ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
วันอาทิตย์ที่ 28 เม.ย.2556 ผมได้จดบันทึกข้อความจากชั่วโมงปฏิบัติธรรมและก็ขอโอกาสในการแบ่งปัน เป็นเนื้อความสรุปย่อ ตามกำลังความเข้าใจครับ
-จะพิจารณา หรือ เข้าใจ สิ่งที่ฟัง?
-แม้ "พิจารณา" ก็ไม่ใช่เราแต่มีสภาพธรรมแล้ว ฟังแล้วเข้าใจขึ้น คือ มีเสียง รู้คำ เข้าใจความหมายของเสียงที่ได้ยิน และก็มีสภาพธรรมเกิดขึ้น สืบต่อ จนกว่าที่จะเข้าใจมีเห็น ๑ ได้ยิน ๑ คิด ๑ เข้าใจ ๑ เข้าใจถูกต้องขณะที่กำลังฟัง ก็เป็นธาตุรู้ทั้งหมด ที่ไม่ใช่เรา
-มีสิ่งที่ปรากฏ ฟังเข้าใจขึ้น ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ (กุศลธรรมที่พิจารณาถูกตรงตามความจริง เช่น รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นความจริง ทุกอย่าง คือธรรม เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่คิดนึกเป็นเรื่องราวด้วยอกุศล หรือหลักวิชาการ)
-ธาตุรู้เกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏทีละ ๑ ไม่ใช่ ๒ มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธาตุรู้ไม่ใช่เรา เช่น มีธาตุเห็นที่กำลังรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างหนึ่งจริง และมีจริงขณะที่เห็นเกิดขึ้น
-ฟังในสิ่งที่มีจริง และการเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น คือการฟังโดยมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ว่าจะทรงกล่าวโดยนัยทุกข์ อนิจจัง ธาตุ อริยสัจจ์ ๔ หรืออื่นๆ ก็ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจความจริงสิ่งที่มี ในขณะนี้ ให้เข้าใจละเอียดถูกต้องยิ่งขึ้น
-การฟังว่า "เห็น" เกิดดับมีจริง ก็เพื่อละคลายความติดข้อง ไม่ใช่ยึดถือว่าเป็น เรา เข้าใจถูกตามความเป็นจริง
-อกุศลทั้งหลาย ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เลย เช่น โลภะติดข้องเพราะไม่รู้ความจริง โทสะขุ่นเคือง เพราะไม่รู้ความจริง
-ผู้ตรง ฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เช่น มีแข็งปรากฏขณะนี้สภาพรู้แข็งก็ต้องมี จึงมีแข็งปรากฏ และแม้แข็งก็ต่างกัน โดยเป็นอ่อนนุ่มก็ได้ ซึ่งไม่ใช่หวาน/เค็ม เป็นแต่ละลักษณะ ที่กายตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ก็มีความจริง และสิ่งนั้นเกิด ปรากฏ ดับไป อาศัยการฟัง จนกระทั่งเข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง ณ ขณะนี้
-การเข้าใจธรรม ไม่ใช่ว่าต้องหา แต่มีสิ่งที่ปรากฏ เข้าใจขณะนี้หรือไม่?
-"อนัตตา" เป็นความจริงขณะนี้ ฟังจนมีความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
-"รูปธาตุ" เป็นธาตุที่ไม่สามารถรู้อะไรได้ เกิดแล้วดับไป แต่ก็มีธรรมที่อุปการะให้เกิดขึ้น จิตเห็นเกิด โดยมีจักขุปสาทรูปที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ขณะที่จักขุปสาทรูปนั้นยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้ "จิตเห็น" เกิดขึ้น (ทรงแสดงว่าเป็นจิต มนัส มโน ก็แสดงว่าเป็น ธรรมที่เห็นไม่ได้)
-"เห็น" ก็คือ ธรรมที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ (ทางตา) ขณะนี้ ซึ่งไม่ใช่เจตสิกส่วนความติดข้อง พอใจ ความขุ่นเคือง ในสิ่งที่เห็น ก็ไม่ใช่จิต (เป็นเจตสิก) และวันหนึ่งๆ ก็ไม่มีใคร และยับยั้งการเกิดขึ้นดับไป ของจิต และ เจตสิกไม่ได้
-รู้ความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่เราขณะนี้หรือไม่ ไม่ใช่เราที่พยายาม แต่เป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นทีละน้อย
-มีใครทราบว่ามีเจตสิก เกิดขึ้นพร้อมกัน ๗ ประเภท ขณะที่ได้กลิ่น ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่ทราบ แต่ขณะที่ฟังก็เข้าใจขึ้น คือการสะสมไป เป็นประโยชน์ที่ไม่สูญหาย
-ทางอื่นไม่มี มีแต่ทางเดียว คือการฟัง รู้ เข้าใจเพิ่มขึ้น ไตร่ตรองความจริงได้ยินสิ่งที่ได้ฟัง มั่นคงเข้าใจว่าเป็นความจริง
-"สุขเวทนา เป็นสุข เพราะดำรงค์อยู่ เป็นทุกข์ เพราะแปรปรวน ทุกขเวทนา เป็นทุกข์ เพราะดำรงค์อยู่ เป็นสุข เพราะแปรปรวน อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุข เพราะรู้ เป็นทุกข์ เพราะไม่รู้" เวลาที่ร้อนไม่ชอบ เพราะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ถ้ารู้สึกเฉยๆ ก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าไม่รู้ความจริง ก็เดือดร้อนใจ เพราะต้องการเป็นสุข
-เพราะไม่รู้จึงติดข้องพอใจ ทั้งยังแสวงหา ทั้งยังแสวงหาในทางทุจริตเพราะไม่รู้
-ประโยชน์จากการเข้าใจ คือ ความมั่นคง (ว่าเป็นธรรม) แต่ถ้าเป็น "เราเข้าใจขึ้นไหม?" นั่นก็คือ เครื่องกั้น (คือ โลภะ) มาแล้ว
-ถ้าเห็นผิด ประพฤติผิด กล่าวคำผิด ทั้งคนที่ฟังก็เชื่อตามคำผิดก็เป็นการหันหลังจากพระสัทธรรม และชีวิตก็เป็นโทษอย่างยิ่ง
-การฟังธรรม เพื่อชำระล้าง ขัดเกลาจิตที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะถ้ามีกิเลส กิเลสสะสมมากๆ กิเลสรู้ธรรมไม่ได้ โลภะ โทสะ มานะ ริษยา ที่มีมากมายทั้งยังเพิ่มขึ้น จิต (ทั้งเจตสิก) เหล่านี้รู้ธรรมไม่ได้ (ไม่ใช่กุศลธรรมที่รู้ลักษณะธรรมได้) แต่เมื่อฟังความจริง ละความไม่รู้ ติดข้องยึดถือว่าเป็นเรา ขณะที่เข้าใจถูก อกุศลเริ่มเบาบาง เข้าใจอีกนิด กระทั่งเป็นจิตที่ผ่องแผ้ว โดยที่ไม่หวังใดๆ แต่เข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะสะอาดขึ้น สามารถรู้ความจริง โดยการฟังเข้าใจได้
-ถ้าฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ก็ให้ทราบว่า เพราะอกุศลมืดมิดดำสนิท ทั้งยังมีความหวังที่กั้น เพราะเราต้องการรู้เพิ่มขึ้น เพื่อความเป็นเรามีมายาที่แสร้งตน "ทั้งที่ไม่เป็นเช่นนั้น ก็แสร้งทำว่าเป็นเช่นนั้น" ดังเช่น สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ผู้แม้เดินตามหลังพระศาสดา ผู้ได้จักขุทิพย์ เห็นหมู่เทวดา ยังสนใจว่าสนทนาเรื่องอะไร (เห็นการสะสมมา ที่แต่ละหนึ่งจะมีความสนใจที่ต่างกัน) จึงทูลขอทางได้โสตทิพย์ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าภิกษุไม่ได้สะสมมาที่จะได้โสตทิพย์ ก็ไม่ได้ตรัสบอก ภิกษุก็โกรธและกล่าวติเตียนว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรมตามความคิดไตร่ตรอง... (ซึ่งเป็นการกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้าพร้อมมายาก็ยังกล่าวเติมอีกว่า) ถึงอย่างนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ก็ยังสามารถทำให้บุคคลอื่นพ้นทุกข์ได้ (เติมเพื่อไม่ให้ตนเองถูกกล่าวติเตียนเพราะอกุศล ที่คดเคี้ยว) "
-เวลาที่พูดถึงคนอื่น มีความไม่ดีของคนอื่นมากมาย แต่ไม่ได้ทราบว่าใจที่คิดถึงคนอื่นด้วยความไม่ดี เป็นอะไร? (อกุศล) แม้กระทั่งห่วงคนอื่นว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะนั้นจิตเป็นอะไร?
-ไม่เพียงแต่ฟังแล้วผ่าน แต่ชำระจิตด้วยการฟังแล้วเข้าใจธรรมอบรมกระทั่งจิตสะอาด พร้อมที่จะได้ฟัง และก็เข้าใจถูกในธรรมที่เป็นจริงในขณะนั้น
ขออนุโมทนาท่านอาจารย์ อาจารย์วิทยากร และผู้ร่วมสนทนาในการสนทนาชั่วโมงปฏิบัติธรรม ครั้งนั้นด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
"สุขเวทนา เป็นสุข เพราะดำรงค์อยู่ เป็นทุกข์ เพราะแปรปรวน
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์ เพราะดำรงค์อยู่ เป็นสุข เพราะแปรปรวน
อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุข เพราะรู้ เป็นทุกข์ เพราะไม่รู้"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ถ้าเห็นผิด ประพฤติผิด กล่าวคำผิด ทั้งคนที่ฟังก็เชื่อตามคำผิด ก็เป็นการหันหลังจากพระสัทธรรม และชีวิตก็เป็นโทษอย่างยิ่ง
-การฟังธรรม เพื่อชำระล้าง ขัดเกลาจิตที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะถ้ามีกิเลส กิเลสสะสมมากๆ กิเลสรู้ธรรมไม่ได้
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณ wittawat ด้วยครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ