ขอต่อไปถึงเรื่องของปลิโพธ ซึ่งคำว่า ปลิโพธ เป็นความห่วงใย เป็นความกังวล ผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส ก็ย่อมมีความกังวล ย่อมมีความห่วงใย เป็นของที่แน่นอนที่สุด ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เพราะเหตุว่าเรื่องของปลิโพธ มีกล่าวไว้โดยละเอียดใน วิสุทธิมรรค สมาธินิทเทส วิสุทธิมรรค มี ๓ ภาค คือ ศีลนิทเทส สมาธินิทเทส ปัญญานิทเทส ศีลนิทเทส ก็เป็นเรื่องของศีล รวบรวมไว้ทุกประการ สมาธินิทเทส ก็เป็นเรื่องของการทำจิตให้สงบ จนกระทั่งถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ส่วนเรื่องปัญญานิทเทส ก็เป็นเรื่องของการเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงสำหรับเรื่องปลิโพธมีในสมาธินิทเทส แต่ว่าก่อนอื่นขอให้ท่านเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อนว่า คำว่า ปลิโพธ นั้นเป็นความกังวล ไม่ใช่มีเฉพาะกับคฤหัสถ์ บรรพชิตก็มี ใครก็ตามที่ยังมีกิเลสอยู่ ย่อมมีความกังวล ย่อมมีความห่วงใยอยู่ ความห่วงใยก็เป็นลักษณะของกิเลส ลักษณะของโลภะ เมื่อยังมีโลภะอยู่ ความห่วงใยก็ต้องมี และปลิโพธนั้นจะมีละเอียดมากมายสักเท่าไร ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนก็ย่อมพิสูจน์ธรรมในชีวิตประจำวันได้ แต่ที่กล่าวไว้ใน วิสุทธิมรรค ในเรื่องของสมาธินิทเทส ก็ได้แสดงปลิโพธไว้ ๑๐ ประการ ก็คือ
๑. อาวาสปลิโพธ
๒. กุลปลิโพธ
๓. ลาภปลิโพธ
๔. คณปลิโพธ
๕. กัมมปลิโพธ
๖. อัทธานปลิโพธ
๗. ญาติปลิโพธ
๘. อาพาธปลิโพธ
๙. คันถปลิโพธ
๑๐. อิทธิปลิโพธ
เฉพาะประการที่ ๑๐ คือ อิทธิปลิโพธเป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนาได้ ส่วนปลิโพธ ๑ ถึง ๙ นั้น เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญความสงบ จนกระทั่งถึงอัปปนาสมาธิ แต่ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนาเลย ขอกล่าวถึงปลิโพธประการใหญ่ๆ ๑๐ ประการนี้
ประการที่ ๑ อาวาสปลิโพธ คือ ความกังวลในเรื่องที่อยู่ ฆราวาสมีหรือไม่มีคะ? มี ภิกษุมีหรือไม่มีคะ? มีเหมือนกัน มีทั้งฆราวาส มีทั้งภิกษุ แล้วจะเห็นได้ว่า ปลิโพธประการใหญ่ๆ ๑๐ ประการนี้ แสดงไว้โดยนัยที่เป็นปลิโพธของภิกษุ ฆราวาสก็มีมาก แต่ว่าลักษณะอาจจะต่างกัน
ประการที่ ๒ กุลปลิโพธ สำหรับพระภิกษุก็หมายความถึง ความกังวล ความห่วงใยในตระกูลอุปัฏฐาก ละอาคารบ้านเรือนแล้วก็ยังมี เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจว่า ท่านมีปลิโพธ จึงเจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นไม่ถูกเลย เพราะเป็นเพียงเครื่องกั้นในการเจริญความสงบหรือสมาธิเท่านั้น
ประการที่ ๓ ลาภปลิโพธ ได้แก่ ความห่วงใย ความกังวลในเรื่องของลาภ ถ้าสำหรับฝ่ายพระภิกษุ ก็ในเรื่องของพวกปัจจัยที่ได้รับ และก็มีความกังวลในการรับและในการอนุโมทนา เป็นต้น
ประการที่ ๔ คณปลิโพธ คือ ความเป็นห่วง ความกังวลหมู่คณะ ถึงแม้ว่าจะเป็นพระภิกษุก็มีกิจ คือ การอบรมภิกษุ หรือผู้ที่เป็นสัทธิวิหาริก อันนั้นก็เป็นกิจกังวลที่จะเป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสมาธิ แต่ไม่ใช่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนา
ประการที่ ๕ กัมมปลิโพธ ความกังวลในเรื่องการงาน สำหรับพระภิกษุ ไม่มีการงานอื่น แต่ก็ยังคงมีการงานในเพศของบรรพชิต คือ ในเรื่องของการก่อสร้าง เป็นต้น ท่านก็มีความกังวล มีความห่วงใยว่า สิ่งที่ทำนั้นเสร็จแล้วหรือยัง หรือว่ายังไม่ได้ทำ หรือว่าเสร็จแล้วดีหรือไม่ ต้องแก้ไขอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องความกังวลซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสมาธิ ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนา
ประการที่ ๖ อัทธานปลิโพธ ความห่วงหรือความกังวลในเรื่องเดินทางไกล นี่ก็เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสมาธิ ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนา
ประการที่ ๗ ญาติปลิโพธ มีความเป็นห่วงกังวลในเรื่องของญาติ บิดามารดา พี่น้องชายหญิง เป็นต้น สำหรับพระภิกษุนั้น ท่านก็มีอุปัชฌาย์อาจารย์ ซึ่งท่านก็มีความห่วงกังวล เพราะเหตุว่าท่านเหล่านั้นอาจจะป่วยไข้
ประการที่ ๘ อาพาธปลิโพธ คือ ความไม่สบาย ความมีโรคต่างๆ อันนี้ก็เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญความสงบ สมาธิ ให้ถึงขั้นอัปปนา แต่ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนา เวลาที่ไม่สบายก็มีความกังวล ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บธรรมดา เล็กๆ น้อยๆ ความกังวลก็น้อย แต่ถ้าเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรง ก็อาจทำให้มีความกังวลมาก แต่ความกังวลนั้นก็เป็นนามธรรม ไม่ขัดขวางการเจริญสติปัฏฐาน แต่ขัดขวางการเจริญสมาธิ
ประการที่ ๙ คันถปลิโพธ ความห่วงความกังวลในเรื่องการศึกษา การท่องจำ ซึ่งข้อนี้ก็เป็นเป็นเครื่องขัดขวางสมถภาวนา แต่ว่าไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนาเลย
ประการที่ ๑๐ อิทธิปลิโพธ ความห่วงความกังวลในการเจริญฤทธิ์
ประการที่ ๑๐ นี้ เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนาได้ แต่ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสมาธิ เพราะเหตุว่าในขณะที่ผู้หนึ่งผู้ใดกำลังมีความฝักใฝ่ต้องการที่จะเจริญฤทธิ์ต่างๆ เจริญอิทธิฤทธิ์ต้องอาศัยความสงบอย่างมาก ไม่ใช่เพียงประเดี๋ยวเดียว ต้องอาศัยการฝึกหัด ต้องอาศัยความชำนาญมากทีเดียว เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดมีการใฝ่ใจที่จะเจริญฤทธิ์ ในขณะนั้นย่อมไม่มีสติที่จะระลึกลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะเหตุว่าความต้องการ ความปรารถนาปิดบัง ไม่ทำให้สติเกิดขึ้นรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีความต้องการฤทธิ์ มีความใฝ่ใจ ความกังวลในเรื่องการเจริญฤทธิ์ ก็เป็นเครื่องขัดขวางไม่ให้สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ อันนี้ก็คงจะไม่มีความสงสัยเรื่องปลิโพธ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องความกังวลธรรมดาๆ ที่ทุกคนมี
ถาม ...
สุ. ดิฉันเรียนให้ทราบแล้วว่า ปลิโพธใหญ่ๆ ๑๐ ประการนั้น ๙ ประการต้น เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสมถภาวนา ไม่ให้จิตถึงขั้นอัปปนา ประการที่ ๑๐ ประการเดียว ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนาได้ แต่ว่าไม่ขัดขวางการเจริญสมถภาวนา เพราะเหตุว่าประการที่ ๑ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม มีใครบ้างที่ไม่กังวลเรื่องที่อยู่ บางคนก็กังวลมาก บางคนก็กังวลน้อย จะอยู่ที่ไหน จะนอนที่ไหน ก็ไม่ค่อยจะลำบาก แต่ว่าบางคนนั้นมีความห่วงความกังวลในเรื่องที่อยู่ทีเดียว ตัวอย่างที่แสดงไว้ใน วิสุทธิมรรค ในเรื่องอาวาสปลิโพธ ความกังวลในเรื่องที่อยู่ กล่าวไว้ว่า อาวาสปลิโพธนั้นไม่เป็นเครื่องกังวลสำหรับภิกษุทั่วไปทุกรูป บางรูปก็กังวล บางรูปก็ไม่กังวล แล้วท่านก็ยกเรื่องกุลบุตร ๒ นาย ออกจากอนุราธบุรี ไปบวชในวิหารถูปาราม รูปหนึ่งทำมาติกาทั้ง ๒ คือหัวข้อธรรมและวินัยให้คล่องแคล่ว มีพรรษาครบ ๕ ปาวารณาแล้วก็ไปสู่ปาจีนขัณฑราชี แล้วอยู่ในวิหารนั้นเป็นพระเถระ ระหว่างพรรษาที่ ๑ ถึงพรรษาที่ ๕ นั้น ก็เป็นพระนวกะ ระหว่างพรรษาที่ ๕ ถึงพรรษาที่ ๑๐ ก็เป็นมัชฌิมะ ตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป ก็เป็นพระเถระ
เพราะฉะนั้น ท่านก็อยู่ที่ปาจีนขัณฑราชีจนกระทั่งท่านเป็นพระเถระ แล้วก็คิดว่า ที่นั่นสมควรเป็นที่หลีกเร้น เมื่อท่านเห็นว่า ปาจีนขัณฑราชีเป็นที่ห่างไกล เป็นที่สงบ เป็นที่ควรหลีกเร้น ท่านก็คิดถึงสหายของท่านที่บวชพร้อมกัน ท่านก็ออกจากวิหารเดินทางไปสู่ถูปาราม พระภิกษุเถระซึ่งเป็นสหายของท่าน เมื่อเห็นท่านก็ลุกขึ้นรับบาตรจีวร และก็ทำวัตร คือ การต้อนรับ พระภิกษุผู้อาคันตุกะก็เข้าไปสู่ที่พัก คือ เข้าไปสู่เสนาสนะ แล้วก็คิดว่า บัดนี้สหายของเราจะส่งเนยใส หรือน้ำดื่มแก่เรา เพราะท่านอยู่ในเมืองนี้นาน แต่ว่าทั้งคืนนั้น ท่านก็ไม่ได้อะไร นี่เป็นความกังวลหรือเปล่า พระภิกษุรูปนี้ท่านไปจากถูปาราม ไปสู่ปาจีนขันธราคี ซึ่งเป็นที่สงบ ซึ่งท่านคิดว่า สมควรเป็นที่หลีกเร้น แต่ว่าทันทีที่ท่านมาที่ถูปารามเข้าไปสู่เสนาสนะ ท่านก็คิดว่า สหายของท่านจะส่งเนยใส จะส่งเครื่องดื่มมาให้ เพราะเหตุว่าท่านอยู่เมืองนี้นาน ท่านก็กังวลกับเรื่องเนยใสกับเครื่องดื่ม และตลอดทั้งคืนนั้นก็ไม่ได้อะไร ตอนเช้าท่านก็คิดว่า เพื่อนของท่านคงจะส่งข้าว ยาคู และของเคี้ยวซึ่งอุปัฏฐากส่งมาถวาย กังวลอีกหรือเปล่าคะนี่ ไม่หมด ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม อย่าคิดว่า ปลิโพธมีแต่ที่บ้านของท่านเท่านั้น เครื่องกังวล ความกังวล เป็นกิเลส อยู่ที่จิต ตัวท่านอยู่ที่ไหนก็ตาม ความกังวลไม่หมด เมื่อความกังวลไม่หมด ย่อมจะปรากฏในลักษณะอารมณ์ต่างๆ กัน ไม่ใช่หลีกเร้นไป แล้วจะหมดความกังวลได้
พอถึงตอนเช้าท่านก็คิดกังวลอีกว่า เพื่อนของท่านคงจะส่งข้าว ยาคู และของเคี้ยวซึ่งอุปัฏฐากส่งมาถวาย แต่ท่านก็ไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้รับอะไรเลย เพื่อนของท่านก็ไม่ได้ส่งอะไรมาให้เลย ท่านก็คิดว่า ชาวบ้านคงไม่ส่งของมาถวาย แต่คงจะถวายเมื่อไปบิณฑบาต ท่านก็ไปบิณฑบาตกับสหายของท่านแต่เช้าตรู่ ท่านเที่ยวไปตลอดถนน ก็ได้ข้าวยาคูประมาณถ้วยหนึ่งหรือกระบวยหนึ่ง แล้วท่านก็กลับไปที่โรงฉัน แล้วก็นั่งดื่มในโรงฉัน และท่านซึ่งเป็นพระอาคันตุกะก็คิดต่อไป กังวลต่อไปว่า ชาวบ้านคงไม่ถวายข้าวยาคูเป็นนิตย์แน่ๆ แต่พอถึงเวลาภัตร เขาคงจะถวายภัตรอันประณีต แต่ครั้นถึงเวลาอาหาร ท่านก็ฉันแต่เฉพาะอาหารที่ได้แต่เวลาบิณฑบาต ความหวัง ความกังวล มีต่อไปเรื่อยๆ จากตอนกลางคืนถึงตอนเช้า และก็จะต่อไปถึงเวลาภัตตาหาร แต่พอถึงเวลาภัตตาหารแล้ว ไม่ได้อะไร ไม่มีชาวบ้านนำภัตตาหารที่ประณีตมาถวาย ท่านก็ได้ฉันเฉพาะข้าวยาคูที่ท่านได้จากการบิณฑบาต
ท่านพระอาคันตุกะก็ถามสหายของท่านว่า ท่านดำรงชีพอย่างนี้ตลอดมาหรือ ซึ่งสหายของท่านก็รับว่า ท่านดำรงชีพมาอย่างนี้ พระอาคันตุกะก็ชวนท่านไปอยู่ที่ปาจีนขันธราคี เพราะเหตุว่าที่นั่นสะดวกดี เมื่อพระเถระท่านได้ฟังพระอาคันตุกะซึ่งเป็นสหายกล่าวดังนั้น ท่านก็ออกจากเมืองโดยประตูด้านทักษิณ คือ ไปทางประตูทิศใต้ เดินไปตามถนนบ้านช่างหม้อ ซึ่งเป็นทางไปสู่ปาจีนขันธราคี พระอาคันตุกะก็แปลกใจมากที่พระเถระเดินไปทางนั้น ก็ถามท่านว่า “ท่านขอรับ ทำไมท่านถึงไปทางนี้” พระเถระก็กล่าวตอบว่า ก็ท่านมิได้กล่าวว่า จะไปสู่ปาจีนขันธราคีหรือ พระอาคันตุกะก็กล่าวว่า “ท่านไม่ได้มีอดิเรกบริขารอะไรๆ บ้างหรือ ในฐานะที่ท่านอยู่ที่นั่นนานถึงเพียงนั้น” ท่านพระเถระก็กล่าวตอบว่า “อาวุโส เตียงตั่งเป็นของสงฆ์ ซึ่งก็ได้เก็บเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร” พระอาคันตุกะก็กล่าวว่า “ท่านขอรับ ไม้เท้าและทะนานน้ำมัน ถุงรองเท้าของผมอยู่ที่ถูปารามนั่น” พระเถระก็กล่าวว่า “อาวุโส ท่านอยู่วันเดียวเท่านั้น วางของมีประมาณเท่านี้ไว้หรือ” ซึ่งพระอาคันตุกะก็รับว่า ท่านเป็นพระอาคันตุกะมาจากที่ไกล ซึ่งเป็นที่หลีกเร้น แต่ว่าความกังวลของท่านมากมาย เพราะเหตุว่าเพียงวันเดียว ท่านก็มีของๆ ท่าน ที่ท่านเป็นห่วงที่ท่านวางไว้ แต่ว่าพระเถระซึ่งอยู่ที่พระวิหารถูปารามนั้น เมื่อได้ฟังสหายของท่านกล่าวชวนไปปาจีนขันธราคี ท่านก็ตรงไปได้เลย ไม่มีความกังวล ไม่มีความห่วงใยใดๆ ทั้งสิ้น
พระอาคันตุกะมีจิตเลื่อมใสไหว้พระเถระแล้วพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ สำหรับพระเถระเช่นนั้น ณ ที่ทุกสถานย่อมเป็นเช่นอรัญญวาส พระวิหารถูปารามเป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่ฟังธรรม เป็นที่สบายในโลหปราสาท เป็นที่ได้เห็นมหาเจดีย์ เป็นที่ได้สนทนาปราศรัยกับท่านพระเถระทั้งหลาย เช่นในครั้งพุทธกาล ณ สถานที่เช่นนี้เป็นที่อันท่านควรอยู่
พระอาคันตุกะมีจิตเลื่อมใส ไหว้พระเถระแล้วพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญสำหรับพระเถระเช่นท่าน ณ ที่ทุกสถานย่อมเป็นเช่นอรัญวาส พระวิหารถูปารามเป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่ฟังธรรม เป็นที่สบายในโลหะปราสาท เป็นที่ได้เห็นมหาเจดีย์ เป็นที่ได้สนทนาปราศรัยกับท่านพระเถระทั้งหลายเช่นในครั้งพุทธกาล ณ สถานที่เช่นนี้เป็นที่อันท่านควรอยู่ และในวันรุ่งขึ้น ท่านพระอาคันตุกะก็ได้เดินทางกลับไปปาจีนขัณฑราชี
เห็นได้ว่า อาวาสหรือที่อยู่นั้นเป็นความห่วงใย เป็นความกังวลสำหรับบางท่าน แต่ว่าไม่ใช่สำหรับทุกท่าน สำหรับคฤหัสถ์ก็คงห่วงใยในบ้านเรือนไม่มากก็น้อย การที่จะรักษาสถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้สะอาดเรียบร้อย ไม่มีเชื้อโรค ไม่เป็นภัยไม่เป็นอันตรายนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องกระทำ ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งผู้เจริญสติปัฏ-ฐานกระทำไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องของอาคารบ้านเรือน ในขณะนั้นก็เจริญสติปัฏฐานได้ โดยเฉพาะบางท่านที่กังวลในเรื่องที่อยู่อาศัยมาก ก็ควรที่จะได้พิจารณาความจริงว่า ถึงจะกังวลเป็นห่วงสักเท่าไร ที่อยู่ที่อาศัยนั้นก็เป็นแต่เพียงที่พักชั่วคราวในโลกนี้เท่านั้น และไม่ใช่แต่เฉพาะที่อยู่ที่อาศัยอาคารบ้านเรือน แม้แต่โลกทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นสุคติหรือเป็นทุคติก็ตาม ก็เป็นที่พักเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีใครจะอยู่ในโลกนี้ตลอดไป จึงไม่ควรห่วงกังวลมากนัก เพียงแต่ว่าเมื่อยังจำเป็นในการดำรงชีวิตเลี้ยงชีพ บริหารชีวิตให้ดำเนินไปด้วยดี จำเป็นต้องซ่อมแซมรักษาอาคารบ้านเรือนให้อยู่ในสภาพที่ไม่เป็นอันตราย นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องกังวล ห่วงใย ติดข้องมาก เพราะเป็นแต่เพียงที่พักเพียงชั่วคราวเท่านั้น หมดชีวิตในโลกนี้แล้วก็ไปสู่โลกอื่น มีที่พักอาศัยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทุคติ หรือสุคติก็ตาม
สำหรับที่อยู่ที่อาศัยก็ไม่สามารถเลือกได้ ย่อมเป็นไปตามวิบากกรรม ซึ่งบางท่านก็พอใจที่จะอยู่ในที่สงบ ไม่วุ่นวาย แต่เพราะเหตุว่าวิสัยของฆราวาสนั้นไม่ได้สะสมอบรมมาที่จะเป็นผู้ละอาคารบ้านเรือน ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ใคร่ต่อความสงบ ต้องการที่จะอยู่ในที่เงียบสงบ แต่เพราะสิ่งที่เคยสะสมไม่เป็นปัจจัยให้ได้อยู่ในสถานที่เช่นนั้น ก็ควรเจริญสติ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานที่ใด หรือถึงแม้ว่าจะเป็นบรรพชิตก็ตาม ก็ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะเลือกที่อยู่ได้ตามอัธยาศัย ซึ่งจะได้ฟังคาถาของพระเถระท่านหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ท่านใคร่ต่อการที่จะได้อยู่อย่างสงบวิเวกเพียงใด
ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกวิหาริยเถรคาถา มีข้อความว่า
ถ้าไม่มีผู้อื่นอยู่ข้างหน้า หรือข้างหลังเรา ความสบายใจอย่างยิ่งคงจะมีแก่เราผู้อยู่ในป่าผู้เดียว
อยู่ในป่าแล้วก็ยังไม่ต้องการใครทั้งนั้น เพราะท่านกล่าวว่า ถ้าไม่มีผู้อื่นอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังเรา ความสบายใจอย่างยิ่งคงจะมีแก่เราผู้อยู่ในป่าผู้เดียว
เราผู้เดียวจักไปสู่ป่า อันพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า ความผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุผู้อยู่แต่ผู้เดียว มีใจเด็ดเดี่ยว เราผู้เดียวเป็นผู้ชำนาญในสิ่งที่เป็นประโยชน์ จักเข้าไปสู่ป่าใหญ่ อันทำให้เกิดปีติแก่พระโยคาวจร น่ารื่นรมย์ เป็นที่อยู่ของหมู่ช้างตกมันโดยเร็วพลัน
เราผู้เดียวจักอาบน้ำในซอกเขาอันเยือกเย็น ในป่าอันเย็น มีดอกไม้บานสะพรั่ง จักจงกรมให้เป็นที่สำราญใจ เมื่อไรเราจึงจะได้อยู่ในป่าใหญ่อันน่ารื่นรมย์แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง จักเป็นผู้ทำกิจสำเร็จ หาอาสวะมิได้
ขอความประสงค์ของเราผู้ปรารถนาจะทำอย่างนี้จงสำเร็จเถิด เราจักยังความประสงค์ของเราให้สำเร็จจงได้ ผู้อื่นไม่อาจทำให้ผู้อื่นสำเร็จได้ เราจักผูกเกราะคือความเพียร จักเข้าไปสู่ป่าใหญ่ เรายังไม่บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว จักไม่ออกไปจากป่านั้น เมื่อลมพัดเย็นมา กลิ่นดอกไม้ก็หอมฟุ้งมา เราจักนั่งบนยอดเขา ทำลายอวิชชา เราจักได้รับความสุขรื่นรมย์ อยู่ด้วยวิมุตติสุข ในถ้ำที่เงื้อมเขาซึ่งดารดาษไปด้วยดอกโกสุ ม มีภาคพื้นเยือกเย็นอันมีอยู่ในป่าใหญ่เป็นแน่
เรามีความดำริอันเต็มเปี่ยม เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ เป็นผู้สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี
เป็นอัธยาศัยของผู้ที่ต้องการจะอยู่อย่างสงบจริงๆ คนเดียวก็คนเดียวจริงๆ ในป่า ไม่ใช่ในป่าแล้วยังมีการคลุกคลี หรือว่าอยู่กันมากมาย
นี่คือคาถาของท่านพระเถระผู้ใคร่ต่อความสงบ ท่านได้รับความสงบจากป่านั้นมาก และอัธยาศัยตามการสะสมมาของท่าน ก็ทำให้สามารถอยู่ได้อย่างสงบอย่างนั้น และสิ้นอาสวะกิเลสในที่นั้นด้วย แต่ว่าบางท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ขุททกนิกาย เถรคาถา วนวัจฉสามเณรคาถา มีข้อความกล่าวว่า
พระอุปัชฌาย์ของเรา ได้กล่าวกะเราว่า ดูกร สิวกะ เราจะไปจากที่นี้ กายของเราอยู่ในบ้าน แต่ใจของเราไปอยู่ในป่า แม้เรานอนอยู่ก็จักไป ความเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ย่อมไม่มีแก่เราผู้รู้แจ้งชัด
เป็นเรื่องของคนที่อยู่ในบ้าน แต่ใจไม่ได้อยู่ที่บ้าน ใจอยู่ที่ป่า ใจอยู่ที่ความสงบ ใจไม่คลุกคลี ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนหรือว่ามีบริษัทมากมายอยู่ในบริเวณนั้น หรือว่าอยู่ในอาวาสนั้น เพราะฉะนั้น ทุกท่านควรรู้จักตัวเองจริงๆ ถึงจะเป็นผู้ที่ใคร่พอใจในความสงบ แต่เมื่อไม่ได้ความสงบ โดยไม่สามารถจะปลีกออกจากอาวาสที่อยู่อาคารบ้านเรือนของท่านก็ตาม แต่ก็ปลีกใจได้โดยไม่คลุกคลีหรือไม่ติดข้องผูกพันกับบุคคลอื่น ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง อย่างในเรื่องของการเจริญ สติปัฏฐานนั้น ถ้าขณะใดที่ท่านมีสติ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาก็อย่างหนึ่ง ทางหูก็อย่างหนึ่ง ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็อย่างหนึ่ง รู้ชัดตามความเป็นจริง ในขณะนั้นตัวตน บุคคลก็ย่อมไม่มี
เพราะฉะนั้น ท่านก็สงบอยู่กับสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้แจ้งชัดในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ ไม่จำเป็นจะต้องปลีกไปสู่ป่า แต่ใจของท่านปลีกไปได้ แล้วแต่ว่าในขณะใดจะมีสติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้หรือไม่ ถ้าในขณะนั้นไม่มีสติ ท่านก็ย่อมจะต้องเป็นไปกับโลภะ โทสะ โมหะ เมื่อไม่รู้ลักษณะของนามและรูปในขณะใด ขณะนั้นก็ย่อมจะเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล
สำหรับเรื่องอาวาสปลิโพธ บางท่านก็อาจจะมีความเข้าใจว่า พระภิกษุคงจะมีน้อยกว่าฆราวาส แต่ปุถุชนถึงแม้เป็นพระภิกษุผู้สะสมมาที่จะละอาคารบ้านเรือน แต่ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผล กิเลสที่เหนียวแน่นหนาแน่นของความเป็นปุถุชนก็ย่อมมีอยู่แล้ว จะเห็นได้จากพระวินัยปิฎกที่ว่า ถึงแม้ท่านจะละอาคารบ้านเรือน ไม่ผูกพัน ไม่พัวพันกับญาติมิตรกับวงศ์ตระกูล แต่ยังห่วงใยกังวลกับที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นอาวาสปลิโพธก็ยังมี
จุฬวรรค ภาค ๒ มีข้อความว่า
สมัยนั้นชาวบ้านตกแต่งมณฑป จัดแจงเครื่องลาด แผ้วถางสถานที่ไว้ เฉพาะสงฆ์ ภิกษุอันเตวาสิกของพระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตเสนาสนะตามลำดับผู้แก่กว่า เฉพาะของสงฆ์เท่านั้น ของเหล่านี้เขาไม่ได้ทำเจาะจงไว้ พระฉัพพัคคีย์ก็รีบไปก่อนพระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีพระผู้มีพระภาคเป็นประมุข แล้วพระฉัพพัคคีย์ก็ไปจองมณฑป จองเครื่องลาด จองสถานที่ไว้ว่า นี่สำหรับอุปัชฌาย์ของพวกเรา นี่สำหรับอาจารย์ของพวกเรา นี่สำหรับพวกเรา
ครั้นท่านพระสารีบุตรไปล้าหลังพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระผู้มีพระภาคเป็นประมุข เมื่อภิกษุเหล่านั้นจองมณฑป จองเครื่องลาด จองสถานที่หมดแล้ว หาที่ว่างไม่ได้เลย ท่านพระสารีบุตรจึงนั่งอยู่ ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ครั้นเวลาปัจจุสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้น ทรงพระกาสะ แม้ท่านพระสารีบุตรก็กระแอมไอ
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า "ใครที่นั่น"
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้า สารีบุตร พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "สารีบุตร ทำไมเธอจึงมานั่งที่โคนไม้นี้เล่า"
ท่านพระสารีบุตรก็ได้กราบทูลเรื่องให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็รับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถาม ทรงติเตียน แล้วทรงรับสั่งว่า ภิกษุรูปใดเกียดกัน ต้องอาบัติทุกกฎ
นี่เป็นเรื่องสถานที่ เป็นความห่วงใย ความกังวลในที่อยู่ ถึงแม้ว่าจะละอาคารบ้านเรือนไปแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องของปลิโพธก็ควรจะเข้าใจว่า เป็นกิเลส เป็นความกังวล เป็นความห่วงใย ซึ่งยังมีอยู่ตามวิสัยผู้ที่ยังละกิเลสประเภทนั้นๆ ไม่หมด เพราะโดยมากจะเข้าใจว่า ปลิโพธนั้นเป็นความกังวลเฉพาะของฆราวาส ที่ทำให้ท่านไม่สามารถจะประพฤติปฏิบัติเจริญสติปัฏฐานได้ เพราะเหตุว่ามีปลิโพธมากมาย แต่ถ้าเข้าใจว่า ปลิโพธก็เป็นลักษณะของกิเลส เป็นความห่วงใยซึ่งทุกคนมี ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือเป็นภิกษุแล้วก็ตาม แล้วปลิโพธประเภทใดเป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนา ประเภทใดไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนานั้น ก็ควรเข้าใจให้ถูกต้องด้วย
สำหรับสถานที่นั้นไม่เป็นเรื่องขัดขวางการเจริญวิปัสสนาเลย เพราะเห็นได้จากตัวอย่าง แม้ในพระสูตร แม้ในพระวินัยว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นภิกษุละอาคารบ้านเรือนแล้ว ก็ยังมีอาวาสปลิโพธ
อีกเรื่องหนึ่งในพระวินัย เป็นเรื่องของท่านพระอุปนนท์หวงกันเสนาสนะไว้ ๒ แห่ง คือ
ท่านอุปนนท์ถือเสนาสนะไว้ในเขตพระนครสาวัตถี แล้วได้ไปสู่อาวาสใกล้ตำบลบ้านแห่งหนึ่ง แล้วได้ถือเสนาสนะในอาวาสบ้านนั้นอีก ภิกษุผู้มักน้อยสันโดษก็ติเตียน แล้วได้กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า
การกระทำเช่นนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส แล้วพระผู้มีพระภาคก็รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปเดียวไม่พึงหวงกันเสนาสนะไว้ ๒ แห่ง รูปใดหวงกัน ต้องอาบัติทุกกฎ
คงหมดความสงสัยในเรื่องของอาวาสปลิโพธว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะฆราวาสที่มี
ต่อไปเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใดสถานที่หรืออาวาสปลิโพธจึงไม่เป็นเครื่องกั้นการเจริญสติปัฏฐาน เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่อื่น แล้วอาวาสสถานที่นั้นก็ไม่สามารถเลือกอยู่ได้ ท่านที่เดินทางบ่อยๆ คงจะทราบว่า ที่พักแต่ละคืนนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเข้าใจการเจริญสติปัฏฐาน และระลึกได้เสมอๆ เนืองๆ ว่า นามรูปทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน นามรูปทุกประเภทกำลังเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าไม่มีสติรู้ลักษณะของนามชนิดหนึ่งชนิดใด รู้ลักษณะของรูปชนิดหนึ่งชนิดใด ที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปแต่ละชนิดนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นามรูปเกิดดับก็จริง แต่จะรู้ได้ก็เฉพาะในขณะที่มีสติ ทุกคนก็ทราบแล้วว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นการเจริญปัญญา ไม่ใช่การเจริญสมถะ ต้องแยกกัน ถ้าเจริญปัญญาแล้ว ปัญญาจะต้องรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผู้ที่ไม่รู้จักโลกในวินัยของพระอริยเจ้า ก็จำแนกโลกออกเป็นหลายอย่าง อย่างนักวิทยาศาสตร์ก็จำแนกธาตุออกมากมาย แต่ผู้ที่ศึกษาธรรมย่อมรู้ได้ว่า ในพระไตรปิฎกนั้นกล่าวถึงโลกในวินัยของพระอริยะ ๖ โลก คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ
ผู้ใดไม่รู้ชัดในโลกทั้ง ๖ โลกนี้ตามความเป็นจริง ผู้นั้นไม่ได้ละความไม่รู้ ไม่ได้ละความสงสัย ไม่ได้ละความเห็นผิดที่ยึดถือโลกทั้ง ๖ นี้ว่า เป็นตัวตน ในพระไตรปิฎกไม่มีเลยที่พระผู้มีพระภาคจะตรัสให้ละเว้นการเจริญสติปัฏฐาน
ท่านก็คงจะเคยได้ยินได้ฟังว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นต้องมีผู้ควบคุมใช่ไหม แต่การเจริญสติปัฏฐานในพระไตรปิฎก ขอให้ดูว่า มีใครควบคุมใครบ้าง ต้องมีใครควบคุมไหม เรื่องของสติ ถ้าเป็นปกติแล้วไม่ต้องมีใครควบคุมเลย เพราะว่าไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัย
ขณะนี้ทุกคนมีนาม มีรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บางคนเป็นโลภะ เวลาเห็น บางคนเป็นโทสะ ไม่ชอบ ไม่พอใจ เพราะฉะนั้น การเจริญสติไม่ใช่ให้ทำอะไรขึ้นเลย เพียงแต่ระลึกได้ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ผู้เริ่มเจริญสติยังไม่รู้อะไรทางไหน ทางตายังไม่ได้พิจารณา ยังไม่ได้รู้นามเห็นกับสี ทางหูยังไม่ได้พิจารณา ยังไม่ได้รู้ความต่างกันของได้ยินกับเสียง ยังเป็นความไม่รู้อยู่ เพราะฉะนั้น ผู้เจริญสติเริ่มรู้ เริ่มใส่ใจที่ลักษณะของนามและรูปตามปกติ
พระผู้มีพระภาคตรัสเทศนา ๔๕ พรรษา วิริยารัมภกถาก็ดี สีลกถาก็ดี ปัญญากถาก็ดี ก็เพื่อที่จะให้ผู้ฟังระลึกได้เนืองๆ บ่อยๆ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 30
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 31
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง ...
เรื่องของปลิโพธ ความกังวล ความห่วงใย