าใจผิดด้วย เพราะฉะนั้น โทษนั้นจะมากสักแค่ไหน เพราะเหตุว่า เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกคนมีส่วนร่วมในการที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่า แต่ละคนก็ได้เห็นประโยชน์ของการจะได้เข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรม ขาดคนหนึ่งคนใดไม่ได้เลย เพราะทุกคนมีส่วนที่จะร่วมกันดำรงพระพุทธศาสนา ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ถ้าขณะใดก็ตามที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล แล้วจะสะสมอกุศลไปทำไม ใช่ไหม? เพราะรู้ จึงเจริญกุศลทุกประการเท่าที่จะเป็นไปได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ด้วยพระมหากรุณา และด้วยพระปัญญาของพระองค์ ว่า ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เพราะเหตุว่า เป็นภิกษุเพื่อขัดเกลากิเลส แต่เงินทองนำมากิเลส แล้วจะขัดเกลาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เข้าใจ ก็คิดว่า ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงเพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นประโยชน์ในสมัยนี้ แต่ว่าความจริงก็ต้องรู้ว่ากิเลสเกิดจากอะไร และใครจะรู้ยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบัญญัติความละเอียดอย่างยิ่งทุกประการเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่จะขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นประโยชน์อย่างนี้ก็คิดว่าพระมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิ่งที่ทำให้ตนเองต้องลำบาก
~ การเป็นภิกษุ เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น กิเลสเกิดจากอะไร เกิดจากความยินดีที่เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ยินดีในเงินและทองแล้วจะเป็นภิกษุเพื่อขัดเกลากิเลสได้ไหม แต่ถ้าภิกษุนั้น เห็นโทษจริงๆ ของการติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสต่างๆ ก็จะรู้ได้ว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไม่ให้รับเงินทองหรือว่าไม่ยินดีในเงินและทอง ก็เพราะเหตุว่าเงินทองนำมาซึ่งวัตถุซึ่งเป็นที่พอใจ เพราะฉะนั้น จะเป็นผู้ที่มีสิ่งที่น่าพอใจแล้วก็จะเป็นภิกษุด้วยแล้วจะขัดเกลากิเลสได้อย่างไร
~ ควรรู้ตั้งแต่เบื้องต้นว่า บวชทำไม ถ้าบวชแล้วประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย คือ ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง ได้ไหม? ถ้าไม่ได้ ก็ไม่บวช เพราะเหตุว่า การบวช เป็นการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง แต่ว่าการรับเงินรับทองนำมาซึ่งกิเลส
~ ถ้าพระภิกษุไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ก็ไม่รู้จักพระภิกษุ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่ว่าใครก็ตามทั้งหมดจะบวชมากี่พรรษาก็ตาม ถ้าไม่เข้าใจทั้งพระธรรมและพระวินัย ก็ไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร
~ สิ่งที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา กระทำ ก็ด้วยการเป็นมิตรที่ดี กล่าวสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระวินัย พระสูตร หรือ พระอภิธรรม พร้อมที่จะให้แต่ละคนได้สนทนาซักถาม ร่วมกันพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง นี่คือ การศึกษาธรรม ไม่ประมาทจริงๆ .
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ผู้กล่าวคำจริงและกราบอนุโมทนากุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจพระสัทธรรมค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ