ความเป็นอยู่ของสงฆ์ ณ ปัจจุบันนี้ขัดสนนัก !
โดย Pure.  26 เม.ย. 2556
หัวข้อหมายเลข 22808

1. คำว่าปัจจัย 4 ของสงฆ์ ณ ยุคปัจจุบันนี้คงไม่เพียงพอแล้วใช่ไหม่ครับ?

2. แม้แต่สงฆ์ คือพระที่รู้จักกันไปขออาศัยอยู่กับวัดแห่งหนึ่งเขาไม่รับเข้าได้ง่ายๆ จะต้อง สอบประวัติต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากๆ เปรียบเสมือนการสอบเข้าทำงานในบริษัท ที่ใหญ่มากๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

3. ทำไมพระเพิ่งอุปสมบทได้แค่ 1-2 พรรษาถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระถานานุกรมใน ชั้นต่างๆ ได้ขอคำอธิบายจากอาจารย์ด้วยครับ

ขออนุโมทนาบุญครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 26 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ

๑. สำหรับปัจจัย ๔ ซึ่งเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิต นั้น ได้แก่ จีวร อาหารบิณฑบาต เสนาสนะที่อยู่อาศัย และ ยารักษาโรค ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เกื้อกูลให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน เพียงพออย่างแน่นอนสำหรับการยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่ออบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่จะต้องขัดเกลากิเลสเป็นอย่างยิ่ง เพราะสละความสะดวกสบาย สละอาคารบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ เป็นต้น อย่างที่คฤหัสถ์มี เพื่อเข้าสู่เพศที่สูงยิ่ง เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองให้ยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามาแล้ว อะไรที่คฤหัสถ์มีได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ เงินทอง เป็นต้น ก็จะมีได้ ถ้ามีความเห็นอย่างนี้ ไม่ตรงอย่างแน่นอน ไม่ได้คำนึงถึงจุดประสงค์ของการบวชจริงๆ ว่า เพื่ออะไร ก็ต้องเพื่อขัดเกลากิเลส เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเพิ่มกิเลส เพราะฉะนั้น ก็แสดงถึงความเป็นจริงที่เป็นการสะสมของแต่ละบุคคล ถ้าเห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล แต่ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมแล้ว จะอยู่ในเพศไหน ก็ไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

๒. ตามพระวินัยแล้ว ผู้ที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุจะต้องมีอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์คอยแนะนำพร่ำสอน และให้ถือนิสัยอยู่ในการดูแลของท่านอย่างน้อย ๕ พรรษา ถ้ายังไม่สามารถมีความรู้ความเข้าใจพระธรรมวินัยจนกระทั่งรักษาตนเองได้ ก็จะต้องถือนิสัยอยู่กับพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์ไปเรื่อยๆ จนตลอดชีวิต ถ้าไม่ถือนิสัยต้องอาบัติ แม้ว่าจะไปอยู่ที่วัดอื่นก็ต้องถือนิสัยกับอาจารย์อื่น ซึ่งจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพระวินัยด้วย

ประเด็นเรื่องการไปอาศัยอยู่ที่วัดอื่นนั้น ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า วัดวาอาราม ไม่ใช่สมบัติของเจ้าอาวาสหรือของบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของพระรัตนตรัย ถ้ามีผู้มีศรัทธาในการบวชเป็นบรรพชิตเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจริงๆ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ก็ย่อมเป็นสถานที่ที่ผู้นั้นควรที่จะเข้าไปอยู่อาศัยได้ และเป็นธรรมดาที่พระภิกษุผู้เป็นเจ้าถิ่นจะมีการสอบถามประวัติ แต่การห้ามไม่ให้อยู่ ไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้ ซึ่งจะต้องมีการประพฤติให้ถูกต้องตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ด้วย เพราะข้อวัตรทั้งหมดที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติแล้วโดยประการทั้งปวง

(ขอบพระคุณอาจารย์ประเชิญ แสงสุข ที่ให้ความเข้าใจในส่วนพระวินัย ครับ)

๓. เมื่อไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ในพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของการบวชว่าบวชเพื่ออะไร ก็ย่อมจะมีโอกาสกระทำในสิ่งผิดๆ ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญา มีแต่จะพอกพูนกิเลสอกุศล ให้หนาแน่นยิ่งขึ้นได้อย่างมากทีเดียว อีกทั้งเป็นการทำลายพระธรรมวินัย ไม่ได้ศึกษาและน้อมประพฤติตามเลยแม้แต่น้อย เพราะจุดประสงค์ของการบวช ไม่ใช่เพื่อยศตำแหน่ง หรือไม่ใช่เพื่อประทานยศตำแหน่งให้ใคร แต่เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเอง เท่านั้น การสะสมของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าใครจะมีพฤติกรรมอย่างไร ก็เป็นเรื่องของผู้นั้น ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตนเองจริงๆ ก็คือ กุศลธรรม จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมกุศล เป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 27 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. คำว่าปัจจัย 4 ของสงฆ์ ณ ยุคปัจจุบันนี้คงไม่เพียงพอแล้วใช่ไหม่ครับ

พระธรรมเป็นสัจจะ ไม่เปลี่ยนแปลง คือ กุศลก็เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด เวลาใด อกุศลก็ต้องเป็นอกุศล ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด เวลาใด ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ตั้งแต่คืนที่ตรัสรู้ จนถึงปรินิพพาน คำทุกคำ ล้วนแล้วแต่เป็นสัจจะ ความจริง ถูกต้อง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นสมัยอดีต ปัจจุบัน และ ต่อไปในอนาคต ครับ แม้แต่ข้อบัญญัติในส่วนของพระวินัย ที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุที่ทรงแสดง ก็เป็นสัจจะความจริง พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับภิกษุทั้งหลายว่า ให้เป็นผู้มักน้อย สันโดษใน บริขาร สิ่งของที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุ ก็ควรมีเพียงบริขาร ๘ ส่วนสิ่งของที่เกินจำเป็น ไม่เหมาะกับพระภิกษุ ก็ไม่ควรมี เพราะฉะนั้น แม้ในยุคสมัยนี้และอนาคตต่อไป ก็ควรมีเพียงบริขาร ๘ เพราะหากเคารพพระวินัย และ รักษาพระวินัยจริงๆ ก็จะประพฤติตามอย่างถูกต้อง ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ที่มีปัจจัยอย่างอื่นมากเกิน ที่แสดงถึงความเป็นผู้มักมาก ไม่สันโดษ และ ไม่เป็นที่เลื่อมใสของประชุมชน และ เอื้อต่อการผิดพระวินัย ครับ

2. แม้แต่สงฆ์ คือพระที่รู้จักกันไปขออาศัยอยู่กับวัดแห่งหนึ่งเขาไม่รับเข้าได้ง่ายๆ จะต้องสอบประวัติต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากๆ เปรียบเสมือนการสอบเข้าทำ งานในบริษัทที่ใหญ่มากๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

การสอบถามประวัติก่อน เพื่อประโยชน์ที่จะเป็นไปเพื่อความสงบสุขของพระภิกษุสงฆ์ โดยรวม เพราะหากทราบประวัติเป็นไป ย่อมสามารถพิจารณาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร และ ให้พระภิกษุรูปนั้นอยู่ในที่สมควรด้วยครับ

3. ทำไมพระเพิ่งอุปสมบทได้แค่1-2 พรรษาถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระถานานุกรม ในชั้นต่างๆ ได้ขอคำอธิบายจากอาจารย์ด้วยครับ...

เพราะความไม่เข้าใจพระธรรมในปัจจุบัน จึงมีการแต่งตั้งฐานะของพระภิกษุสงฆ์ เพราะไม่ว่าจะมีอายุกี่พรรษา สิ่งที่ควรพิจารณาสำคัญที่สุดในชีวิตของเพศบรรพชิต คือ การสละ ละ ขัดเกลากิเลส ชื่อ การแต่งตั้ง เป็นเพียงการสมมติ ซึ่งไม่ควรมีสำหรับเพศพระภิกษุ เพราะเพศพระภิกษุไม่ใช่เพศคฤหัสถ์ ที่จะมียศ มีตำแหน่ง เพราะฉะนั้น จึงเป็นธรรมดา เมื่ออาศัยลาภ สักการะ ย่อมจะแต่งตั้งฐานะพระภิกษุที่มีพรรษาน้อยในตำแหน่งนั้นได้เป็นธรรมดา นี่คือ ความเป็นธรรมดาของ กิเลส และ สภาพธรรมที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 3    โดย Pure.  วันที่ 27 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณอาจารย์และขออนุโมทนาบุญครับ.


ความคิดเห็น 4    โดย nopwong  วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 5    โดย pamali  วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย orawan.c  วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ