กระผมมีเรื่องของคนไม่มี "เรา" มาเล่าให้ฟัง 2 เรื่อง ดังนี้ครับ
เรื่องที่ 1 (อ่านจากคัมภีร์) ครอบครัวหนึ่ง มีพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ และ
สาวใช้ วันหนึ่ง พ่อกับลูกชายไปไถนา ลูกชายถูกงูกัดตาย ทุกคนในบ้านไปช่วยกันเผา
ศพ มีคนผ่านมาถามว่า เผาอะไรกัน ก็ตอบว่า พวกเราเผาลูกชายของฉัน พี่ชายของฉัน
สามีของฉัน นายของฉัน แต่ไม่มีใครร้องไห้ ไม่มีใครหวั่นไหว เพราะทุกคนเจริญมรณ
สติในชีวิตจริง - จบเรื่องที่ 1
เรื่องที่ 2 (ฟังเขาเล่ามา) ผู้สอนธรรมะท่านหนึ่งไปบรรยายธรรม ท่านจะย้ำเสมอ
ว่า พูดว่า "เรา" ไม่ได้ เพราะ "เรา" ไม่มี ใครเผลอพูดว่า "เรา" ทีไร ท่านจะเบรกทันที -
เราอีกแล้ว มีแต่สภาพธรรมเกิดขึ้นชั่วขณะจิตหนึ่งแล้วก็ดับไปหมดแล้ว มีเราได้อย่างไร
- วันหนึ่งท่านบรรยายเสร็จก็ออกจากห้องจะไปขึ้นรถ ปรากฏว่ารองเท้าของท่านหาย
ท่านหน้านิ่ว ถามเสียงเครียดว่า ใครเอารองเท้าฉันไป - จบเรื่องที่ 2
ขอความกรุณาท่านผู้รู้ชี้แนะแนวคิดทางธรรมที่ได้จากเรื่องทั้งสองนี้ พอเป็นแนว
ทางแห่งการศึกษาและสัมมาปฏิบัติสืบไป - ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เรื่องที่ 1 (อ่านจากคัมภีร์) ครอบครัวหนึ่ง มีพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ และ
สาวใช้ วันหนึ่ง พ่อกับลูกชายไปไถนา ลูกชายถูกงูกัดตาย ทุกคนในบ้านไปช่วยกันเผา
ศพ มีคนผ่านมาถามว่า เผาอะไรกัน ก็ตอบว่า พวกเราเผาลูกชายของฉัน พี่ชายของฉัน
สามีของฉัน นายของฉัน แต่ไม่มีใครร้องไห้ ไม่มีใครหวั่นไหว เพราะทุกคนเจริญมรณ
สติในชีวิตจริง - จบเรื่องที่ 1
-------------------------------------------------------------
จากเรื่องที่ 1 แสดงให้เห็นว่า ขณะที่เศร้าโศกคือขณะที่เป็นอกุศล ขณะที่ไม่เศร้า
โศก ไม่เสียใจด้วยปัญญา ด้วความเห็นถูก มีการพิจารณาถึงความตายว่าเป็นธรรมดา
เป็นกุศล ดังนั้นในเรื่องที่หนึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้คำว่าเรา ไม่ได้หมายความขณะนั้น
จะต้องมีความเห็นผิด ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล มีเราในขณะนั้นครับ ซึ่งขณะที่เกิด
ความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ที่เป็นทิฏฐิเจตสิก คือ ขณะที่มีความเห็นว่ามีสัตว์
บุคคลจริงๆ เช่น ถามบุคคลหนึ่งว่ามีสัตว์ บุคคลจริงๆ ไหม ผู้นั้นตอบหรือคิดในใจว่า มี
สัตว์ บุคคลจริงๆ ขณะนั้นมีความเห็นเกิดขึ้นแล้ว เ ห็นผิดจากความเป็นจริง แต่ขณะที่
พูดว่าเรา พูดว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีความเห็นผิด เพราะขณะนั้นไมได้มีความเห็นขึ้นมา
ว่ามีสัตวื บุคคลจริงๆ ครับ
โดยนัยเดียวกัน แม้การที่บุคคลเห็นเป็นสัตว์ บุคคลในขณะนี้ ก็ไมได้หมายความว่า
เมือเห็นเป็นสัตว์ บุคคลแล้วจะต้องมีความเห็นผิดครับ เพราะขณะนั้นไมได้มีความเห็น
ขึ้นมาว่ามีสัตว์ บุคคลจริงๆ แม้พระโสดาบันก็เห็นเป็นสัตว์ บุคคล พระพุทธเจ้าก็เห็น
เป็นพระอานนท์แต่ไม่ได้มีความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคลครับ และโดยนัยในเรื่องนี้ใน
เรื่องที่หนึ่ง ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นไม่มีความเห็นผิดที่เป็นทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย
เลย ดังนั้นขณะที่เป็นกุศลที่เป็นมรณสติไม่ได้มีความเห็นผิดว่ามเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ
ครับ แม้จะกล่าวว่าเรา ว่าเขา ว่าฉัน แต่ถ้าขณะนั้นไม่ได้มีความเห็น ขึ้นมาว่ามีสัตว์
บุคคลจริงๆ ก็ไม่ใช่ความเห็นผิดว่ามีเราครับ
เรื่องที่ 2 (ฟังเขาเล่ามา) ผู้สอนธรรมะท่านหนึ่งไปบรรยายธรรม ท่านจะย้ำเสมอ
ว่า พูดว่า "เรา" ไม่ได้ เพราะ "เรา" ไม่มี ใครเผลอพูดว่า "เรา" ทีไร ท่านจะเบรกทันที -
เราอีกแล้ว มีแต่สภาพธรรมเกิดขึ้นชั่วขณะจิตหนึ่งแล้วก็ดับไปหมดแล้ว มีเราได้อย่างไร
- วันหนึ่งท่านบรรยายเสร็จก็ออกจากห้องจะไปขึ้นรถ ปรากฏว่ารองเท้าของท่านหาย
ท่านหน้านิ่ว ถามเสียงเครียดว่า ใครเอารองเท้าฉันไป - จบเรื่องที่ 2
---------------------------------------------------------------------------
จากเรื่องที่ 2 แสดงให้เห็นเรื่องของการใช้ภาษาทางโลก เช่น คำว่าเรา เขา เป็นต้น
พระธรรมของพระพุทะเจ้าแสดงตามควาเมป็นจริง ที่เป็นสัจจะคือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์
บุคคล มีแต่ธรรม อันนี้เป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้เล ย แต่พระธรรมของพระ
พุทธเจ้าทรงแสดงสัจจะ 2 ประการคือ ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงว่ามีแต่ธรรม ไม่มีเรา
มีแต่ ขันธ์ นามธรรมและรูปธรรม และสมมติสัจจะ คือคำสมมติทางโลก เช่น คำว่าเรา
พระราชา เป็นต้น พระพุทธเจ้าและผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรมย่อมเป็นผู้ไม่ละสัจจะที่ 2
คือ สมมติสัจจะ คือ สมมติโวหารที่ชาวโลกพูดกันที่จะทำให้สื่อให้เข้าใจกันในเรื่อง
ต่างๆ หากว่าพระองค์ ตรัสแต่สภาพธรรม ก็ย่อมทำให้หมู่มหาชนสงสัย ไม่เข้าใจ เช่น
กล่าวว่า ขันธ์ให้ทาน ขันธ์รักษาศีล ขันธ์กระทำกรรมชั่ว ผู้คนก็สงสัยและไม่เข้าใจใน
พระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดง แต่พระองค์ทรงฉลาดในโวหารทางโลก ย่อมไม่
ทิ้งคำสมมติแต่อาศัยสมมติที่ชาวโลกใช้กันอยู่ แสดงพระธรรมเพื่อให้สัตว์โลกให้เข้าใจ
ปรมัตถสัจจะ คือความจริงในขณะนี้ ด้วยสมมติสัจจะก็ได้ครับ ดังนั้นพระองค์จะไม่ทิ้ง
สมมติทางโลก เช่น คำว่าเรา เขาครับ
ดังนั้นการใช้คำว่าเรา เขา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีความเห็นผิดว่ามีเรา มี
สัตว์ บุคคลจริงๆ เพราะขณะนั้นไมได้มีความเห็น ว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลในขณะนั้นครับ
ดังข้อความที่อธิบายแล้วในเรื่องที่ 1 แม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ตรัสว่า เราตถาคต
แต่พระองค์ไมได้มีความเห็นผิดเลยว่าเรา มีสัตว์ุบคคลครับ ดังนั้นพูดโดยสมมติทาง
โลก โดยมีความเข้าใจถูกว่าไม่มีเราก็ได้ครับ ซึ่งในตัวอย่างพระไตรปิฎกก็มีเรื่องของ
พระอรหันต์ท่านพูดว่า เรานั่ง เรายืน เราทำอย่างนั้น เราทำอย่างนี้ เทวดาได้ฟังพระ
อรหันต์ท่านพูดอย่างนั้นจึงสำคัญว่า ที่ท่านพูดว่าเรานั้น ยังมีความสำคัญผิดว่ามีเรา
จริงๆ หรือไม่ ซึ่งพระอรหันต์ท่านก็ตอบว่า ท่านไม่ได้ยึดถือว่ามีเรา แต่ท่านธิบายว่า แม้
จะพูดว่าเรา แต่ก็ไมได้มีความยึดถือเพราะท่านฉลาดในโวหารของชาวโลก จึงกล่าว
ตามที่ชาวโลกสมมติกันครับ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในการพูดคำว่าเราได้ครับในเรื่องนี้
ส่วนเรื่องที่ 2 ที่ผู้ตั้งกระทุ้ยกมาที่ว่า อาจารย์โกรธพูดว่า ถามเสียงเครียดว่า ใครเอา
รองเท้าฉันไป อาจารย์ในขณะนั้นก็ไมได้มีคามเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคลเช่นกัน
เพราะขณะนั้นเป็นโทสมูลจิต ซึ่งทิฏฐิ ความเห็นผิดจะไม่เกิดร่วมกับโทสมูลจิตเลย
ครับ เชิญอ่านข้อความในพระไตรปิฎกครับ
เรื่อง เทวดาสำคัญผิดว่าเมื่อใช้คำว่าเรา ต้องมีความเห็นผิดพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 135
๕. อรหันตสูตร
[๖๔] ท. (เทวดา) ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส มี
กิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้
ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ภิกษุนั้น
พึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคลทั้งหลาย
อื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง.
[๖๕] ภ. (พระอรหันต์) ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส มี
กิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้
ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ภิกษุนั้น
พึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บาง บุคคลทั้งหลาย
อื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง ภิกษุนั้นฉลาด
ทราบคำพูดในโลก พึงกล่าวตามสมมติ
ที่พูดกัน. อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ
จากความคิดเห็นที่กรุณาตอบให้ กระผมสรุปได้ว่า
เรื่องที่ 1 เป็นการใช้คำพูดว่า เรา. ของเรา ไปตามโลกโวหาร แต่ไม่มีความเห็น
ผิดว่า มีเรา มีตัวเรา ของเรา
เรื่องที่ 2 เป็นการใช้คำว่า เรา ในแง่ปรมัตถ์เพือเตือนสติผู้ฟังว่า อย่ายึดถือว่ามี
เรา เราเป็น เป็นของเรา โดยที่สุดแม้ในขณะที่กำลังใช้คำว่า เรา ไปตามโลกโวหารนั่น
เอง
อ่านความคิดเห็นแล้ว กระผมยังไม่กล้า Oh I see ! เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจ
ถูกต้องหรือเปล่า จึงต้องสรุปความเข้าใจให้ท่านผู้รู้ฟังก่อน ถ้าที่สรุปมานี้ถูกต้อง กระผม
ก็สว่างกระจ่างใจละครับ
ขอขอบพระคุณที่กรุณาให้หลักคิดที่ดีที่ถูกต้องเสมอมาครับ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
เข้าใจถูกต้องแล้วครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น คน หรือ สัตว์ไม่มี เรา ไม่มี มีแต่ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่เกิดเป็นไปตามเหตุปัจจัย อย่างขณะนี้ทุกๆ ขณะของชีวิตเราในชาตินี้ ก็เป็นเพียงขันธ์ ๕ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น เห็นขณะหนึ่ง มีขันธ์ ๕ เกิดขึ้นครบ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปขันธ์ ตาที่กำลังมีอยู่ในขณะนั้นซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเห็น ก็เป็นรูปขันธ์ จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) เป็นวิญญาณขันธ์ สัญญาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตเห็น เป็นสัญญาขันธ์ เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตเห็น เป็นเวทนาขันธ์ เจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับจิตเห็น คือ ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรียเจตสิก และ มนสิการ-เจตสิก เป็นสังขารขันธ์ หาความเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่ได้ แต่เพราะมีการเกิดขึันเป็นไปของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ (นามธรรมกับ รูปธรรม) จึงมีการสมมติว่าเป็นคนนั้น คนนี้ บุคคลนั้น บุคคลนี้ เป็นเรา เป็นเขา แท้ที่จริงแล้ว มีแต่ธรรมเท่านั้น ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
(ขอเสนอให้บันทึก สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ไว้ในข้อความสั้นด้วยครับ)
สิ่งที่มีจริง มี 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล
ตัวตน ที่เรียกคนนั้น คนนี้ เป็นสมมติบัญญัติ เป็นเรื่องราวที่ไม่มีจริง และ
ถ้าไม่มีธรรมะ ก็จะไม่มีการสมมติว่าเป็นคนนั้น คนนี้ ฯลฯ ค่ะ