ทุกคนมีโลภะเหนียวแน่น โลภะเกิดแล้วเกิดอีก จึงเป็นการดี ที่จะรู้ขณะจิตที่มีโลภะอย่างละเอียดขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ได้ยินเสียงไพเราะ ความพอใจสิ่งที่เห็นหรือได้ยินก็แทบจะเกิดขึ้นทันที บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่พร้อมจะให้เกิดขึ้น เราติดสิ่งที่น่าพอใจวันนี้ ก็เพราะว่าเราติดข้องมาแล้วในอดีต โลภะวันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดโลภะต่อไปในอนาคต
ปัญญาในวันนี้แม้ขั้นฟัง ก็เป็นเหตุให้ดับโลภะได้ในอนาคต (อีกแสนโกฏิกัปป์) เช่นเดียว กันครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
หากกิเลสเป็นรูปธรรม จะหาที่เก็บกิเลส จักรวาลก็ไม่พอให้เก็บกิเลสที่เกิดขึ้น ผ่านมา
[เล่มที่ ๔๐] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑-หน้าที่ ๔๒๔
ข้อความบางตอนจาก
เรื่อง พระจิตตหัตถเถระ
อย่างนั้นนั่นแล ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลายย่อมเป็นสภาพหยาบ ถ้ากิเลสเหล่านี้ มีรูปร่าง อันใครๆ พึงสามารถจะเก็บไว้ได้ในที่บางแห่ง จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำเกินไป โอกาสของกิเลสเหล่านั้นไม่พึงมี (บรรจุ) เลย หนทางเดียวที่ละโลภะคือรู้จักว่า โลภะเป็นธรรมไม่ใช่เราเสียก่อน
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อะไรละโลภะคำตอบคือปัญญา ลองคลิกอ่านใน ..
ปัญญาละโลภะได้อย่างไร
เชิญคลิกอ่านที่ ..
โลภะคือความติดข้อง เหมือนลิงติดตัง
[เล่มที่ ๒๕] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๕๓
[๔๗๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะมารด้วยพระคาถาว่า ภูเขาทองคำล้วนมีสีสุกปลั่ง ถึง สองเท่าก็ยังไม่พอแก่บุคคลหนึ่ง บุคคล ทราบดังนี้แล้ว พึงประพฤติสงบ ผู้ใดได้ เห็นทุกข์มีกามเป็นเหตุแล้ว ไฉนผู้นั้นจะ พึงน้อมใจไปในกามเล่า บุคคลทราบอุปธิ ว่าเป็นเครื่องข้องในโลกแล้ว พึงศึกษา เพื่อกำจัดอุปธินั้นเสีย
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ