สติปัฏฐาน คือลักษณะการระลึก เช่น เวลาเราเดินต้องมองที่พื้นเพราะจะไปเหยียบมดเสียชีวิต การได้เงินมาก็นึกเพียงว่าคือธาตุรูป ชนิดหนี่ง สามารถแบ่งต่อคนอื่นได้ อะไรทำนองนี้หรือเปล่าครับ ขอขอบคุณในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สติปัฏฐาน คือ สติและปัญญาที่รู้สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
เช่น ขณะที่เห็น ปกติยึดถือว่าเป็นเราที่เห็น แต่ถ้าเป็นการเจริญสติปัฏฐาน คือ การ
ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสภาพเห็นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ หรือ ขณะนี้มี
เสียง ปกติเป็นเสียงของคนอื่นๆ เป็นเสียงของเรา แต่เมื่อสติปัฏฐานเกิด คือ สติและ
ปัญญาเกิด ก็รู้ความจริงของลักษณะของเสียงที่กำลังปรากฎว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ดังนั้น การเจริญสติปัฏฐาน จึงเป็นการเจริญปัญญาขั้นสูง ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม
ที่มีจริงในชีวิตประจำวัน สติปัฏฐาน จึงไม่ใช่การคิดนึกในเรื่องสภาพธรรม แต่เป็นการรู้
ลักษณะโดยไม่ได้คิดนึกเลยครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและต้องค่อยๆ อบรมครับ ดังนั้นการ
คิดนึก ไม่ใช่สติปัฏฐาน ไม่ว่าจะคิดนึกว่า ต้องมองที่พื้นจะได้ไม่เหยียบมด หรือคิดนึกว่า
เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง ขณะนั้นคิดนึก แต่ไม่รู้ตรงลักษณะครับ จึงไม่ใช่การเจริญ
สติปัฏฐาน เพียงแต่คิดถูก ซึ่งเป็นสติและปัญญาอีกขั้นหนึ่งที่ไม่ใช่สติปัฏฐานครับ สติ
ขั้นงดเว้นจากบาป สติขั้นคิดพิจารณา เป็นต้น แต่ไม่ใช่ สติที่เป็นสติปัฏฐาน เพราะถ้า
เป็นสติปัฏฐาน จะต้องมีสภาพธรรมที่มีจริง คือ ตัวธรรมที่กำลังปรากฎขณะนี้ให้รู้ครับ
ดังนั้นการเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องยาก แต่สามารถอบรมได้ ดังนั้นแนะนำครับว่า ฟัง
พระธรรมต่อไป ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะเป็นสติปัฏฐาน หรือ ไม่เป็นสติปัฏฐาน เพราะเมื่อ
ปัญญาเจริญขึ้น ก็จะค่อยๆ เข้าใจในเรื่องสติปัฏฐานเองครับ ดังนั้นก่อนจะถึงสติปัฏฐาน
ก็ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ แม้แต่คำว่า ธรรม คืออะไร ให้เข้าใจริงๆ เสียก่อน
ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ.....ก่อนจะถึง...สติ-ปัฏฐาน !
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ก่อนอื่น เมื่อกล่าวถึงอะไรนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ไม่ใช่ใครไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนแต่อย่างใด แม้แต่ สติปัฏฐาน ก็เช่นเดียวกัน เป็นธรรม สติปัฏฐาน มีความหมาย ๓ อย่าง คือ หมายถึง อารมณ์ที่เป็นที่ตั้งของสติ หรือ สภาพธรรมที่สติระลึกรู้ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด, หมายถึง สติ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ระลึกรู้ซึ่งธรรมที่กำลังมีในขณะนั้น และ หมายถึง หนทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ดำเนินไปแล้ว ในชีวิตประจำวัน ขณะที่กุศลจิตเกิด ย่อมไม่ปราศจากสติ และ สภาพธรรมฝ่ายดีอื่นๆ เกิดร่วมด้วย เช่น ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่ว่า ขณะที่มีสติแล้ว จะเป็นสติปัฏฐานทั้งหมด นี้คือ ความละเอียดของธรรมเพราะในขณะนั้น อาจจะเป็นไปในทาน บ้าง เป็นไปในศีล การวิรัติงดเว้นจากทุจริตประการต่างๆ บ้าง ซึ่งไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนั้น
สติปัฏฐาน เป็นการระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏ เป็นการระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่พ้นจากสติไปได้ สติย่อมมีอย่างแน่นอน โดยไม่มีตัวตนที่ระลึก หรือไปเจาะจงอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ของสติ คือ เป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีในขณะนั้น มีสติซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ระลึก และ มีปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นขณะที่สติปัฏฐานเกิด ย่อมเป็นกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา และ มีสติที่เป็นสภาพธรรมที่ระลึก ด้วย เพราะสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้นั้น ก็เป็นธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันนี้เองที่สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย
ประการที่สำคัญ นั้น ก่อนที่จะไปถึงสติปัฏฐาน ขอให้ฟังให้เข้าใจ เพราะเหตุว่าพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในสภาพธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อย่างมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ สัตว์บุคคลตัวตน เป็นความเข้าใจในความจริงอย่างมั่นคง จึงจะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิด แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือ ธรรม เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สติปัฏฐานเป็นสติที่เกิดพร้อมด้วยปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริงว่าขณะที่เห็นนั้น
เป็นธรรมะ คือมีสภาพเห็นและมีสิ่งที่ปรากฎทางตา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ซึ่งเป็นความ
รู้จริงๆ ในขณะที่เห็นนั้นเอง ไม่ใช่การคิด
สติปัฏฐานจะเกิดได้ ก็ต้องอาศัยการสะสมสติที่เกิดพร้อมปัญญาเข้าใจพระธรรม
ที่ทรงแสดงไว้ ซึ่งเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้สติปัฏฐานเกิดได้ ดังนั้น ไม่ต้องห่วงหรือกังวล
ว่าเมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิด หรือเกิดแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ควรเจริญเหตุคือการสะสม
ความเข้าใจในพระธรรม เมื่อปัจจัยทั้งหลายพร้อม ผลคือปัญญาก็ย่อมเจริญขึ้นทำกิจ
ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎตามปกติตามความเป็นจริงครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ