สมัยนี้มีคนที่อ้างอิงพระพุทธพจน์ เชื่อในพระพุทธพจน์ แต่ไม่สนใจพระอรรถกถา ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรครับ เพราะบางทีพระพุทธพจน์กล่าวเพียงสั้นๆ เราซึ่งมีปัญญาน้อยอาจเข้าใจพระพุทธพจน์คลาดเคลื่อนตามความเข้าใจของเรา เราควรศึกษาคำพระอรรถกถาด้วยใช่ไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริง อรรถกถา ก็เป็นพระธรรมของพระพุทธเจ้านั่นเองครับ เพียงแต่ว่ากล่าวโดยพระสาวก เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับรองคำนั้น ก็ชื่อว่า เป็นพระพุทธพจน์แล้ว
ดังนั้น อรรถกถาที่อธิบายเพิ่มเติม ก็เป็นคำที่สาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ได้แต่งขึ้นใหม่ ดังพระสูตรที่อ้างถึง ที่มีคำว่า นักกวีแต่งขึ้นใหม่ แต่อรรถกถาเป็นการอธิบายพระธรรม ตามแนวของพระพุทธเจ้า คือ ตามพระบาลี ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อยู่แล้ว ไม่ได้แต่งให้นอกเหนือจากคำสอนของพระองค์ แต่ที่พระสาวกผู้มีปัญญา ได้อธิบายเป็นอรรถกถา ก็เพื่อความละเอียด เพื่อความเข้าใจของสาธุชนรุ่นหลัง ให้เข้าใจได้ถูกต้องไม่เผิน ในพระพุทธพจน์ที่ลึกซึ้งสุดประมาณ ยากต่อการเข้าใจกับหมู่สัตว์ผู้มากไปด้วยความไม่รู้ ครับ
ดังนั้น การจะปฏิเสธ ถ้อยคำของใคร ผู้ใด นั้น ก็จะต้องศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดให้เข้าใจถูกต้อง และเมื่อเข้าใจพระธรรมแล้ว เมื่อได้ยินคำใดจากผู้ใดก็ย่อมรู้ถึงคำนั้น คือ ไม่ได้ติดที่พยัญชนะ ว่าจะต้องตรงตามพระไตรปิฎก จึงจะเป็นพระพุทธพจน์ แต่ถ้อยคำนั้น สื่อความหมาย เป็นไปแนวทางเดียวกับพระธรรมหรือไม่ เมื่อความหมายอรรถเป็นไปแนวทางเดียวกัน คำนั้น ก็ชื่อว่า คล้อยตามพระพุทธพจน์ เป็นพระดำรัสของพระพุทธเจ้าด้วย เพราะว่า อาศัย พระพุทธพจน์ ที่ได้ศึกษาเข้าใจ มาอธิบายเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจละเอียดเพิ่มขึ้น ครับ
อรรถกถา ก็เช่นกันที่ แต่งขึ้นโดยพระสาวกผู้มีปัญญา ท่านเหล่านั้นก็ยึดหลักพระธรรมของพระพุทธเจ้าเพราะท่านได้ศึกษาเข้าใจแล้ว จึงอธิบายพระพุทธพจน์เพิ่มเติมให้มีความเข้าใจพระธรรมละเอียดเพิ่มขึ้น และที่สำคัญ พระสาวกทั้งหลาย หากได้อ่านรายละเอียด ท่านจะกล่าวเสมอว่า ท่านได้อธิบายแต่งอรรถกถาเพิ่มเติมโดยยึดแนวหลัก คือ พระพุทธพจน์เดิม ไม่ได้แต่งนอกเหนือไปจากนี้ และเมื่อพระสาวกกล่าวธรรมแล้ว มีคนเลื่อมใสและผู้นั้นถามพระสาวกว่า คำนี้เป็นคำของท่านหรือไม่ ท่านก็กล่าวว่า ไม่ใช่คำของท่าน แต่เป็นคำของพระพุทธเจ้านี่ก็แสดงถึง คำที่กล่าว แม้สาวกกล่าว ก็กล่าวมาจากความเข้าใจของตนเอง ที่ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ท่านพระอรรกถาจารย์ มีพระสาวกรุ่นหลังก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้น พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งสุดประมาณ หากมีผู้ที่มีปัญญามาก มีพระอริยสาวก ที่อธิบายพระธรรมให้เข้าใจขึ้น ก็ควรศึกษาเพิ่มเติม คือ ควรอ่าน ศึกษาจากพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ในการเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ดังเช่น มงคลข้อแรกๆ คือ การคบกัลยาณมิตร ย่อมได้คุณวิเศษ มีการได้ความเข้าใจพระธรรมและได้บรรลุธรรม คิดเอง กับ อาศัยผู้อื่นอธิบายที่มีปัญญา มีความเข้าใจ อย่างไหนประเสริฐกว่ากัน ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ
กราบขอบพระคุณท่านเจ้าของกระทู้เป็นอย่างมากครับ ที่ทำให้ผมได้อ่านคำตอบ ที่ยังให้สติ ปัญญาความเข้าใจถูกและรู้ถูกเกิดขึ้นเป็นอย่างมากครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การตั้งใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบและตั้งจิตไว้ชอบในการศึกษา ว่า ศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้จากการที่พระอริยสาวกทั้งหลายเห็นประโยชน์ของพระธรรมช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยให้คงอยู่อันจะเป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษาอย่างแท้จริง นั้น เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด กล่าวได้ว่า พระไตรปิฎกและอรรถกถา เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกทั้งหมด
สำคัญอยู่ที่ว่าผู้นั้นจะศึกษาโดยละเอียดหรือไม่?
อรรถกถาส่วนหนึ่งมาจากปกิณณกเทศนาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และส่วนหนึ่งก็มาจากพระอรหันต์สาวกมีท่านพระสารีบุตรเป็นต้นท่านอธิบายไว้ เป็นการอธิบายพระบาลีคือพระพุทธพจน์ให้เข้าใจยิ่งขึ้น อันเป็นการอธิบายของพระอริยสาวกผู้ที่ประกอบด้วยปัญญา ที่ควรค่าแก่การศึกษาพิจารณาไตร่ตรองเป็นอย่างยิ่ง จึงสมควรที่จะได้ศึกษาทั้งพระพุทธพจน์ และคำที่อธิบายพระพุทธพจน์ ด้วยครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ยินดียิ่งครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ