[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 565
๒. สิคาลชาดก
ว่าด้วยแสร้งทําเป็นตาย
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 565
๒. สิคาลชาดก
ว่าด้วยแสร้งทำเป็นตาย
[๑๔๒] "เหตุที่ท่านทำเป็นเหมือนคนตายนี้ รู้ได้ยากอยู่ เพราะเราคาบปลายไม้พลองฉุดไป ไม้พลองก็ยังไม่หลุดจากมือของท่าน".
จบ สิคาลชาดกที่ ๒
อรรถกาถสิคาลชาดกที่ ๒
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารชื่อว่า เวฬุวัน ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์เองของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "เอตํ หิ เต ทุราชานํ" ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุทั้งหลายในธรรมสภา แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อนก็เคยตะเกียกตะกายมาแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจจะฆ่าเราได้ แต่ตนเองต้องลำบากโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 566
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดหมาจิ้งจอก ได้เป็นพญาสิงคาล แวดล้อมด้วยหมาจิ้งจอกอยู่ในป่าช้า โดยสมัยนั้น พระนครพาราณสีมีมหรสพ ฝูงคนพากันดื่มสุราโดยมาก ได้ยินว่า มหรสพนั้นก็คือมหรสพที่จัดขึ้นเพื่อการดื่มสุรานั่นเอง ครั้งนั้นพวกนักเลงสุราจำนวนมากชวนกันหาสุราและเนื้อมาเป็นอันมาก แล้วประดับตกแต่งร่างกาย พากันขับร้อง แล้วดื่มสุราไปพลาง กินเนื้อแกล้มไปพลาง พอสิ้นยามแรก ชิ้นเนื้อของพวกนั้นก็หมด แต่สุรายังเหลือมากทีเดียว ครั้งนั้นนักเลงสุราคนหนึ่งกล่าวว่า ส่งชิ้นเนื้อให้ชิ้นหนึ่งเถิด เมื่อได้รับคำตอบว่า เนื้อหมดแล้ว ก็พูดว่า เมื่อข้ายังอยู่ต้องไม่มีคำว่าเนื้อหมดแล้ว กล่าวต่อไปว่า ข้าจักฆ่าหมาจิ้งจอกที่มากินเนื้อคนตายในป่าช้าผีดิบ เอาเนื้อมันมา คว้าไม้พลองออกจากพระนครทางช่องระบายน้ำไปสู่ป่าช้า นอนหงายถือพลองทำเป็นคนตาย ขณะนั้น พระโพธิสัตว์แวดล้อมไปด้วยสุนัขจิ้งจอกไปในที่นั้น เห็นเขาแล้ว แม้จะรู้ว่า นี่ไม่ใช่คนตาย คิดว่าต้องใคร่ครวญดูให้ละเอียดละออ จึงไปยืนใต้ลมของเขา สูดกลิ่นตัว ก็ทราบความที่เขายังไม่ตายโดยแน่นอนทีเดียว คิดว่า ต้องให้เขาได้อาย แล้วจึงจะปล่อยเขาไป จึงเดินไปคาบที่ปลายพลองฉุดมา นักเลงไม่ยอมปล่อยพลอง แม้จะไม่มองดูพญาจิ้งจอกผู้เข้ามาใกล้ ก็คงยึดพลองนั้นไว้แน่นขึ้น พระโพธิสัตว์ถอยกลับไปแล้ว กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ถ้าท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 567
พึงเป็นคนตายแล้วจริง เมื่อเราลากพลองมา ก็ไม่น่าจะยึดไว้มั่นคง ด้วยเหตุนี้ ท่านจะตายหรือยังไม่ตาย จึงรู้ชัดได้โดยยากดังนี้ แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า.
"เหตุที่ท่านทำเป็นเหมือนคนตายนี้ รู้ได้ยากอยู่ เพราะเราคาบปลายไม้พลองฉุดไป ไม้พลองก็ยังไม่หลุดจากมือของท่าน" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า เอตํ หิ เต ทุราชานํ ความว่า เหตุข้อนี้ของท่านรู้ได้ยากแท้.
บทว่า ยํ เสสิ มตาสยํ ความว่า เหตุที่ท่านนอนเหมือนคนตายนอนอยู่นั่น (รู้แน่ได้ยากแท้).
บทว่า ยสฺส เต กฑฺฒมานสฺส ความว่า ท่านผู้ใด เมื่อเราคาบปลายไม้พลองฉุดมา ไม้พลองไม่หลุดจากมือ ก็ท่านผู้นั้น จะเรียกว่าคนตายแล้วไม่ได้แน่นอน ดังนี้.
เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว นักเลงนั้นคิดว่า สุนัขจิ้งจอกตัวนี้รู้ความที่เรายังไม่ตาย ก็ลุกขึ้นขว้างไม้พลองไป ไม้พลองผิดเป้า นักเลงกล่าวว่า ไปเถิดมึง คราวนี้ข้าพลาดไป พระโพธิสัตว์หันกลับมาพูดว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ถึงแม้ท่านจะพลาดเราไป ท่านก็คงไม่พลาดมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๖ ขุมเป็นแน่นอน แล้วหลบไป นักเลงไม่ได้อะไร ออกจากป่าช้า อาบน้ำในคู เข้าสู่พระนครตามเดิม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 568
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า นักเลงในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต ส่วนพระยาสิงคาล ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสิคาลชาดกที่ ๒