เมื่อเข้าใจลักษณะของกุศลจริงๆ ก็เจริญกุศลทุกประการได้ แม้ว่าไม่มีทรัพย์สินเงินทองที่จะให้ ก็ยังมีสิ่งอื่นเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งพอที่จะสละให้ได้ ถ้าสละให้ไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นคนที่หวงของ แต่ก็คิดอยากให้จิตสงบ หรืออยากหมดกิเลสเป็นพระโสดาบัน จะสละสิ่งของให้ผู้อื่นได้บ้างไหม แต่ละบุคคลสะสมกุศลและอกุศลมาต่างๆ กัน
ฉะนั้น จึงควรพิจารณาจิตของตนเองว่าเป็นผู้ที่ยังหวงสิ่งของมาก หรือว่าเริ่มสละสิ่งของให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ บ้าง ทีละเล็กน้อยจนเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยที่มีกำลัง ทำให้ละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมเป็นตัวตน จนปัญญาที่อบรมเจริญคมกล้าแล้วนั้นรู้แจ้งนิพพานได้
ผู้ที่คิดว่าอยากหมดกิเลสนั้น เวลากิเลสเกิดขึ้นก็ยังพอใจที่จะให้กิเลสนั้นมีอยู่ เช่น ขณะที่มีมานะความสำคัญตน ความริษยา แม้ผู้ใดจะบอกให้ละคลายเสีย ควรยินดีกับความสุขของบุคคลอื่น หรือควรมีเมตตาแม้ในบุคคลที่เลวร้าย ท่านจะกระทำได้ไหม ผู้ที่มีฉันทะ คือ พอใจที่จะโกรธ ดูหมิ่น ถือตัว ริษยาก็ย่อมไม่สามารถที่จะกระทำได้ ฉะนั้น การละกิเลสจึงไม่ใช่สิ่งที่กระทำได้ทันที จะต้องค่อยๆ เป็นไปค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาให้เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อย ผู้ที่ต้องการดับกิเลสจริงๆ รู้ว่า
จะต้องอบรมเจริญกุศลทุกประการ ไม่ใช่บำเพ็ญทานอย่างเดียว แล้วยังหวงเก็บอกุศลอย่างอื่นไว้ บางท่านก็อยากสงบเพราะรู้สึก ว่าวันๆ หนึ่งกระสับกระส่าย กระวนกระวายมาก คิดเรื่องนั้นก็โกรธ คิดเรื่องนั้นก็ยุ่ง มีแต่เรื่องเดือนร้อนรำคาญใจ เพราะไม่ได้พิจารณาจิตในขณะนั้น แต่พิจารณาบุคคลซึ่งท่านโกรธ เมื่อพิจารณาบุคคลอื่นในทางที่ทำให้เกิดอกุศล จิตก็ย่อมจะกระสับกระส่าย กระวนกระวาย เดือนร้อน เมื่อรู้ว่ากำลังเดือนร้อน ก็อยากจะสงบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าไม่โกรธขณะนั้น ก็ไม่เดือดร้อน ขณะโกรธไม่สบายใจ เดือดร้อนใจ กังวลใจนั้นเป็นกุศลเป็นสภาพธรรมที่เป็นโทษ
ฉะนั้น ถ้าขณะใดโกรธแล้วระลึกได้ พิจารณาบุคคลอื่นในทางที่ทำให้เกิดเมตตาบ้าง กรุณาบ้าง มุทิตาบ้าง อุเบกขาบ้าง ก็ย่อมสงบได้ทันที เพราะขณะที่จิตมีเมตตา หรือกรุณา หรือ มุทิตา หรืออุเบกขา ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ จึงสงบ กุศลจิตทุกขณะสงบ ฉะนั้น เมื่อต้องการดับกิเลสจึงต้องเจริญกุศลทุกประการ ไม่ใช่เพียงทานกุศลเท่านั้น
ดาวน์โหลดหนังสือ --> ปรมัตถธรรมสังเขป
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ