อนุโมทนาสาธุค่ะ ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ
สตรีไทยปัจจุบันสามารถบวชเป็นสามเณรีหรือภิกษุณีได้อย่างถูกต้องตามพระธัมมะวินัยได้หรือไม่ ในประเทศไทยเข้าใจว่าบวชได้แต่หาผู้ที่ทำพิธีให้ไม่ได้ใช่หรือไม่ ในต่างประเทศจะบวชได้ไหม และบวชแล้วกลับมาอยู่ประเทศไทยจะอยู่อย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กฏเกณฑ์ในการบวชเป็นพระภิกษุณี มีหลายประการดังนี้ครับ
- ต้องบวชกับคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายภิกษุสงฆ์ ๑ ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ ๑
- ต้องถือครุธรรม ๘ ประการตลอดชีวิต
- สำหรับสตรีที่จะไปขอบวช ต้องเป็นนางสิกขมานา รักษาศีล ๖ ข้อ ไม่ขาดเลย ๒ ปี จึงจะบวชเป็นพระภิกษุณีได้ ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งต้องเริ่มนับใหม่ให้ได้ ๒ ปี จึงจะบวชได้ครับ
ศีล ๖ ข้อที่ต้องถือห้ามขาด ตลอด ๒ ปี คือ
1. งดเว้นจากปาณาติบาต
2. งดเว้นจากอทินนาทาน
3. งดเว้นจากอพรหมจรรย์ อันมีการเสพเมถุน เป็นต้น
4. งดเว้นจากมุสาวาท
5. งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย
6. งดเว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาลคือหลังเที่ยง
เมื่อไม่มีภิกษุณีแล้ว ก็ไม่สามารถบวชผู้หญิง เป็นภิกษุณีได้ เพราะฉะนั้น การบวช ภิกษุณีในปัจจุบัน ก็เป็นโมฆะ คือ ไม่ใช่ภิกษุณีจริงๆ เพราะผิดหลัก ขัดหลักพระธรรม วินัย ตามที่กล่าวมา ครับ
ดังนั้น ที่ถามเรื่องบวชเป็นภิกษุณีในต่างประเทศได้ไหม ก็ต้องขอเล่าประวัติ การบวช ภิกษุณีในต่างประเทศ คือ นอกประเทศอินเดีย คือศรีลังกา ว่าเป็นมาอย่างไร
สำหรับประวัติการมีภิกษุณีในศรีลังกา เมื่อหลังพระพุทธปรินิพพานได้สองร้อยกว่า ปี ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้มีผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา บวชและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระเจ้าอโศก ส่งพระมหินเถระ ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ชาวศรีลังกาเกิดความ เลื่อมใสมากมาย ผู้ชายก็ขอบวช และก็ได้บรรรลุธรรม น้องชายของกษัตริย์ศรัลังกา ชื่อ พระอภัยราชกุมาร ได้บวชพร้อมกับชาวเมือง ต่อมา พระชายาของพระอภัยราช กุมาร ชื่อ พระนางอนุฬาเทวี มีความประสงค์จะบวชด้วย จงได้ไปกราบทูลพระราชา ว่าต้องการจะบวช พระราชาได้กล่าวกับ ท่านพระมหินเถระว่า พระนางอนุฬาเทวี และบริวารที่เป็นสตรีอีก ๑๐๐๐ ต้องการจะบวช ท่านพระมหินเถระ กล่าวว่า อาตมา ไม่สามารถจะบวชให้ได้ เพราะ ต้องถึงพร้อมด้วยสงฆ์สองฝ่าย คือ มีพระิกิกษุณีด้วย จึงจะบวชให้ได้ แต่น้องสาวของอาตมา ชื่อ พระนางสังฆมิตตา สามารถบวชให้ได้ จึงได้เชิญพระนางสังฆมิตตา และ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ มาจากอินเดีย และ พระนางสังฆมิตตาก็ได้บวชพระนางอนุฬาเทวี และ บริวารหนึ่งพันผู้เป็นสตรีและท่านเหล่า นั้นก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ต่อมา พระพุทธศาสนาก็เสื่อมลงจากประเทศศรีลังกา แม้แต่ฝ่ายพระภิกษุก็เสื่อม ไม่ต้องกล่าวถึงพระภิกษุณี เพราะฉะนั้น พระภิกษุณีจึงหมดไปจากประเทศศรีลังกา เพราะการบวชได้ยาก เมื่อขาดพระภิกษุณีแล้ว ก็ไม่สามารถบวชพระภิกษุณีได้อีกครับ
ซึ่งในความยากในการบวชพระภิกษุณีนั้น แม้ตัวพระภิกษุณีผู้เป็นอุปัชฌาย์ จะบวช สตรีอื่นตามความพอใจไม่ได้ คือ หนึ่งปีบวชได้ ๑ รูปเท่านั้น สำหรับสตรีที่จะไป ขอบวช ต้องเป็นนางสิกขมานา รักษาศีล ๖ ข้อ ไม่ขาดเลย ๒ ปี จึงจะบวชเป็น พระภิกษุณีได้ และมีพระวินัยอื่นๆ ที่ทำให้ภิกษุณีอยู่ลำบาก
ดังนั้น ปัจจุบัน จึงไม่มีภิกษุณี เพราะ จะเป็นพระภิกษุจะต้องได้รับการบวชจากสงฆ์ สองฝ่าย เมื่อเป็นดังนั้น แม้จะกล่าวอ้าง หรือ แต่งชุดเป็นภิกษุณีก็ไม่ใช่ภิกษุณี หรือ แม้จะถือศีลตามภิกษุณี ก็ไม่ใช่ภิกษุณีอีกเช่นกัน ก็เป็นเพียงคฤหัสถ์ ที่ถือศีลเพิ่มขึ้น เท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะบวชที่ต่างประเทศ หรือที่ไหนก็ตามในโลก ก็ไม่ใช่ภิกษุณีตามที่ กล่าวมา ครับ
การบรรลุธรรมจึงไม่ใช่อยู่ที่เพียงเพศบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ แต่สำคัญที่ ปัญญา ความเข้าใจถูก คฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุธรรมได้ เพียงแต่มีการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ ประเสริฐ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สตรีไทยปัจจุบัน ไม่สามารถบวชเป็นสามเณรี และ ไม่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้ แม้จะไปบวช ณ ประเทศอื่น ที่เข้าใจว่ามีภิกษุณี ก็ไม่เป็นภิกษุณี การบวชนั้น ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย เพราะการบวชเป็นภิกษุณี ต้องบวชจากสงฆ์สองฝ่าย คือ ฝ่ายที่เป็นพระภิกษุ และ ฝ่ายที่เป็นภิกษุณี เมื่อไม่มีภิกษุณีแล้ว ก็เป็นอันบวชไม่ได้ แม้ในยุคนี้สมัยนี้ จะมีผู้หญิงบวช นั่นก็ไม่ใช่ภิกษุณี ไม่ใช่บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้มีโอกาสสนทนาธรรม กับผู้ที่ เป็นผู้หญิงนุ่งห่มผ้าเหลือง โดยที่ท่านอาจารย์ขออนุญาตไม่เรียกว่าภิกษุณี เพราะยุค นี้สมัยนี้ ไม่มีภิกษุณีแล้ว
และเป็นที่น่าพิจารณาว่า การเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญา ไม่ได้จำกัดว่าจะ ต้องบวชเท่านั้นถึงจะเจริญได้ แม้ไม่ได้บวช ก็สามาถเจริญได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่ กับว่าผู้นั้นจะเห็นประโยชน์ของกุศลและการได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริง ในขณะนี้ มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลในเพศ คฤหัสถ์ก็มีมากทีเดียว เป็นเรื่องการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง ในเมื่อเป็น เป็นผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ก็ควรที่ จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ แม้จะไม่บวชเป็นบรรพชิต ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ภิกษุในปัจจุบันไม่มีแล้ว เพราะไม่สามารถประพฤติธรรมโดยละเอียดได้ และ ไม่มี ผู้บวชให้ที่เป็นสงฆ์สองฝ่าย ค่ะ
แล้วถ้าพระอรหันต์บวชให้ จะบวชได้ไหม
ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมครับ
เข้าใจว่าภิกษุณีมีอยู่ถึงเพียง ๕๐๐ ปีหลังจากที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่มั๊ยครับ และจากประวัติที่อาจารย์ผเดิมได้กรุณาอธิบาย แสดงว่าประเทศศรีลังกาเป็นประเทศสุดท้ายที่มีพระภิกษุณีอยู่ใช่มั๊ยครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอเรียนถามเพิ่มอีกนิดครับ
มีการกล่าวอ้างว่าการบวชภิกษุณีนั้นมีการสืบต่อจากประเทศศรีลังกาไปยังประเทศไต้หวันมาจนถึงยุคปัจจุบัน ไม่ทราบว่ามีหลักฐานเช่นนี้อยู่จริงหรือไม่ครับ
กราบอนุโมทนาครับ
เรียน ความเห็นที่ 4 ครับ
แม้พระอรหันต์จะบวชให้ แต่ถ้าไม่ได้บวชจาก ภิกษุสงฆ์สองฝ่าย ทั้งภิกษุ และ ภิกษุณี ก็ไม่ชื่อว่าบวชภิกษุณีสำเร็จ ดังนั้นการบวชโดยพระอรหันต์ไม่ใช่หมายความว่า จะสำเร็จในการบวชเป็นภิกษุณีได้ ครับ
เรียน ความเห็นที่ 5 และ 6
ตามหลักฐานที่อ่านก็มีถึงที่ประเทศศรีลังกา แต่ หลังจากนั้น ไม่ทราบแน่ใจว่า เสื่อมที่ประเทศใด แต่ ที่น่าพิจารณา คือ ที่ประเทศศรีลังกา ยังจะต้องเชิญ พระสังฆมิตตา มาจากอินเดีย แต่ การประกาศพระศาสนาไปประเทศต่างๆ ที่ พระเจ้าอโศกส่งไป ไม่ได้ส่งพระภิกษุณีไปด้วย แต่ ส่งพระภิกษุไป ซึ่ง การจะบวชภิกษุณีสำเร็จจะต้องด้วยสงฆ์สองฝ่าย แต่อย่างไรก็ดี เป็นไปไม่ได้ ที่จะมีภิกษุณีจนถึงยุคปัจจุบัน ครับ
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ